ตอนที่ 192

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 192 – แคลงใจ (2)

ซอลจีฮูได้ร้องออกมาจนสุดเสียง จากภายนอกแล้วเขาดูสิ้นหวังมากจนทุกๆคนที่ผ่านทางมองมาที่เขาด้วยความสงสาร

‘เธอไม่อยู่หรอ?’

แต่แล้วเมื่อเขาแนบหูเข้ากับประตู เชาก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา และในตอนนั้นเอง…

ตึง! เคร๊ง! เสียงของบางอย่างกลิ้งและตกได้ดังออกมาจากข้างใน พร้อมกับเสียงเท้าที่เร่งรีบ จากนั้นประตูก็ถูกเปิดขึ้นมา

“จีฮู”

ซอยูฮุยได้วิ่งออกมาด้วยสีหน้าลุกลี้ลุกลน

“มีอะไรหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”

น้ำเสียงที่เป็นกังวลของเธอได้ทำให้ซอลจีฮูได้กลั้นคำถามเอาไว้ เขาได้แต่เกาหัวและพูดออกมา

“โอ้ ไม่มีอะไรครับ ผมก็แค่อยากจะเห็นพี่สาว…”

“อะไรนะ?”

หน้าผากอันหมดจดของซอยูฮุยได้ขมวดขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ยกมือทาบลงและถอนหายใจออกมา

“ฟู่วว… ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไรซะอีก…”

‘อย่างที่คิดเลย’

เมื่อเห็นซอยูฮุยอยู่ที่บ้าน ซอลจีฮูก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ในอีกด้านหนึ่งเขาก็สงสัยเช่นกัน ซอยูฮุยคงต้องรีบวิ่งออกมา แต่ว่าจากลมหายใจหอบหนักของเธอ และหน้าผากที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆน้อยเธอ มันเหมือนกับว่าเธอได้วิ่งเต็มแรงให้มาถึงที่นี่

“ขอโทษครับ”

“อ่า ไม่เป็นไรหรอก นายไม่ได้รู้สึกป่วยหรืออะไรใช่ไหม?”

“ไม่ครับ”

“ดีแล้วล่ะ…”

จากนั้นซอยูฮุยก็บีบแก้มของซอลจีฮูที่กำลังทำอะไรไม่ถูกอยู่

“ชิ เจ้าเด็กดื้อ นายนี่คิดแต่จะเล่นอะไรแผลงๆนะ รู้ไหมว่าระหว่างกำลังทำความสะอาดอยู่ ฉันตกใจมากขนาดไหนกัน?”

‘ทำความสะอาด?’

ซอลจีฮูได้เหลือบมองเข้าไปข้างใน พื้นที่ที่เขาเห็นต่างหมดจนจนไม่มีเศษฝุ่นแม้แต่นิด

“แล้วเสร็จหรือยังครับ?”

ซอยูฮุยได้เช็ดหน้าผาก จากนั้นก็ส่ายหัวออกมา

“ไม่เลย ยังทำไม่ถึงครึ่งเลย”

“ให้ผมช่วยนะ”

“อืมม.. ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันกำลังทำความสะอาดห้องใต้ดินอยู่ แล้วก็มีของหลายอย่างที่ต้องระวัง ให้ฉันทำคนเดียวมันคงจะดีกว่า”

ซอยูฮุยได้ปฏิเสธในข้อเสนอของซอลจีฮู จากนั้นก็เอียงหัวออกมาเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ

“นี่นายมาก็เพราะอยากจะเจอฉันจริงๆหรอ?”

น้ำเสียงของเธอไม่ได้ดูคาดคั้นเลย แต่ว่าเพราะมันฟังดูเหมือนกับว่าเธอกำลังถามว่า ‘นายมีแรงจูงใจอื่นอยู่ใช่ไหม?’ ซอลจีฮูก็สะอึกไปเหมือนกับเด็กถูกจับผิด

จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ถึงกระเป๋าหนักๆในมือ และหาข้ออ้างดีๆเจอ

“จริงๆแล้ว ผมเอานี่มาให้”

ซอลจีฮูได้วางกระเป๋าลง และหยิบเอาของขวัญออกมาให้กับซอยูฮุย เมื่อเขาได้ส่งให้เธออย่างสุภาพ สายตาของเธอก็ตกลงมาบนถุงช็อปปิ้งทันที

“โอ้ ว้าว…”

เธอคาดไม่ถึงงั้นหรอ? ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าเขินอายของซอยูฮุย

“ผมรู้สึกแย่ที่จะแสดงการขอบคุณด้วยแค่คำพูด ยังไงพี่สาวก็ได้ช่วยชีวิตผมเอาไว้เชียวนะ”

“ไม่หรอก ฉัน-“

“มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรหรอกครับ”

ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาโดยที่บอกไม่ให้เธอคิดมาก

ซอยูฮุยได้พึมพำกับตัวเอง “โอ้ โอ้” พร้อมแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก

“ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ? ฉันไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย…”

“ผมไม่ได้อยากจะได้อะไรตอบแทนอยู่แล้ว”

เมื่อซอลจีฮูโบกมือออกมา ซอยูฮุยก็แสดงสีหน้าเศร้ากว่าเดิม และดวงตาของเธอก็สั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย

“นี่มันกระทันหันเกินไป หากว่ารู้แบบนี้ ฉันน่าจะกลับไปเอาอะไรบางอย่างที่โลกมาให้นาย”

เธอกระทั่งใช้นิ้วเช็ดดวงตาเป็นประกายของเธอ เธอดูเหมือนกับจะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก คล้ายกันกับแม่ที่ได้รับของขวัญชิ้นแรกจากลูกชาย

‘อย่างที่คิดเลย พวกเธอไม่ใช่คนๆเดียวกัน’

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมา

“มันคืออะไรหรอ? ฉันขอเปิดมันได้ไหม?”

และเมื่อซอยูฮุยมองเข้าไปในถุงช็อปปิ้งและถามออกมาด้วยความสงสัย ซอลจีฮูก็ส่ายหัวรัวออกมา

“ไม่ได้ ค่อยดูมันทีหลังนะ ได้โปรด”

“…ได้โปรด? นี่ยิ่งทำให้ฉันสงสัยแล้วสิ”

“ถ้างั้นผมคงต้องรีบไปแล้วครับ”

เมื่อซอลจีฮูได้เริ่มหยิบกระเป๋าที่วางเอาไว้ขึ้นมา ซอยูฮุยก็หรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย

“ทำไมล่ะ? ดูมันด้วยกันไม่ได้หรอ?”

“อ๊า ไม่ได้เด็ดขาด มันน่าอาย”

จากนั้นซอลจีฮูก็หันหน้าไปและพูดออกมาว่า “ขอโทษที่รบกวนนะครับ”

‘การที่ฉันได้เตรียมของขวัญนี่มาเป็นเรื่องดีจริงๆ’

ยิ่งผู้รับมีความสุขเท่าไหร่ ผู้ให้ก็จะมีความสุขยิ่งกว่า ขณะที่ซอลจีฮูกำลังจากไปเพื่อเลี่ยงความอาย เขาก็แอบมั่นใจในของขวัญของเขา เขามั่นใจมากว่าซอยูฮุยจะตอบชอบของขวัญชิ้นนี้ และได้ใช้มันอย่างแน่นอน

ยังไงมันก็เป็นของที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และก็ยังเป็นของขวัญที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังมาก่อนอีกด้วย นอกไปจากนี้มันก็ยังเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เขาได้รับคำชมในตอนที่กำลังเดทกับยูซอนฮวาอย่างมีความสุขอีกด้วย เขายังจำได้ดีว่าเธอพูดว่า ‘มันเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว เมื่อคิดว่ามันเป็นของที่มาจากนาย’

‘ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขนะ!’

ซอลจีฮูได้ถูกจมูกพร้อมกับเดินขึ้นไปบนบันไดด้วยรอยยิ้มสดใส

อีกด้านหนึ่งซอยูฮุยที่มองตามซอลจีฮูเดินขึ้นบันไดไป ก็ได้หันกลับมามองที่ถุงช็อปปิ้งด้วยความยินดี

รอยยิ้มของเธอยังไม่ได้หายไปจากใบหน้าเลย มันดูเหมือนกับว่าเธอมีความสุขจริงๆ เธอจะไม่มีความสุขกับของขวัญเซอร์ไพรส์ได้ยังไงกันล่ะ?

“ไม่อยากจะเชื่อเลย”

ด้วยคำมั่นว่าจะชวยเขามากินอาหารเย็น และเลี้ยงมื้ออาหารหรูๆให้เขา ซอยูฮุยก็ได้หันหลังกลับเข้าไปในบ้าน

‘มันคืออะไรกันนะ’

เธอได้เปิดกล่องออกมาด้วยหัวใจเต้นละรัวด้วยความตื่นเต้น และในตอนนั้นเอง-

“…”

ซอยูฮุยได้นิ่งงันไป

ไม่นานนัก…

“?”

มีเครื่องหมายคำถามผุดเข้ามาในหัวของเธอ

***

ปกติแล้วซอลจีฮูจะเป็นคนแรกที่กลับมาพาราไดซ์ในทุกครั้งที่ทุกๆคนกลับโลก แต่แล้วเมื่อเขาเปิดประตู้เข้าไปในสำนักงานด้วยความคิดที่ว่าจะไม่มีใครอยู่ เขาก็เกือบจะหลุดร้องออกมา

จางมัลดงกำลังนั่งมองมาที่เขาอยู่บนโซฟา

“นายกลับมาเจ็ดวันพอดีเลยนะ”

“อะ อาจารย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

“สี่วันก่อน”

“สี่วันก่อน…? นั่นมันเร็วมากเลยนะครับ อาจารย์น่าจะพักอีกสักหน่อย”

จางมัลดงได้แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา เขาได้ถามขึ้นด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ

“โอ้ งั้นหรอ? ถ้างั้นทำไมเราไม่กลับไปด้วยกันล่ะ? เราจะใช้เวลาสักเดือนนึงก็ได้นะ”

“เดือนนึงหรอครับ? ถ้าเป็นสองสัปดาห์ก็น่าจะได้ แต่ว่าเดือนนึงมันนานเกินไป”

ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาโดยบอกว่าอย่าล้อเล่นกันสิ จางมัลดงได้มองมาที่ชายหนุ่มที่กำลังหัวเราะ ก่อนที่จะกอดอกและหยักหน้าออกมา

การส่งซอลจีฮูกลับบ้านในทันทีที่เขาออกมาจากวิหารส่วนใหญ่แล้วเพื่อตัวซอลจีฮูเอง แต่ว่าก็ยังเพื่อทีมด้วยเช่นกัน

ในตอนนี้พวกเขาไม่อาจจะหาใครเข้ามาแทนที่ซอลจีฮูได้แล้ว ซอลจีฮูคือหัวหน้าของคาเพเดี่ยมที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้

และด้วยสงครามครั้งก่อน ตำแหน่งของเขาก็ได้กลายเป็นมั่นคงขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสมาชิกทีมเลย แม้กระทั่งจางมัลดงก็ยังไม่อาจยุ่งกับอำนาจของเขาได้ง่ายๆ แต่แน่นอนว่าหากเป็นไปได้จางมัลดงจะคิดไปยุ่งเรื่องนี้อยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือหัวหน้าจะเป็นคนกำหนดธาตุแท้และบรรยากาศของทีม

หากว่าซอลจีฮูที่เป็นใจกลางของคาเพเดี่ยม เคร่งเครียดและมุ่งมั่นมากเกินไป ภาระของเพื่อนร่วมทีมเขาก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

สำหรับทีมที่เพิ่งจะทำงานใหญ่สำเร็จมา จำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนจังหวะบ้าง นี่คือเหตุผลที่จางมัลดงบังคับให้ซอลจีฮูกลับไป และมันดูจะได้ผลกว่าที่เขาคิดซะอีก

หลักฐานก็คือจาก ‘สองสัปดาห์มันมากไปนิด’ ได้เปลี่ยนเป็น ‘สองสัปดาห์ก็อาจจะได้’

‘ตอนนี้ก็ยอมรับได้หน่อยแล้ว’

ขณะที่จางมัลดงเอนหลังพิงโซฟาด้วยสีหน้าโล่งใจ

“อาจารย์!”

“หืม?”

ถุงช็อปปิ้งใบใหญ่ได้ถูกยืนออกมา เมื่อมองเข้าไปข้างใน เขาก็เห็นตัวอักษรสีทองถูกเขียนเอาไว้อยู่

“…โสมแดง?”

“ใช่แล้วครับ!”

“จู่ๆก็อะไรล่ะเนี้ย?”

“อะไรล่ะครับ? ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นของขวัญของอาจารย์”

ซอลจีฮูได้ยิ้มสดใสออกมา และค่อยๆว่างของขวัญลงบนตักจางมัลดง

“ผมได้ยินมาจากซอลอาแล้ว ถึงมันจะสายไปหน่อย แต่ก็ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะครับ”

“ไม่หรอก… นายเป็นคนที่ลำบากต่างหาก”

จางมัลดงได้ไอแห้งๆออกมา และหลบตาไป

“ทำไมนายถึงเอาของแบบนี้มาล่ะ? นายทำให้ฉันอายนะ”

“อายอะไรกันครับ? คิดซะว่าเป็นของขวัญจากหลานชายก็ได้”

“โอ้ ขอล่ะ หลานชายงั้นหรอ? เลอะเทอะนะ ชิ่ว”

จางมัลดงได้พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เอาถุงช็อปปิ้งออกไปวางข้างๆ แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่พลาดเห็นมุมปากของจางมัลดงที่โค้งขึ้นมา เขาเพิ่งยิ้มอย่างแน่นอน

“ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องคุยเรื่องร่างกายของนาย และทิศทางการพัฒนาของนาย”

ทันใดนั้นจางมัลดงก็ได้เปลี่ยนเรื่องไป เขาจะต้องอาย และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องแน่ๆ เพราะงั้นซอลจีฮูจึงกลั้นขำเอาไว้

“ฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของนายก่อน”

“อ่า ได้ครับ นี่ครับ”

ซอลจีฮูได้หยิบเอาสมุดโน้ตออกมาจากกระเป๋า และส่งมันให้กับจางมัลดง เมื่อเห็นคำที่ถูกเขียนในสมุดโน้ตเต็มไปหมด จางมัลดงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

ความเงียบได้คงอยู่พักหนึ่ง ฟึบ ฟึบ มีก็แต่เสียงพลิกกระดาษเท่านั้นที่ดังออกมา

‘เจ้าหนูนี่’

จางมัลดงได้มองไปที่ซอลจีฮูที่กำลังยืนมองกลับมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล จากนั้นก็เลื่อนสายตาลงไปที่สมุดโน้ต

วิธีการพัฒนาในอนาคต และเหตุผลที่ทำแบบนั้นได้ถูกเขียนลงบนสมุดโน้ตอย่างละเอียด โดยที่ไม่มีพลาดแม้แต่จุดเดียว ปัญหาก็คือมันละเอียดเกินไป

ซอลจีฮูได้เผยความตั้งใจออกมาชัดเจน และเปิดเผยจากจนจางมัลดงที่อ่านสมุดโน้ตต้องผงะไป แม้ว่าการถูกเชื่อใจมันจะไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่ แต่ว่าเขาจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ

ปึก เมื่อเนื้อหาของสมุดโน้ตได้อยู่ในหัวแล้ว จางมัลดงก็ฉีกสมุดโน้ต และฉีกมันเป็นชิ้นๆ

“เจ้าโง่ หากว่ามีคนมาหยิบสมุดโน้ตนี่ไปจะเกิดอะไรขึ้น? นายไม่ได้รู้เรื่องการป้องกันความเป็นส่วนตัวของหน้าต่างสถานะงั้นหรอ?”

“ผมคิดจะเผามันหลังจากให้อาจารย์ดูครับ”

“ถ้างั้นก็เผามันเดี๋ยวนี้เลย”

จางมัลดงได้ส่งกระดาษให้กับซอลจีฮู ขณะที่ซอลจีฮูกำลังเผามัน จางมัลดงก็ได้จัดระเบียบความคิดของเขา เขาได้เริ่มพูดขึ้นทันทีที่ซอลจีฮูเดินกลับมา

“นายดูจะรีบร้อนนะ”

วอลจีฮูยังคงอยู่สงบ เขาไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธในคำพูดของจางมัลดง แต่ว่าการเงียบของเขามันก็ใกล้เคียงกับคำตอบแล้ว

ขณะที่เขาเขียนรายละเอียดลงไป มันก็ค่อนข้างง่ายที่จะสรุปออกมาแบบนี้

อยากแรงเขาต้องฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ต่ำของเขาให้กลับคืนมาก่อน จากนั้นหลังจากยกระดับในวิหารแล้ว เขาก็จะใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ และแต้มความสามารถเพื่อสร้างสมดุลให้กับจิตใจ ร่างกาย และเทคนิคให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ สดท้ายเขาก็จะทำการถวายปานแห่งเทพเพื่อรับเสี้ยวพลังเทพ

นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดแล้วที่จะแกร่งขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ

จางมัลดงว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ หลังจากได้เจอเข้ากับผู้บัญชาการกองทัพในสงครามใหญ่แล้ว มันจึงไม่แปลกเลยที่ซอลจีฮูจะอยากแกร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

จางมัลดงไม่คิดว่าการทำแบบนี้เป็นแผนที่งี่เง่าเลยสักนิด

ท้ายที่สุดแล้วเขาคงจะต้องตัดสินใจแบบนี้หลังจากประสบการร์ที่ได้เจอ และรู้สึกในระหว่างสงครามอันสิ้นหวังก่อนหน้านี้

มีเพียงแค่สิ่งเดียวเท่านั้น…

“นายเข้าใจใช่ไหมว่าทางเลือกนี้จะทำให้นายยอมสละบางสิ่งไปน่ะ?”

“ครับ แล้วผมก็คิดจะแบกรับภาระของการสูญเสียมันไป”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างเคร่งขรึม มันไม่มีร่องรอยของเสียวหัวเราะอยู่ในน้ำเสียงอีกแล้ว

จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมา และพูดขึ้น

“พูดตรงๆเลยนะ การได้อ่านข้อความที่เขียนไว้ มันรู้สึกเหมือนกับเป็นการดิ้นรนอย่างสุดตัวเพื่อแก้ไขจิตใจ ร่างกาย และเทคนิคที่บิดเบี้ยวของนายให้ถูกต้องขึ้นมา มากกว่าการที่จะเป็นแผนการพัฒนาที่ถูกต้อง”

ซอลจีฮูได้เม้มปากขึ้นมาเมื่อได้ยินจางมัลดงชี้ถึงความตั้งใจของเขาได้อย่างถูกต้อง

เขาไม่ได้เสียใจเลยสักนิดที่ใช้แต้มความสามารถทั้งหมดไปกับมานา ยังไงในสถานการณ์นั้นเขาก็ไม่มีตัวลือกอื่นแล้ว นี่ก็ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้จางมัลดงไม่ได้ตำหนิอะไรเขาเช่นกัน

แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาที่มีอยู่มันจะหมดไป

“ฉันอดคิดไม่ได้ว่ามันค่อนข้างจะน่าอาย ไม่สิ ไม่ใช่ค่อนข้างหรอก มันน่าอายมากๆเลยล่ะ”

“…”

“พูดตรงๆนะ มันเป็นเพราะผลจากอิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ นายก็น่าจะรู้มันดีกว่าใคร”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าเงียบๆ

อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ – อิลิเซอร์พิเศษที่จะเพิ่มระดับความสามารถทางกายภาพขึ้นได้หนึ่งระดับ

ค่าสถานะในปัจจุบันของซอลจีฮูอยู่ที่ปานกลาง (สูง) ในที่นี้ ส่วน ‘ปานกลาง’ หมายถึง ระดับ และ ‘สูง’ หมายถึงขั้น

นี่คือสิ่งที่จางมัลดงชี้ให้เห็น

การใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ระดับกลาง (สูง) จะเพิ่มค่าสถานะทางร่างกายขึ้นไปเป็นสูง (ต่ำ) และการใช้ในตอนที่อยู่ระดับกลาง (ต่ำ) ก็จะให้ผลแบบเดียวกัน

ในแง่อย่างหลังมันก็เหมือนกับจะสูญเสียขั้นที่ควรจะเพิ่มขึ้นได้สองขั้นไปเปล่าๆเลย ในแง่ของคะแนนความสามารถแล้ว การสูญเสียมันจะมหาศาลมา ยิ่งระดับสูงก็จะต้องใช้คะแนนมากยิ่งขึ้น

“ผมเข้าใจ แต่ว่า-“

ซอลจีฮูได้พูดต่อเงียบๆ

“ในสถานะในปัจจุบันของนาย ฉันไม่มั่นใจว่าแค่การฝึกจะเพิ่มระดับสภาพร่างกายของนายได้ไหม แน่นอนว่าหากนายพยายามอย่างสุดชีวิต มันก็อาจจะเพิ่มขึ้นมาได้ขั้นสองขั้น แต่ว่าฉันก็ไม่รู้เลยว่ามันจะต้องใช้เวลานานขนาดไหน”

ในสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว แผนของซอลจีฮูสมเหตุสมผลมาก ยังไงก็ตาม

“ฉันมีเรื่องที่ฉันอยากจะบอกนายอยู่”

จางมัลดงได้พูดกลับมาในทันที

“นายจะไม่ดูถูกความสำเร็จที่นายทำไปหน่อยหรอ ฉันไม่ได้พูดแค่เรื่องการฆ่าความหมั่นเพียรอันนิรันดร์นะ สามในเจ็ดกองทัพถูกทำให้ลำบากจนแทบจะถูกกำจัด และกองทัพนอสเฟอราตูก็ได้สูญเสียความสามารถในการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่แล้วด้วย

“ความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงได้ถูกบังคับให้สำแดงพลังเทพ และสหพันธรัฐก็ยึดเอาป้อมปราการไทกอลที่ซึ่งราชินีปรสิตได้ใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะยึดมันมาได้กลับคืนไป

สหพันธรัฐได้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมสูญเสียมันไปอีก พวกเขาได้ทุ่มสรรพยากรทั้งหมดไปกับการก่อสร้างป้อมปราการขึ้นมาใหม่

“ปรสิตก็ยังหยุดรุกคืบเข้ามาเป็นครั้งแรก และถอยร่นไปที่แนวป้องกัน นายคิดว่าผลประโยชน์ที่ใหญ่สุดที่นายได้รับคืออะไรกันล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาด้วยความสับสน

“มันคือเวลา”

แต่ว่าเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ คำพูดสุดท้ายของเอียนก็ผุดเข้ามาในใจเขา

[เพราะงั้น… หนีไปซะ!]

[ฉันรู้ว่ามันยาก ฉันรู้ว่านายไม่อยากจะทำ แต่ว่านายต้องอดทน หนีไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น… และมีชีวิตต่อไป นี่คือเศษเสี้ยวแห่งชัยชนะเพียงหนึ่ง และหวังว่าเราจะสามารถฟื้นคืนกลับมาจากสงครามนี้ได้]

ซอลจีฮูได้ประสานนิ้วเข้าด้วยกัน และหลับตาลง กระแสแห่งความสงสัยได้เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

“ผมไม่มั่นใจ เวลาก็เรื่องหนึ่ง… แต่ผมไม่รู้ว่าผมยังมีศักยภาพซ่อนเร้นอะไรอีกไหม…”

น้ำเสียงของเขาฟังดูอู้อี้ มันเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ยังไงสุดท้ายแล้วเขาก็ควรจะรู้ถึงสภาพร่างกายของเขาดีกว่าใครอื่น

มันไม่ใช่ว่าจางมัลดงไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่ว่าเขากลับเท้าคางขึ้นมา และยิ้มขึ้น

“ถ้านายทำได้ล่ะ?”

“?”

“อ๊า ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรพูดแบบนั้น หากว่าศักยภาพซ่อนเร้นในร่างกายของนายเพิ่มขึ้นตั้งแต่สงครามครั้งนี้ล่ะ?”

ซอลจีฮูได้เบิกตาโพล่งขึ้นมา ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานึกไปถึงเข็มที่ปักอยู่เต็มร่างในตอนที่เขาโคม่าอยู่

‘ถ้าแบบนั้น…’

มันก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกัน

จางมัลดงได้หมุนไม้เท้าของเขา

“ใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์กับแต้มความสามารถตอนระดับ 5… ฉันยอมรับและเข้าใจในการตัดสินใจนี้นะ แม้ว่าเราจะซื้อเวลามาได้ แต่ว่านั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีเวลาไม่จำกัด มันอาจจะดีกว่าก๋ได้ทำแข็งแกร่งขึ้นในตอนที่ทำได้อยู่”

“ครับ”

“แต่ว่า-“

จู่ๆจางมัลดงก็จับไม้เท้าแน่น

“หากเขาเปลี่ยนลำดับมันสักนิดล่ะ? นายมีสมบัติล้ำค่าที่นายอาจจะไม่มีวันได้มันมาอีกแล้ว เพราะงั้นไม่ใช่ว่าอย่างน้อยนายก็ควรจะลองใช้มันไม่ให้สูญเปล่าหรอกหรอ?”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาโดยเชื่อใจจางมัลดงโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะมีเศษเสี้ยวความสงสัยอยู่เล็กๆ แต่หากสิ่งที่จางมัลดงพูดเป็นเรื่องจริง… หากว่าเขาสามารถเพิ่มสถานะพละกำลัง ความทนทาน ความคล่องแคล่ว และเรี่ยวแรงให้ขึ้นมาเป็น สูง (ต่ำ)…

‘และหากว่าจากนั้นเขาใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ…’

ระดับสูงสุด!

นี่จะเป็นครั้งแรกเลยนับตั้งแต่เข้ามาในพาราไดซ์ที่ค่าสถานะร่างกายอื่นๆของเขาเหนือกว่ามานา!

ยังไม่หมดเท่านั้น

[เข้าใจแล้ว แล้วสิ่งที่อยู่หลังจากสูงสุดล่ะ…]

ในเมื่อเขามีอิลิเซอร์พละกำลังสองขวด เขาก็สามารถคาดหวังในระดับที่เหนือกว่าสูงสุดได้อีก

ซอลจีฮูที่รู้สึกเหมือนกบกระโดดจากบ่อน้ำได้จ้องไปที่จางมัลดง

“มันเป็นไปได้หรอครับ?”

“แน่นอนสิ! หากว่านายต้องการ ฉันก็จะปรับแผนของนายอยากสุดความสามารถของฉันเลย”

ด้วยบุคลิกจองจางมัลดงแล้ว เขาจะไม่มีทางสัญญามันออกมาหากว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่เขาพูดออกมาก็เพราะมันเป็นไปได้อย่างแน่นอน

“ฉันสัญญา ฉันจะทำให้มั่นใจเลยว่านายจะไม่ใช้อิลิกเซอร์ศักดิ์สิทธิ์หรือคะแนนความสามารถเสียเปล่าแม้แต่นิดเดียว”

“…”

“แน่นอนว่าฉันจะไม่บังคับนาย แต่ในเมื่อเรามีเวลา ฉันก็ขอแนะนำให้นายเลือกอย่างหลังนะ”

หลังจากพูดแบบนี้จางมัลดงก็ยิ้มออกมาอย่างคาดหวัง จากนั้น-

“เอาแบบนี้เป็นไง? เราไว้มาคุยกันอีกหลังจากกลับมาจากวิหาร-“

จากนั้นจู่ๆจางมัลดงก็หันหน้าไปทางอื่น จางมัลดงที่กำลังตั้งใจฟังก็หันหน้ามองไปที่ประตู