บทที่ 193 – แรงค์เกอร์ระดับสูง (1)
มีเสียงของคนย่ำเท้าเดินขึ้นบันไดมา จากนั้นประตูโลหะก็ถูกเปิดอย่างแรกเผยให้เห็นบุคคลที่กำลังฮึดฮัดอยู่
คนๆนั้นก็คือฟีโซราที่กำลังพ่นลมหายใจร้อนๆออกมาจากจมูกคล้ายกับกระทิง จางมัลดงที่เห็นแบบนี้ก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เปิดประตูเบาๆมันจะทำให้เธอตายงั้นหรอ? หูฉันเกือบจะดับไปแล้วนะ!”
ยังไงก็ตามฟีโซราไม่ได้ตอบกลับเลยสักนิด
ไม่สิ
แทนที่จะสนเรื่องจางมัลดง ฟีโซรากลับจ้องเขม็งมาที่ซอลจีฮูเหมือนกับกระทิงคลั่งที่ถูกมาธาดอร์โบกผ้าแดงอยู่ตรงหน้า
และเมื่อซอลจีฮูรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ฟีโซราก็อ้าปากกว้างออกมา
“ย๊ากกกกกก!”
เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโมโหและไม่พอใจอย่างไร้ที่สิ้นสุดได้ดังออกมา
“กะ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมยัยหนูนี่จู่ๆก็เป็นแบบนี้?”
มันไม่สำคัญแล้วว่าจางมัลดงจะมองยังไง ฟีโซราได้ปลดปล่อยความโกรธที่สะสมมาตลอดหลายคืนที่นอนไม่หลับออกมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“ฮ่าาาาาาาาาห์!”
ขณะที่เธอยกแขนพุ่งออกมาโดยตั้งท่าเหมือนจะดึงผมของเขานี้เอง….
“เดี๋ยวก่อน!”
ซอลจีฮูได้เด้งตัวลุกขึ้นจากที่นั่ง และยืนฝ่ามือออกไปข้างหน้าอย่างหนักแน่น
จากการกระทำที่องอาจนี้ได้ทำให้ฟีโซราหยุดลงก่อนที่จะเข้ามาถึงตัวเขา
“…”
เธอได้ใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งในการมองดูถุงช็อปปิ้งที่ถูกแกว่งอยู่ในมือเขา
“หึ่ม”
เธอได้แค่นเสียงออกมา และดวงตาที่ลุกเป็นไฟของเธอได้โค้งออกมาเป็นจันทร์เสี้ยว
“นายคิดว่านายจะรอดไปได้ด้วยของแค่นี้งั้นหรอ?”
น้ำเสียงของเธอก็ยังคงไม่พอใจอยู่เช่นเดิม
“ผมซื้อของมาให้อาจารย์ นอกเหนือจากอาจารย์แล้วผมก็ยังซื้อของมาให้ทุกๆคนเดียว มันก็ไม่ได้มากอะไรหรอก ก็แค่เป็นสิ่งที่ผมไปหาซื้อมาในตอนที่ว่างอยู่”
เสียงไอแห้งๆของจางมัลดงได้ดังออกมาจากด้านหลัง
แน่นอนว่าฟีโซราไม่ได้ยินเสียงนี้เลย
“งั้นนายก็กำลังจะบอกว่า ฉันควรจะรับมันไป แล้วก็ไสหัวไปเงียบๆสินะ”
เธอได้บิดคอไปมา และริมฝีปากก็ได้โค้งเป็นรอยยิ้มออกมา แต่ว่าดวงตาเธอไม่ได้ยิ้มเลยสักนิด นี่มันยิ่งมีแต่จะทำให้เธอน่ากลัวขึ้นเป็นพิเศษ
จากที่ดูแล้ว มันไม่ดูเหมือนว่าเธอจะรับของขวัญไปเลย เพราะงั้นซอลจีฮูจึงค่อยๆวางของขวัญลง จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย
“คุณกำลังจะเข้ามาอัดผมหรอ?”
“ใช่ ฉันจะอัดนายให้ยับเลบ”
ขณะที่ฟีโซราเบิกตากว้างอย่างน่ากลัว ซอลจีฮูก็ส่ายหัวออกมาอย่างสงบ
“อย่าทำแบบนี้เลย ทำไมถึงต้องมาอัดคนอื่นเขาด้วยล่ะ?”
“ไอ้เวรนี่ ต่อให้นายคุกเข่าขอโทษฉันมันก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ แต่นี่มันอะไรกัน? หน้าด้านหน้าทนจริงๆเลยนะ!”
มันราวกับว่ายิ่งเกลี้ยกล่อมเธอก็ยิ่งมีแต่จะกระตุ้นเธอมากขึ้น คำพูดมากมายได้หลั่งไหลออกมาจากปากเธอ
“แน่นอนสิ กับฟีซ่าหรือฟีโคโร่ ฉันก็หัวเราะกับมันได้นะ แต่ว่าอะไรล่ะ? ฟีเดียส?”
“ฟี! เดียส!”
“ไอ้สารเลว-“
ฟีโซราได้เหลือกตาออกมาราวกับว่าเธอทนพูดต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ซอลจีฮูรีบทรุดตัวไปกับโซรา จากนั้นก็ห่อไหล่ยกมือทั้งสองข้างออกมา
“เอาเถอะ ทำตามที่ต้องการเลย ผมจะอยู่ตรงนี้เฉยๆ”
“โอ้? ได้เลย! ฉันจะทำเต็มที่แน่ นายคิดว่าฉันจะไม่ทำงั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆมองขึ้นลงบนตัวฟีโซราด้วยสายตาไร้กังวล จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“อุปกรณ์นั่น มันดูเหมาะกับคุณดีนะครับ?”
มือที่กำลังหักข้ออยู่ได้ชะงักไปทันที หลังจากเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามแล้ว ซอลจีฮูก็เริ่มพูดต่อ
“ดาบยาว โล่ ชุดเกราะ แล้วก็กระทั่งรองเท้า… ไอ้หย๊า ใครกันนะที่เป็นคนให้มันกับคุณ ของพวกนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆเลย มันช่างวิเศษ!”
“..”
“จะต้องเป็นของที่มาจากงานจัดเลี้ยงแน่ๆเลย มันดูหรูหราจังเลยนะ คุณก็คิดแบบนั้นใช่ไหม?”
ซอลจีฮูได้เท้าคางัวเอง และยิ้มออกมา คอฟีโซราได้เริ่มสั่นเทาขึ้นมาพร้อมๆกับฟันที่กัดแน่น
“อ่า! ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว สงครามมันก็จบ-“
อะ ไอ้น่าไม่อาย”
ฟีโซราไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป และเริ่มตัวสั่นด้วยความไม่พอใจ
“น่าไม่อายอะไรกันครับ? มันก็เป็นสัญญานี่นา คุณลืมไปหรือเปล่าว่าคุณก็แค่เช่าอุปกรณ์ไปจนกระทั่งสงครามจบลงน่ะ”
เขาไม่ได้พูดผิดเลย เหตุผลที่จู่ๆเขาเอาของพวกนี้ออกมาก็เพราะช่วงสงคราม ฟีโซราก็ไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจถึงสิ่งนี้
เธอสามารถจะทิ้งของขวัญที่เขาเอามาจากโลกได้ แต่ว่าหากเป็นของที่เกี่ยวข้องกับพาราไดซ์มันก็จะเป็นคนล่ะเรื่องกัน ยังไงแล้วการจะหาอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ และประสิทธิภาพแบบนี้มันไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ
เธออาจจะคืนพวกมันกลับไป และขอเงินมาซื้ออุปกรณ์ใหม่ได้ แต่ว่านั่นมันก็จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของซอลจีฮูอยู่ดี
“กรอดดด…”
เสียงกัดฟันแน่นได้ดังออกมา
“ฉันก็แค่บอกว่านายต้องถูกอัดสักสองสามครั้งเท่านั้นเอง นายอยากจะเอาแบบนี้จริงๆงั้นหรอ?”
“หมายความว่ายังไงกัน? คุณกำลังบอกว่าผมไม่อาจจะขออุปกร์นั่นกลับคืนมาในฐานะของเจ้าของที่ถูกต้องได้งั้นหรอ?”
“เด็กน้อยจริงๆ คนเรามันจะเลวขนาดนี้ได้ยังไงกัน?”
“ใครหลอกใครก่อนกันแน่ล่ะ?”
ฟีโซราได้แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
เขายังคงแค้นเรื่องนั้นอยู่อีกหรอ? ไม่ว่าเธอจะกรีดร้องออกมาว่าเขาอายุเท่าไหร่กี่ครั้ง และบอกว่าเขาเป็นเด็กน้อย แต่คำตอบของซอลจีฮูก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
ฟีโซรารู้สึกว่าหากคุยต่อไปเธอจะต้องระเบิดออกมาแน่ หลังจากจ้องเด็กน้อยซอลจีฮูอยู่สักพัก เธอก็เบิกตากว้าง และคำรามออกมาสุดเสียง
“บ้าเอ้ย! นับจากนี้อุปกรณ์พวกนี้คือของฉัน อย่างได้คิดจะเอามันกลับคืนไป เข้าใจนะ?”
ซอลจีฮูได้หัวเราะออกมาเหมือนกับคนชรา
“คุณฟีโซรา คุณยังมีมโนธรรม… อยู่ไหม?”
“ไม่ ไม่มีแล้วโว๊ย!”
หลังจากตะโกนออกมาแบบนี้ ฟีโซราก็สะบัดหน้าหนีไป และเธอก็เดินกระทืบเท้าออกไปโดยไม่ลืมหยิบเอาถุงช็อปปิ้งไปด้วย
“บ้าเอ้ย!”
เมื่อเห็นฟีโซรากระทืบเท้าเข้าไปในห้องของเธอแล้ว ซอลจีฮูก็หัวเราะออกมา และเมื่อเสียงประตูปิดดังตึงดังออกมา-
“…พวกนายสองคนสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
จางมัลดงได้ถามออกมาด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
คนที่ไม่ได้รู้จักพวกเขาคงจะถามแค่ว่าสถานการณ์เป็นมิตรกันนี่มันคืออะไร แต่ในฐานะของคนที่รู้จักฟีโซราเป็นอย่างดีแล้ว จางมัลดงก็ตกใจเกินกว่าจะเชื่อได้
หากว่าฟีโซราที่เกลียดการถูกล้อเชื่อที่สุดได้กดอารมณ์เอาไว้ นั่นมันก็หมายความว่าอย่างน้อยเธอมองซอลจีฮูเป็นมิตร
“พวกเราไม่ได้สนิทกันเลยครับ เรามีแต่จะทะเลาะกันในทุกๆครั้งที่เจอหน้ากัน”
จางมัลดงได้หัวเราะแห้งๆออกมาเมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดเหมือนเรื่องธรรมดา จากนั้นหลังจากถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เขาก็ลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง
เสียงหัวเราะของซอลจีฮูได้หยุดลงไป
“จะไปไหนหรอครับ?”
“ฉันจะออกไปสักหน่อย…”
“แล้วเรื่องที่เราคุยกัน…”
“เราค่อยมาคุยกันต่อหลังจากนายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว”
จางมัลดงได้ยิ้มออกมา
“แท้หรือปลอม แรงค์เกอร์ระดับสูงก็คือแรงค์เกอร์ระดับสูง ในฐานะหัวหน้าแล้ว การยกระดับของตัวนายเองก็จะช่วยยกระดับรูปลักษณ์ภายนอกของทีมใช่ไหมล่ะ?
เพราะแบบนี้จางมัลดงก็ได้หยิบจานขนาดเท่าฝ่ามือออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ
ซอลจีฮูได้มองตามลงไปตามสัญชาตญาณ รูปทรงเลขาคณิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองทำให้มันดูน่าประทับใจ
“นี่คืออะไรหรอครับ?”
“มันคือเอกสารรับรองจากกษัตริย์ฟีไฮ เขาได้เอามันมาส่งที่สำนักงานเป็นการส่วนตัวเลยนะ
‘เอกสารรับรอง?”
“เจ้าหนู พูดไปแล้วการกลายเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงก็เหมือนกับการก้าวหน้าในเส้นทางอาชีพหรือได้เลื่อนขั้น นายไม่รู้งั้นหรอว่าราชวงศ์จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลื่อนขั้นนี้น่ะ?”
ใบหน้าของซอลจีฮูได้กลายเป็นสับสนขึ้นมาเมื่อนึงได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง
“กษัตริย์ฟีไฮได้บอกว่านายได้พิสูจน์ตัวเองเกินพอแล้ว เพราะงั้นก็เลยไม่ต้องมีการพิสูจน์อะไรอีก”
“แล้วก็นะหากว่าเขายังจะมอบภารกิจยากๆให้นายไม่ว่าจะด้วยข้ออ้างใด ฉันก็จะเตรียมตัวย้ายสำนักงานของเราแน่นอน”
ซอลจีฮูได้รับเอกสารมา
“ผมจะรีบกลับมานะครับ”
เขาดูเหมือนจะอยากคุยต่อในทันทีที่กลับมา เพราะงั้นจางมัลดงจึงรีบหยิบเอาสมุดบันทึกออกมาจากเสื้อ
“นี่เป็นสมุดบันทึกที่ฉันแยกออกมาจากข้าวของของเอียน นายก็รู้ใช่ไหมว่าเอียนทำหน้าที่เป็นคนเก็บบันทึก?”
เมื่อได้ยินจางมัลดงพูดถึงเอียน ซอลจีฮูก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ฉันมีบางอย่างที่อยากจะได้ยินจากนายเป็นการส่วนตัว”
“?”
“การพูดคุยกันในวันนี้มันทำให้ฉันได้เห็นว่านายสนใจอยู่แค่กับการพัฒนาตัวเองเท่านั้น”
จางมัลดงได้พูดขึ้นต่อ
“ยังไงก็ตามมันก็มีขีดจำกัดที่นายจะทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวอยู่”
ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าเห็นด้วยโดยไม่รู้ตัว
หากว่าเขาอยู่ตัวคนเดียวกันในระหว่างสงคราม เขาก็จะไม่มีทางชนะได้เลยว่าจะตายและฟื้นขึ้นมากี่ครั้งก็ตาม
“ฉันอยากจะรู้เรื่อง”
จางมัลดงได้หยุดชั่วคราว และยกตัวขึ้นมา
“วิสัยทัศน์ของนายที่วาดไว้สำหรับอนาคนที่เกิดขึ้นนอกเหนือไปจากเป้าหมายของนาย”
จางมัลดงที่เห็นสีหน้าไม่รู้เรื่องของซอลจีฮู ได้แต่หัวเราะออกมา
“หากว่านายยังไม่เข้าใจ ฉันก็อยากจะให้นายค่อยๆใช้เวลาวันนี้อ่านสมุดบันทึกนั่นนะ มันอาจจะช่วยนายได้”
ซอลจีฮูได้จับสมุดบันทึกที่ถือเอาไว้แน่น
เมื่อคุยกันจบแล้ว ซอลจีฮูก็ได้มุ่งตรงไปที่วิหารกู่ลาในทันที
แน่นอนว่าแค่การยกระดับขึ้นมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับความสามารถของแรงค์เกอร์ระดับสูง แต่ว่าก็อยากที่จางมัลดงพูด มันจะเป็นประโยชน์ในด้านต่างๆได้เช่นกัน
และจริงๆแล้ว เขาก็อยากจะเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงเช่นกัน
“หืมมม…”
ซอลจีฮูได้ชะงักเท้าอยู่ตรงหน้าวิหาร และค้นหาบางอย่างภายในกระเป๋า
[ปานแห่งเทพ]
-ปานพิเศษท่ามกลางสิ่งต่างๆมากมายที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับร่างกายของมนุษย์ กักเก็บร่องรอยพลังแห่งเทพเอาไว้
-คุณจะถูกส่งไปยังสถานที่ทดสอบในทันทีที่คุณทำการถวายสิ่งนี้
-หากว่าคุณสามารถผ่านการทดสอบที่เทพของคุณมอบให้ได้ คุณก็จะได้รับพลังที่เทียบเท่ากับนักบุญ
-แม้ว่ามันจะเป็นการทดสอบที่ยากลำบาก แต่ว่าปานที่ถูกสร้างขึ้นในระหว่างกระบวนการนี้ก็จะตอบแทนพลังที่ทรงพลังกลับคืนมา
‘ใช้มันตอนนี้จะถูกต้องไหมนะ?’
หลังจากอ่านคำอธิบายดู และเก็บมันลงไป ซอลจีฮูก็ได้ตรงเข้าไปในวิหาร สิ่งที่น่าสนใจก็คือเขาไม่เห็นคนอื่นในวิหารเลยแม้แต่คนเดียวฃ
ซอลจีฮูได้เดินมาหยุดลงตรงหน้ารูปปั้น และก้มหัวลง
มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่ตามมา ซอลจีฮูได้ยืนนิ่งๆโดยไม่ขยับอยู่สักพัก เหตุผลที่เขาไม่พูดอะไรก็เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงมือของเทพธิดากู่ลาที่กำลังลูบหัวเขาอยู่
‘อืมมม…’
ซอลจีฮูได้สัมผัสถึงความรู้สึกของมือนิ่มๆของเทพธิดาที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว
กู่ลาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา และลูบหัวของเขาต่อไป
ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะ?
[ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วนะ]
น้ำเสียงผ่อนคลายได้ดังเข้ามาในหัวของเขา
‘ถึงเวลา?’
[การตัดสินใจของเราในการยอมรับชาวโลกคนหนึ่งที่เกือบจะติดการพนัน]
จู่ๆเธอก็ได้เข้าเรื่องอย่างกระทันหัน ซอลจีฮูได้จมลงสู่ความรู้สึกมืดมนในทันทีที่ตั้งสติกลับมา
[แต่ว่ามันก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว]
กู่ลาได้รอให้ซอลจีฮูพร้อมฟัง และเริ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด
[มันเป็นเพราะสถานการณ์ที่หมดหวัง เจ้ารู้ไหมว่าราชินีปรสิตได้ทำอะไรในตอนที่เธอได้การควบคุม ‘ใจกลางโลก’?]
‘ผมได้ยินมาว่าเธอทำลายจักรวรรดิ’
[ใช่แล้วล่ะ]
กู่ลาได้ยอมรับออกมาเบาๆ
[ในตอนนั้นจักรวรรดิเป็นชาติที่ปกครองใจกลางโลกอย่างเบ็ดเสร็จ]
[แต่แล้วนั่นมันก็แค่เหตุผลหนึ่งเท่านั้น]
น้ำเสียงของกู่ลาได้ดังต่อออกมาเรื่อยๆ
[ราชินีปรสิตรู้]
[หากว่าเธอถอนรากถอนโคนจักรวรรดิโดยไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย มันก็จะมีเพียงแต่ความพินาศเท่านั้นที่หลงเหลือไว้ให้กับอนาคตของปรสิต]
‘เหลือเพียงความพินาจ?’
ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา
[ในทันทีที่จักรวรรดิล่มสลายไป มันก็ไม่ต่างจากการที่อนาคตของพาราไดซ์ได้ตกลงไปสู่เงื้อมมือของราชินีปรสิต]
กู่ลาไม่เคยพูดเรื่องทำนองนี้มาก่อนเลย แต่ว่าเขาก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรเหมือนเคย ซอลจีฮูได้ตัดสินใจจะตั้งใจฟังก่อน
[ราชินีปรสิตได้กลืนกินเทพสูงสุดด้วยพลังที่เธอใช้พิชิตจักรวรรดิ จากนั้นเธอก็ได้ทำการกลืนกินคุณธรรมทั้งเจ็ดต่อ]
ซอลจีฮูเคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาบ้างเล็กๆน้อยจากสถานที่ต่างๆ
[ในจุดๆนั้น มันไม่มีเส้นทางใดที่จะนำไปสู่อนาคตที่มีความหวังอีกแล้ว แต่ว่า…]
[การปรากฏตัวของอีกหนึ่งเผ่าพันธุ์เอเลี่ยน เทวดาตกสวรรค์ เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการคำนวณของทั้งเธอแล้วก็เรา]
[หลังจากเทวดาตกสวรรค์ได้ก่อตั้งสหพันธรัฐ พวกเราได้ยืนยันว่านั่นจะนำไปสู่อนาคตที่มีความหวังซึ่งเราไม่เคยเห็นมาก่อน มันได้เริ่มปรากฏขึ้นมาลางๆแล้ง]
[และจากนั้นเราก็ได้ทำการตัดสินใจกัน]
และการตัดสินใจนั้นก็คือ-
[หากว่ามันยากที่จะไปสู่อนาคนนั่นด้วยพลังที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้างั้นเราก็ควรจะชุบชีวิตอนาคตขึ้นมาด้วยการช่วยเหลือจากโลกอื่นสิ]
[ต่อให้มันจะมีโอกาสอันน้อยนิด แต่ว่ามันก็เคยมีเหตุการณ์อย่างตอนเทพสัประยุทธ์ เพราะงั้นมันจึงคุ้มที่จะลองดู]
น้ำเสียงที่นิ่งสงบของกู่ลายังคงพูดต่อไป
[ในตอนแรกมันก็ไม่ได้แย่อะไร]
[แน่นอนว่ามันยังคงมีความต่างระหว่างปุถุชนกับเทพอยู่ เพราะงั้นเราก็เลยไม่ได้หวังอะไรมาก]
[แต่เราก็หวังว่าหากมีฝูงมดนับแสนนับร้านต่อสู้กับช้าง บางทีสถานการณ์มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงกันได้]
[อย่างน้อยที่สุด เราก็หวังว่ามันจะช่วยสนับสนุนอนาคตที่สหพันธรัฐได้เปิดมันขึ้นเล็กน้อย นี่คือสิ่งที่เราหวังเอาไว้ แต่ว่า…]
กู่ลาได้ลังเลขึ้นมาก่อนจะพูดขึ้นอย่างหมดหวัง
[ปัญหาก็คือราชินีปรสิตรู้ถึงความตั้งใจของเราเป็นอย่างดี]
[เธอได้เริ่มกำจัดชาวโลกที่มีศักยภาพที่จะคุกคามเธอไปทีล่ะคน ราวกับจะเป็นการเยาะเย้ยพวกเรา]
[และนอกเหนือไปจากนั้น เธอก็ยังเลือก และไว้ชีวิตคนที่จะช่วยเธอในอนาคตอีกด้วย]
[ความตั้งใจของเธอมันชัดเจนมาก เธอตั้งใจที่จะย้อนแผนครั้งสุดท้ายของเราให้กลายเป็นตัวช่วยเธอแทน]
ซอลจีฮูที่ฟังอยู่เงียบๆได้หรี่ตาขึ้นมา
‘มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยอยู่’
[อะไรงั้นหรอ?]
‘หากว่าราชินีปรสิตตั้งใจจะเข้าแทรกแซง ถ้างั้นเทพทั้งเจ็ดก็เข้าช่วยได้เหมือนกันไม่ใช่หรอครับ? อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็ต้องระวังคำพูดสักหน่อย…’
‘ศัตรูกำลังเล็งเจ้าอยู่’ หรืออย่าง ‘อย่าอยู่ที่พาราไดซ์ ให้กลับโลกไปสักพัก’ เขาคิดว่าทำไมเหล่าเทพถึงไม่พูดคำง่ายๆพวกนี้
จากจุดยืนของซอลจีฮูแล้ว มันเป็นสิ่งที่อย่างน้อยก็ควรจะลองดู
[มีอยู่สองเหตุผลที่ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ล
กู่ลาได้ตอบกลับมาอย่างสงบ
[เหตุผลแรกก็คือราชินีปรสิตจะไม่ยอมแพ้หลังจากล้มเหลวแค่ครั้งสองครั้ง เหตุผลที่สองก็คือการแทรกแซงใดๆของเทพจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ต่อกฏแห่งกรรม]
‘กฎแห่งกรรม?’
[หากว่าเราเข้าแทรกแซงจนทำให้เกิดอะไรบางอย่างขึ้นมา ถ้างั้นราชินีปรสิตก็จะได้รับสิทธิ์แบบเดียวกัน นี่แหละคือกฎของโลก]
‘ผมไม่เข้าใจเลย ถ้างั้นมันหมายความว่าตามกฎแห่งกรรมแล้ว ราชินีปรสิตก็-‘
[ในปัจจุบันเธอก็คือผู้ปกครองแห่งพาราไดซ์อย่างเบ็ดเสร็จ และด้วยเหตุนี้เธอจึงเป็นตัวตนเดียวที่ได้รับการล่ะเว้นจากกฎของโลก ด้วยการยึดตำแหน่งเทพสูงสุดมาแล้ว เธอจึงได้รับพลังในการมองดาวแห่งโชคชะตา และสิทธิ์ในการเข้าแทรกแซงโดยตรง สถานการร์ในปัจจุบันของเธอต่างไปจากเรา]
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซอลจีฮูจึงเงียบลงไป
หรือก็คือมันเหมือนกับราชินีปรสิตสามารถใช้แมพแฮ็คโดยไม่มีข้อจำกัดเลย
ในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าการต่อสู้ของเทพทั้งเจ็ดกับราชินีปรสิตนั้นเสียเปรียบขนาดไหน
[ยังไงก็ตามมันก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่เสมอ]
[ลูซูเรียพูดถูก]
ทันใดนั้นน้ำเสียงของกู่ลาก็สูงขึ้น
[ในที่สุดเราก็มีคนที่สามารถที่จะใช้พลังแบบเดียวกันกับศัตรูของเราได้แล้ว]
นี่คืออะไร?
[…พูดตรงๆแล้ว ข้าก็อยากจะเก็บให้นายปลอดภัยนานกว่านี้สักนิด]
[แสงอันล้ำค่าที่เราได้เจอในตอนที่เราเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง… ข้าอยากจะให้เจ้ามีเวลาเติบโตมากกว่านี้]
[แต่ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของไอร่า ราชินีปรสิตจึงได้สังเกตุเห็นมันเร็วกว่าที่เราหวังไว้]
[และการที่รู้สึกถึงการคุกคามที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เธอจึงยกทัพออกมา แต่ว่า…]
กู่ลาได้ลูบเขา จากหัว คอ ไหล่ และแผ่นหลัง
[เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก]
[เจ้าได้พิสูจน์ถึงคำพูดที่เจ้าเคยพูดกับเราเอาไว้ในงานจัดเลี้ยงอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว]
น้ำเสียงกู่ลาได้กลายเป็นตื่นเต้นขึ้นมา
[และผลที่ได้ก็คือ ในที่สุดแล้วเราก็เริ่มเห็นมันเช่นกัน]
[แม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงหนึ่งเดียว แต่ว่าอนาคต… มันกำลังอยู่รอบตัวเจ้า!]
น้ำเสียงของเธอได้สั่นไหวขึ้น
เสียงถอนหายใจยังดังออกมาราวกับว่าเธอพยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
[…ใช่แล้วล่ะ]
[มันถึงเวลาแล้ว]
ถึงเวลาแล้ว… มันเป็นครั้งที่สองที่เขาได้ยินเธอพูดแบบนี้
ขณะที่เขากำลังสับสนอยู่ว่าเธอกำลังพูดอะไร เขาก็รู้สึกว่าจู่ๆก็มีมือมาแตะที่ดวงตาของเขา
‘ไม่มีทางน่า!’
ซอลจีฮูได้เบิกตาโพล่งขึ้นมา เขาได้รีบเงยหน้าขึ้น และมองไปที่รูปปั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว
นพเนตร
‘ในที่สุดท่านก็อนุญาตแล้วหรอ?’
[ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่]
กู่ลาได้พูดออกมาราวกับยอมรับในความเป็นจริง
[ยิ่งกว่านั้นตอนนี้มันไม่มีอะไรให้ต้องซ่อนแล้ว]
[เจ้าได้พิสูจน์ถึงความพิเศษของเจ้า และเจ้าก็ได้รับคะแนนคุณูปการมากเกินพอแล้วด้วย]
ร่างกายของซอลจีฮูได้สั่นเทาเล็กน้อย
แรงสั่นสะเทือนได้ถูกส่งผ่านไปทั้งร่างของเขา ทุกๆเซลล์ในร่างเขาได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน
ในที่สุด-
[เจ้าต้องการมันไหม?]
‘ครับ ผมต้องการมัน’
เขายังไม่ค่อยเข้าใจในทุกๆอย่างที่กู่ลาได้บอกกับเขา แต่ว่าซอลจีฮูรู้ได้โดย ‘สัญชาตญาณ’ ว่านี่ก็คือจังหวะสำคัญยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาในพาราไดซ์ซะอีก
[ดีมาก]
ในที่สุดแล้วกู่ลาก็อนุญาต
[เข้ามาใกล้ๆสิลูกของข้า]
เทพธิดาได้วางมือลงบนหัวของเขาอีกครั้ง
[ในนามแห่งกู่ลา นับจากนี้ข้าขอมอบนามผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส (สนองกรรม) ระดับ 5 ให้กับซอลจีฮู]
[ด้วยฐานะแรงค์เกอร์ระดับสูงที่เมินเฉยต่อความดี ความชั่ว และการกระทำตามกฎแห่งกรรม ข้าหวังว่าจะเจ้าประสบความสำเร็จให้สมกับนามที่เจ้าได้รับ!]
และในเวลาเดียวกัน
[ความสามารถโดยกำเนิดของคุณ ‘นิมิต’ ได้ตอบสนองต่อการวิวัฒนาการใหม่ของความสามารถโดยกำเนิดขงคุณ ‘นพเนตร’]
‘อะไรกัน?’
และก่อนที่เขาจะได้มีเวลาทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ใหม่’-
ซ่าาาาาาห์
ภาพตรงหน้าซอลจีฮูได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวสว่างบริสุทธิ์