อาจารย์ใหญ่สวีตั้งเป้าให้ฉินหร่านมานานแล้ว เขาจะจัดพิธีสืบทอดตำแหน่งในเดือนมีนาคมปีหน้า
ก่อนหน้านี้ หนทางที่ตรงที่สุดสำหรับฉินหร่านคือการเข้าสถาบันวิจัยและทำผลงานออกมา มีผลงานการวิจัยระดับสูงเท่านั้นที่สามารถโน้มน้าวใจคนจำนวนมากได้
ปีนี้ฉินหร่านเพิ่งจะอายุยี่สิบ ICNEเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศที่สำคัญ นี่จึงเป็นเส้นทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่อาจารย์ใหญ่สวีหามาเพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ให้เธอ
โครงการนี้เริ่มรับสมัครในเดือนพฤษภาคมของทุกปี อาจารย์ใหญ่สวีมีโควตารอบชิงชนะเลิศอยู่ในมือ ดังนั้นเขาจึงปูทางให้ฉินหร่านไว้แล้วอย่างดีในรอบเดือนพฤษภาคมปีนี้
เพื่อผู้สืบทอดคนนี้ เขาทุ่มเทแรงใจไปไม่น้อย
หลังจากฉินหร่านส่งข้อความไป ทางด้านคณบดีเจียงก็ไม่ตอบอยู่นาน
ที่บ้านคณบดีเจียง โจวอิ่งที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขากำลังถือถ้วยชาพลางพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ฉินหร่านไม่ได้เข้าร่วมอบรมพิเศษของห้องปฏิบัติการ ดังนั้นอาจารย์ของสถาบันวิจัยที่ทุ่มเทให้กับการวิจัยจึงไม่รู้จักเธอ รอเธอเข้าร่วมการแข่งขันICNEรอบเดือนพฤษภาคมปีหน้าได้เมื่อไหร่ พวกอาจารย์คงแย่งตัวเธอรับไปเป็นศิษย์กันเป็นโขยง”
นอกจากคนใจแคบบางคนแล้ว ส่วนมากคนที่ทำการวิจัยเหล่านี้ก็ล้วนหวังว่าลูกศิษย์ที่เป็นคลื่นลูกใหม่จะสามารถทำวิจัยที่เป็นประโยชน์ออกมาได้
โจวอิ่งพูดจบก็พบว่าคณบดีเจียงไม่ตอบ แต่จ้องไปที่โทรศัพท์ด้วยความงุนงง
เขาดื่มชาไปหนึ่งอึกแล้วส่งเสียงเรียก “คณบดีเจียง?”
“อ๊ะ” คณบดีเจียงเหมือนได้สติ เขาปิดโทรศัพท์แล้วเปิดดูใหม่อีกรอบ
“คุณคงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” โจวอิ่งถามด้วยความเป็นห่วง
คณบดีเจียงส่ายหน้า ลังเลอยู่สักพัก “เมื่อกี้ฉันเพิ่งคุยกับฉินหร่าน”
“เธอคิดจะทำอะไร?” โจวอิ่งนึกถึงการกระทำของฉินหร่านที่ทำให้คนเดาไม่ถูก นั่งตัวตรง “คงไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขันหรอกนะ?”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ” คณบดีเจียงเหลือบดูโทรศัพท์อีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าเขาอ่านถูกแล้วก็บอกไปว่า “เธอเหมือนจะบอกว่าเธออาจจะเข้าร่วมการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า?”
จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้ศาสตราจารย์โจว “นายช่วยฉันดูหน่อย ฉันไม่ได้อ่านผิดไปใช่ไหม?”
ศาสตราจารย์โจวเงยหน้าด้วยความตกตะลึง “…”
**
ที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยเมืองหลวง ฉินหร่านเพิ่งตอบข้อความคณบดีเจียงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา
คณบดีเจียง (…)
ฉินหร่านดูอีกครั้งและตอบกลับไปว่า “ขอบคุณค่ะ คณบดีเจียง” จากนั้นก็วางโทรศัพท์ไว้ส่งๆ
“การแข่งขันนี้เป็นการแข่งขันประเภททีม” บนโต๊ะ หนานฮุ่ยเหยายังถือตะเกียบ เธอถามฉินหร่านด้วยความประหลาดใจ “ถ้าเธอเข้าร่วมการแข่งขันก็ต้องหาลูกทีมดีๆ ใช่ไหม? ฉันรู้จักรุ่นพี่อยู่สองสามคน…”
ฉินหร่านกินข้าวต่อ พอได้ยินที่หนานฮุ่ยพูดก็มองไปที่พวกหนานฮุ่ยเหยาสามคนเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
การแข่งขันประเภททีมขนาดกลางแบบนี้ต้องมีสมาชิกทีม 2 ถึง 5 คน
แต่อาจารย์ใหญ่สวีไม่ได้กำหนดตัวสมาชิกมาให้เธอ
เธอคาดคะเนในใจแต่ไม่ได้ตอบทันที
เวลาบ่ายโมง ทั้งสี่คนก็ทานข้าวพูดคุยกันเสร็จ
หลังจากที่ฉู่หังและสิงไคตามข่าวออนไลน์เสร็จ ก็แน่ใจแล้วว่าฉินหร่านบนโลกออนไลน์ก็คือฉินหร่านที่พวกเขารู้จัก เมื่อแน่ใจแล้วก็กลับหอพัก ที่หอพักยังมีพี่ๆ น้องๆ กลุ่มใหญ่ที่กำลังรอความคืบหน้าจากพวกเขาอยู่
หนานฮุ่ยเหยามองมาทางฉินหร่าน “เดี๋ยวเธอจะกลับไปที่ห้องปฏิบัติการเลยหรือเปล่า?”
“เปล่า” ฉินหร่านส่ายหน้า เธอติดกระดุมหมวกเสื้อโค้ตด้านหลังและสวมผ้าพันคอให้เห็นแค่ดวงตาคู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ พูดออกมาว่า “ฉันจะออกไปที่หน้าประตูใหญ่ มีคนรอฉันอยู่”
“งั้นดีเลย ฉันก็กำลังจะไปถนนคนเดินอยู่พอดี” หนานฮุ่ยเหยาเอามือเกาะไหล่เธอแล้วยิ้ม “พอดีเลย”
ทั้งสี่คนแยกย้ายกันไปสองทาง ทางหนึ่งกลับหอพัก อีกทางไปประตูมหาวิทยาลัย
หนานฮุ่ยเหยาและฉินหร่านถึงด้านนอกประตูภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที
วันนี้มีลมหนาวและยังเป็นวันจันทร์พอดี คนที่หน้าประตูใหญ่จึงน้อยกว่าวันธรรมดามาก
หนานฮุ่ยเหยาไม่ได้รีบร้อนไปถนนของกิน แต่อยู่รอเป็นเพื่อนฉินหร่าน
“หร่านหร่าน เธอรอใคร?” หนานฮุ่ยเหยาดึงผ้าพันคอขึ้น
ฉินหร่านยืนอยู่ริมถนน สายตามองถนนเลนเดียวไปตามอารมณ์ มีรถตู้คันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้ามา เธอพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “อาฉันน่ะ”
“อาเธอ?” หนานฮุ่ยเหยาพยักหน้า
รู้สึกอยู่ตลอดว่ามีอะไรแปลกๆ
ขณะที่กำลังคิด รถตู้คันนั้นก็จอดห่างจากทั้งสองไปไม่ไกล
ประตูหลัง มีคนคนหนึ่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตทรงถังน้ำลงจากรถ ที่หน้ายังสวมผ้าปิดจมูกสีดำ
หนานฮุ่ยเหยามองออกไปด้วยความมึนงง เธอชี้ไปทางฉินซิวเฉินและถามฉินหร่านอย่างงงๆ “นี่คือเทพบุตรซุปตาร์ฉินไม่ใช่เหรอ?”
ผู้จัดการที่ตามฉินซิวเฉินลงมาและคิดว่าแฟนคลับคงจำฉินซิวเฉินไม่ได้ “? ? ?”
ตาคุณเป็นแว่นขยายหรือไง?
นี่คือเพื่อนฉินหร่าน ฉินซิวเฉินทักทายหนานฮุ่ยเหยาอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ”
หนานฮุ่ยเหยา “….”
อ๊ะ เธอจำได้แล้ว——
ในรายการไอดอล24ชั่วโมง ฉินหร่านเป็นหลานสาวฉินซิวเฉิน ที่เธอบอกว่าอาก็ต้องเป็นฉินซิวเฉินอยู่แล้วสิ
ตั้งแต่เป็นรูมเมทฉินหร่านมาก็ตกใจจนระแวง ฉินซิวเฉินเป็นอาฉินหร่าน ฉินหร่านเข้าห้องปฏิบัติการได้ และเล่นเกมเธอยังถึงระดับจักรพรรดิยี่สิบดาว…
ที่เธอสามารถเจอเทพบุตรตัวเป็นๆ แบบนี้ได้ ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรมาก…
ห้านาทีต่อมา หนานฮุ่ยเหยาเดินเข้าไปในถนนคนเดินด้วยความงุนงงพร้อมกับถือแผ่นลายเซ็น เจ้าของร้านบูติกถามเธอด้วยความสุภาพว่า “ไม่ทราบว่าต้องการอะไรหรือคะ?”
หนานฮุ่ยเหยาสะดุ้ง ในที่สุดก็ได้สติ
**
หน้าประตูใหญ่
บนรถตู้ของฉินซิวเฉิน
ฉินหร่านนั่งที่เบาะหลัง ดึงหมวกบนหัวลงและหยิบโทรศัพท์ออกมา เธอเปิดไปที่เบอร์ของอาจารย์เว่ยแล้วโทรออก
โทรศัพท์ดังได้สองทีก็มีคนรับสาย
“อาจารย์” ฉินหร่านพิงกระจกรถ
ปลายสายโทรศัพท์ อาจารย์เว่ยยังอยู่ที่รัฐ M หลังจากที่ฉินหร่านลุถึงระดับเจ็ดไปล่วงหน้าก่อนที่เขาประมาณการไว้ เขาก็ไม่ค่อยบังคับเธออีก สำหรับพวกเรื่องดนตรี การที่คนทั่วไปจะขยันมุมานะสอบได้จนถึงระดับกลางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ยิ่งวันเวลาผ่านไปก็ยิ่งจำเป็นต้องมีพรสวรรค์มากขึ้น บางคนยังติดอยู่ในมุมมืดมองไม่เห็นแสงสว่างมาหลายทศวรรษ
“ทำไมจู่ๆ ถึงติดต่อฉันล่ะ” อาจารย์เว่ยโบกมือให้คนรอบข้างออกไปก่อน เขายืนอยู่นอกหน้าต่างแล้วยิ้ม “คิดจะมารัฐ M แล้วเหรอ?”
“นั่นไม่ใช่หรอกค่ะ” ฉินหร่านรีบปฏิเสธก่อนจะพูดว่า “คือคุณอาของหนูอยากพบคุณ”
อาจารย์เว่ยมีสอนอยู่ที่รัฐ M ตลอดทั้งเดือน จึงไม่ค่อยได้สนใจข่าวคราวในประเทศ “อาแท้ๆ ?”
ฉินหร่านเหลือบมองฉินซิวเฉิน “คงใช่มั้ง”
“ได้สิ” อาจารย์เว่ยตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา
ฉินหร่านวางสายและส่งช่องทางการติดต่อของฉินซิวเฉินให้อาจารย์เว่ย
จากนั้นก็แจ้งเบอร์โทรศัพท์ของอาจารย์เว่ยให้ผู้จัดการ
ผู้จัดการจดไว้แล้ว เขาเงยหน้ามองฉินหร่าน…นี่เสร็จแล้วเหรอ?
เหมือนอาจารย์เว่ยจะเป็นพวกอาจารย์ที่มีแต่ภารกิจหน้าที่สำคัญ ตารางในแต่ละวันก็น่าจะยุ่งมาก? ไหนว่ากำลังเตรียมงานแสดงหรือยุ่งอยู่กับสอนคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็กำลังฝึกซ้อมไม่ใช่เหรอ….
“พวกคุณไปรัฐ M พรุ่งนี้หรอ?” ฉินหร่านมองไปทางฉินซิวเฉิน เธอได้ยินเถียนเซียวเซียวบอกว่าฉินซิวเฉินรับงานแสดงของรัฐ M
ฉินซิวเฉินพยักหน้า “อื้ม มีงานหนังของทางนั้นน่ะ คาดว่าต้องใช้เวลาครึ่งปี”
ภาพยนตร์บางเรื่องที่สร้างออกมาอย่างสมบูรณ์แบบถึงขนาดต้องใช้เวลาถ่ายทำอยู่สองสามปี ครึ่งปีเป็นแค่เวลาที่ฉินซิวเฉินเข้าฉาก ภาพยนตร์เรื่องนี้มีธีมหลักเป็นฮีโร่และมีตัวละครมากมาย ฉากในส่วนนี้จึงใช้เวลาแค่ครึ่งปี
“งั้นก็ดีเลย” ฉินหร่านติดกระดุมหมวก “อาจารย์เขาก็อยู่ที่รัฐ M ”
เธอเปิดประตูรถเสร็จก็ถือกระเป๋าเป้ลงไป
ช่วงบ่ายเธอไม่ได้กลับไปที่ห้องปฏิบัติการทางฟิสิกส์เพราะไม่มีการทดลองอะไรแล้ว แต่ไปทำบทความที่ห้องสมุดให้แล้วเสร็จ
รถตู้ที่อยู่ข้างหลัง ผู้จัดการมองแผ่นหลังฉินหร่านอย่างเงียบๆ
จากนั้นก็ส่งสายตามองฉินซิวเฉิน เงียบไปครู่หนึ่งและถอนหายใจ “พฤติกรรมหลานสาวตัวน้อย…ได้รับการถ่ายทอดมาจากนายท่านตระกูลพวกนายเมื่อก่อนจริงๆ ด้วย”
**
อพาร์ตเมนต์หนิงฉิง
หลินหว่านเคาะประตูอย่างสุภาพเยือกเย็น
ผ่านไปครู่หนึ่ง หนิงฉิงก็เปิดประตู “หลินหว่าน? เข้ามาสิ”
เธอเรียกหลินหว่านเข้ามาทันที
หลินหว่านนั่งอยู่ริมโต๊ะพลางมองไปทางหนิงฉิง คราวนี้เธอยิ้มใจดีมากกว่าแต่ก่อน จับมือหนิงฉิงด้วยความสนิทสนม “ช่วงนี้พี่น่าจะรู้ข่าวในอินเทอร์เน็ตนะ”
หนิงฉิงยิ้มแข็งทื่อ ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ จิตใจว้าวุ่น สีหน้าก็ดูเหนื่อยล้า
ฉินหร่านกับซุปตาร์ฉินดังในโลกออนไลน์ขนาดนี้ เธอจะไม่รู้ได้อย่างไร?
เธอคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าฉินฮั่นชิวที่เป็นคนงานขนอิฐจะเป็นพี่น้องกับฉินซิวเฉินจริงๆ …
ตอนที่เห็นเรื่องเปิดเผยออกมาทางอินเทอร์เน็ต หัวใจหนิงฉิงก็ชาหนึบไปหมด
“ฉันรู้แน่นอน” หนิงฉิงชักมือกลับ ก้มหน้ารินน้ำให้หลินหว่าน ในใจรู้สึกขมขื่นอยู่หน่อยๆ
เมื่อหลินหว่านเห็นท่าทีหนิงฉิง เธอก็รู้แล้วว่าหนิงฉิงยังไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนของฉินซิวเฉิน เธอถือแก้วขึ้นมา ระงับความเสียใจที่ทะลักออกมาจากใจ “ที่จริงแล้วซุปตาร์ฉินคือทายาทตระกูลฉิน ถ้าบอกว่าเป็นตระกูลฉินพี่อาจจะไม่คุ้น ไม่ใช่แค่พี่ ฉันเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก แต่นายท่านของพวกเราบอกฉันว่า แม้ตอนนี้ตระกูลฉินจะตกต่ำ แต่ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเมืองหลวง ในแง่ของสถานะทางสังคมในเมืองหลวง ตระกูลเสิ่นร้อยตระกูลก็เทียบตระกูลฉินไม่ได้”
“เพล้ง——”
ถ้วยชาในมือหนิงฉิงร่วงลงกับพื้น
เธอจ้องหลินหว่านด้วยความตกตะลึง
มิน่าล่ะ ครั้งที่แล้วฉินอวี่ถึงบอกว่าฉินฮั่นชิวซื้อจิวเวลรี่ให้ฉินหร่านตั้งมากมาย ตอนนั้นเธอยังเดาด้วยเจตนาร้ายว่าฉินฮั่นชิวคงหลงระเริงไปตามสภาพแวดล้อม
**
วันรุ่งขึ้น
รัฐ M เวลาบ่ายสี่โมงครึ่ง
ฉินซิวเฉินและผู้จัดการเพิ่งออกจากสนามบิน พวกเขาตามกลุ่มของผู้กำกับอยู่ด้านหลัง
ผู้กำกับผมบลอนด์นัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังนำทีมกำชับอย่างเข้มงวด “ที่นี่คือนอกเขตแดนรัฐ M เจ้าหน้าที่ได้ไปทำเอกสารพรมแดนเพื่อข้ามไปยังรัฐ M เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนน่าจะรู้กฎระเบียบของรัฐ M ดี อย่าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นหากเกิดอะไรขึ้นมา พวกเราก็ช่วยอะไรไม่ได้”
คนอื่นๆ พยักหน้า
ลานจอดเครื่องบินของรัฐ M ไม่ได้อยู่ในประเทศ ไม่ได้มีกฎระเบียบโดยเฉพาะเนื่องจากถูกกองกำลังไม่กี่กลุ่มยึดครอง หากไม่ติดตามคณะทีมก็จะเกิดปัญหาเอาได้ง่ายๆ
ในดินแดนที่วุ่นวายแห่งนี้ ถึงจะเป็นคนของสี่ตระกูลหลักก็ยังต้องปฏิบัติตามกฎ
ฉินซิวเฉินลากกระเป๋าเดินทางโดยสวมเสื้อโค้ตทรงตรง ในพื้นที่แห่งนี้ เขาไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น สามารถทำตัวตามสบายได้ ไม่จำเป็นต้องสวมแจ็คเก็ตทรงถังน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้แฟนคลับจำได้
เพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งลงมาจากรถคันสีดำบนถนนใหญ่ที่อยู่ด้านนอก
“คุณอาฉินครับ” เด็กหนุ่มวัยรุ่นเดินตรงมาหาฉินซิวเฉิน เขาโค้งตัวด้วยความสุภาพ “สวัสดีครับ ผมคือวังจื่อเฟิง เป็นศิษย์น้องของศิษย์พี่ อาจารย์เว่ยให้ผมมารอคุณที่นี่”
ไม่ต้องพูดถึงฉินซิวเฉินและผู้จัดการ เพราะแม้แต่ผู้กำกับที่อยู่ข้างๆ พวกเขาสองคนก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
“ซุปตาร์ฉิน นายมีคนรู้จักที่รัฐ M ด้วยเหรอ?” ผู้กำกับเหลือบมองฉินซิวเฉินด้วยความตกตะลึง
ในรัฐ M นอกจากกองกำลังที่ประจำการในรัฐ M และคณะทัวร์พิเศษหรือสถาบันบางแห่งแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าขับรถออกนอกพรมแดนได้ตามอำเภอใจ
คนอื่นๆ ต่างมองมาทางฉินซิวเฉินด้วยความประหลาดใจ
ฉินซิวเฉินเม้มปาก เขาบอกลาผู้กำกับและนัดเจอกันอีกทีที่ศูนย์กลางรัฐ M จากนั้นก็ตามผู้จัดการไปนั่งด้วยกันในรถ
“คงต้องรบกวนคุณแล้ว” ผู้จัดการคิดไม่ถึงเลยว่าวังจื่อเฟิงจะกล้าขับรถออกนอกเขตชายแดนรัฐ M เขาจึงนับถือวังจื่อเฟิงจากใจจริง
ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าอาจารย์เว่ยเป็นวิทยากรรับเชิญพิเศษของสมาคมM…
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าตำแหน่งอาจารย์เว่ยในรัฐ M ดูจะยังสูงมากอีกด้วย มิฉะนั้นลูกศิษย์ของเขาจะกล้าเดินทางตามเขตชายแดนได้อย่างไร?
เนื่องจากวังจื่อเฟิงนั่งข้างคนขับ ผู้จัดการที่นั่งเบาะหลังก็อดไม่ได้ที่จะส่งข้อความให้ซุปตาร์ฉิน——
(อาจารย์เว่ยท่านนี้ยอดไปเลย ไม่แปลกใจเลยที่นายบอกว่าตระกูลสวีอาศัยบารมีเขา ลูกศิษย์ของเขายังสามารถเข้าๆ ออกๆ รัฐ M ได้อย่างอิสระอีกด้วย ถ้าหลานสาวนายมาที่นี่ด้วยก็คงดี…)
ผู้จัดการอดคิดถึงฉินหร่านขึ้นมาไม่ได้
ในเวลาเดียวกันก็ยังมีข้อข้องใจอยู่บ้าง เถียนเซียวเซียวบอกว่าฉินหร่านเป็นลูกศิษย์คนสำคัญของอาจารย์เว่ย งั้นทำไมเธอถึงไม่มารัฐ M …
ผ่านไปสี่ชั่วโมง วังจื่อเฟิงก็มาถึงสมาคมMในเวลาสองทุ่ม
พวกเขาลงรถ วังจื่อเฟิงสอบถามฉินซิวเฉิน “คุณอาฉิน คุณต้องการพบอาจารย์เว่ยตอนนี้เลยหรือว่ากลับไปพักผ่อนก่อนแล้วค่อยพบวันพรุ่งนี้ดีครับ?”
จากน้ำเสียงของเขา ฉินซิวเฉินกับผู้จัดการฟังออกถึงข้อความที่สื่อมา อาจารย์เว่ยมาพบพวกเขาได้ตามเวลาของเขา
ฉินซิวเฉินหรี่ตาลงด้วยความคลางแคลงใจที่เพิ่มขึ้น แต่ใบหน้ายังคงจริงจังและถามอย่างสุภาพ “ขอถามคุณหน่อย ไม่ทราบว่าอาจารย์เว่ยสะดวกในช่วงเวลาไหน?”
ฉินหร่านอุตส่าห์แนะนำอาจารย์เว่ยให้เขาได้รู้จัก ฉินซิวเฉินจึงไม่อาจทิ้งความประทับใจแย่ๆ ให้กับอาจารย์เว่ย
เมื่อเห็นท่าทีฉินซิวเฉินและผู้จัดการระมัดระวังตัวแบบนี้ วังจื่อเฟิงก็รีบโบกมือแล้วยิ้ม “คุณอาฉิน ศิษย์พี่เป็นถึงศิษย์เอกเพียงคนเดียวของอาจารย์เว่ย อาจารย์เมตตาเธอมาก เธอบอกว่าไม่อยากมาสมาคมM อาจารย์ก็ไม่บังคับให้เธอมา และยังเอาโควตาสมาคมMให้ผมอีกด้วย พวกเราไม่ได้แสร้งทำตัวสุภาพกับคุณ คุณอย่าได้พูดอย่างนั้นกับผมอีกเลย ผม…”