ฉินซิวเฉินและผู้จัดการต่างไม่ได้สนใจคำพูดตอนท้ายของวังจื่อเฟิง ในสมองตระหนักถึงแค่ประโยคก่อนหน้านั้น…
‘เธอพูดว่าไม่อยากมาสมาคม M อาจารย์จึงไม่ได้บังคับให้เธอมา และให้โควตาสมาคม M กับผม’…
ผู้จัดการอาจจะไม่ได้รู้สึกมากมายนัก ฉินซิวเฉินที่รู้จักสมาคม M มากกว่าผู้จัดการถึงกับซ่อนความตกใจไม่มิด
สี่ตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง กำลังคิดว่าจะเปิดช่องทางเศรษฐกิจของรัฐ M เพื่อที่จะเข้าไปอยู่ในรัฐ M อย่างไม่เสียดายใดๆ เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนหยิ่งยโสขนาดนี้… ถึงขนาดมอบโควตานักเรียนรัฐ M ให้โดยตัวเองไม่ต้องการ…
ผู้จัดการกับฉินซิวเฉินจึงมองหน้ากันอีกครั้ง
วังจื่อเฟิงมองความหมายของฉินซิวเฉินออก เขาครุ่นคิด พูดขึ้นอย่างสุภาพ “เดี๋ยวจากนี้พวกคุณคงยุ่งมากล่ะสิ วันนี้อาจารย์ไม่มีธุระอะไร ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมจะพาคุณไปพบอาจารย์แล้วกัน”
“โอเค รบกวนคุณด้วย” ฉินซิวเฉินพยักหน้าอย่างสุภาพ
วังจื่อเฟิงพาทั้งสองคนไปที่ห้องทำงานของอาจารย์เว่ย รินชาให้ทั้งสองคน “คุณไม่ต้องเกรงใจผมถึงขนาดนี้ อาจารย์น่าจะมาถึงในอีกสิบนาที”
“ผมจะช่วยคุณจัดเตรียมที่พักก่อน” อยู่กับทั้งสองคนอีกสักพัก วังจื่อเฟิงดูเวลาในมือถือ จึงลุกขึ้น
หลังจากเขาออกประตูไป
ผู้จัดการจึงพยุงถ้วยชา มองฉินซิวเฉินสีหน้าเรียบนิ่ง ราวกับสูญเสียความคิด “ซุปตาร์ฉิน หลานสาวของคุณ…”
ในประเทศ ตอนที่ได้ยินเถียนเซียวเซียวพูดว่าฉินหร่านเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เว่ย ผู้จัดการก็ประหลาดใจไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่มาที่รัฐ M ตรวจสอบสมาคม M เป็นการส่วนตัว เจอกับสถานะของอาจารย์เว่ยเป็นการส่วนตัวที่สมาคม M …
ผู้จัดการจึงได้รู้ว่าเขาตกใจในประเทศยังเร็วเกินไป…
คิดดูแล้ว เรื่องครั้งนี้ที่ซุปตาร์ฉินมาหาอาจารย์ที่รัฐ M ต้องง่ายกว่าที่คิดไว้มากแน่ๆ
ผู้จัดการดื่มน้ำอึกหนึ่งตัวแข็งทื่อ
**
ภายในประเทศ
ตอนค่ำฉินหร่านไม่ได้ไปที่ห้องปฏิบัติการ กลับมาแต่เช้า ไม่ได้ไปที่ร้านอาหาร
เฉิงเวินหรูที่นั่งอยู่โซฟาทักทายเธอ
เฉิงเจวี้ยนโยนกุญแจไปที่โต๊ะ เขานั่งลงที่โซฟา เลื่อนสายตาไปทางเฉิงเวินหรู เลิกคิ้ว “เลี้ยงเหรอ”
เฉิงเวินหรูไขว่ห้างเล็กน้อย ไม่สนใจเฉิงเจวี้ยน แต่กลับมองฉินหร่านที่กำลังดื่มน้ำ “หร่านหร่าน จะมาที่บ้านของพวกเราวันอาทิตย์ใช่ไหม”
ฉินหร่านพิงโต๊ะ พอได้ยิน จึงนึกเรื่องนี้ได้
แม้แต่ของขวัญเธอยังเตรียมไม่เสร็จเลย
เธอใช้ปลายนิ้วเคาะที่โต๊ะ ครุ่นคิดว่าจะเตรียมของขวัญอะไรดี พลางตอบกลับเฉิงเวินหรู
นายท่านเฉิงชอบโบราณวัตถุ ชอบภาพเขียน สำหรับฉินหร่านพวกนี้ไม่ได้อยู่ในคอลเลคชั่นสะสมของฉินหร่านเลย ฉินหร่านเอานิ้วจิ้มที่คาง…
ฉังหนิงกับเหอเฉินน่าจะมีทางออก
คิดถึงตรงนี้ เธอจึงกล่าวทักทายเฉิงเวินหรูอย่างสุภาพแล้วขึ้นไปด้านบน
“ได้ยินมาว่าพ่อของพวกเราทุกวันนี้กินข้าววันละหนึ่งชามทุกมื้อ” เฉิงเวินหรูเสียใจที่ไม่สามารถพูดคุยกับฉินหร่านไปได้มากกว่านี้ เธอกอดอกมองเฉิงเจวี้ยน “ครอบครัวหมอกังวลที่จะตรวจสอบเพราะเขาจะมีปัญหาใช่หรือไม่”
เฉิงเจวี้ยนพิงพนักเก้าอี้ ละสายตากลับมาจากบนบันได ดวงตาเกียจคร้าน “วันนี้มาเพื่อเรื่องนี้?”
“อันที่จริงก็ไม่ใช่” เฉิงเวินหรูจัดท่านั่ง “ช่วงนี้พี่ใหญ่ติดต่อกับคนของฐานทัพอยู่บ่อยๆ สองคนที่โดดเด่นในฐานทัพเมืองหลวงของพวกเรา เฉิงชิงอวี่กับซือลี่หมิง โดยเฉพาะซือลี่หมิง พี่ชายไม่ปกปิดเลย ดึงตัวเขามาอย่างโจ่งแจ้ง”
เธอพูดจบ มองท่าทีของเฉิงเจวี้ยน หรี่ตาลงอย่างไม่แยแส ที่หางตาดูอ่อนล้า แสงในดวงตาพร่ามัว ฟังจบแล้วจึงตอบ ‘อา’ อย่างง่ายดาย
เฉิงเวินหรูหรี่ตา “อย่างอื่นช่างมัน ตอนนั้นที่ฐานทัพนายนำมาเองกับมือ นายก็ไม่ได้สนใจ ไม่ไปดึงตัวซือลี่หมิงมาสักหน่อยล่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ ในที่สุดเฉิงเจวี้ยนก็นั่งตัวตรง
“นายฟังก็ดีแล้ว” เฉิงเวินหรูถอนหายใจโล่งอก “แต่ซือลี่หมิงคนนั้นก็ไม่ได้ดึงตัวมาง่าย ได้ยินว่าหลายเดือนแล้วที่พี่ใหญ่…”
“ฉันบอกว่า” ในที่สุดเฉิงเจวี้ยนมีปฏิกิริยา ไม่เพิกเฉยไม่อยู่นิ่ง มองทางเฉิงเวินหรู “ช่วงนี้คุณกับพ่อบ้านตระกูลเฉิงมีความสัมพันธ์ที่ดีรึเปล่า”
คำพูดของเฉิงเจวี้ยนมักไม่มีเหตุผล
เฉิงเวินหรูฟังจบ ครุ่นคิดราวสองนาทีจึงนึกออก
พ่อบ้านตระกูลเฉิงอายุมากแล้ว พูดมาก จำเรื่องราวในวันธรรมดาไม่ได้จึงบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็ก มองทางเฉิงเวินหรู มีเวลาว่างก็พูดพล่าม
เฉิงเจวี้ยน…
นี่เป็นการแอบว่าเธอทางอ้อม
เฉิงมู่เดินออกมา เห็นสีหน้าของเฉิงเวินหรู อดถามอย่างใส่ใจไม่ได้ “คุณหนูใหญ่ คุณเป็นอะไรไหม คุณมีความขัดแย้งกับพ่อบ้านตระกูลเฉิงรึเปล่า พ่อบ้านเฉิงอายุมากแล้ว คุณอย่าเกลียดชังคำพูดเขา…”
เฉิงเวินหรู “…”
หุบปากเถอะ คนสวนตัวเหม็น
**
ด้านบน ฉินหร่านเปิดคอมพิวเตอร์ มองหาเหอเฉินก่อน
ตอนนี้เหอเฉินยังอยู่ข้างนอก บรรยากาศรอบข้างค่อนข้างมืด
“ภาพเขียนที่เป็นโบราณวัตถุ?” เหอเฉินวางกล้องในมือลง หันกล้องโทรศัพท์มาที่ตัวเอง “คุณมาหาจระเข้ยักษ์แล้วถามเขาสิ”
ฉินหร่านเคาะนิ้วที่โต๊ะ ค่อนข้างประหลาดใจ “จระเข้ยักษ์?”
ไม่ใช่ว่าเขาทำธุรกิจใหญ่โตมาตลอดหรอกเหรอ
“ของของเขาเยอะ” เหอเฉินยิ้ม “ฉันเป็นนักข่าวภาคสนามอยู่ในเขตของเขามาหลายปีแล้ว ครั้งหนึ่งเคยแอบเข้าไปในห้องศึกษาส่วนตัวของเขา เขาน่าจะเป็นนักสะสม ในห้องศึกษาส่วนตัวสมบัติใดๆ ก็หาพบได้ ทั้งในและต่างประเทศ อดีตถึงปัจจุบัน แค่เขาพบมันกับมือ เขาล้วนนำไปไว้ในห้องศึกษาส่วนตัวของเขาได้ เขาเป็นนักสะสมที่ใหญ่ที่สุดในโลกแน่นอน แค่คุณโทรหา ต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น”
ธุรกิจของจระเข้ยักษ์มักไม่โปร่งใส วัตถุโบราณที่เขาให้ความสำคัญ ยังหายากจับต้องไม่ได้
“ได้” ฉินหร่านพยักหน้า “ฉันคิดดูอีกที”
แต่เดิมเธอจะวานให้สองคนนี้ช่วยซื้อให้เธอ แต่สมบัติในห้องศึกษาส่วนตัวของจระเข้ยักษ์…
“คิดอะไรอยู่ แม้ว่างานอดิเรกอย่างเดียวของจระเข้ยักษ์คือห้องศึกษาส่วนตัวของเขาที่เหมือนเป็นการรักษาสมบัติก็ตาม” เสียงทางฝั่งเหอเฉินกลับนิ่งสบายอารมณ์ “แต่กับคุณไม่เหมือนกัน คุณเป็น ‘ลูกพี่ใหญ่’ ของเขา แค่คุณพูดประโยคเดียว เขาก็เปิดประตูห้องศึกษาส่วนตัวออกกว้างทันที ให้คุณเลือกโบราณวัตถุทุกชนิด”
จระเข้ยักษ์และหมาป่าเดียวดายน่าจะมีมิตรภาพร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน
แม้ว่าหมาป่าเดียวดายจะลืมเรื่องที่ยื่นมือเข้าไปช่วยจากสมองไปนานแล้ว…
ฉินหร่านวางสายเหอเฉิน พิงพนักเก้าอี้ ยังคงพิจารณาเรื่องจระเข้ยักษ์
ห้องศึกษาส่วนตัวของจระเข้ยักษ์ล้วนเป็นสมบัติสะสมของเขาทั้งหมดแน่ เธอจึงลังเล
ด้านล่าง เฉิงมู่เรียกเธอกินข้าว ฉินหร่านจึงปล่อยวางชั่วคราว
ที่อีกด้าน
เหอเฉินวางกล้องบนบ่า เปิดโปรแกรมพิเศษของโทรศัพท์ คลิกที่รูปโปรไฟล์ของจระเข้ยักษ์ ส่งประโยคหนึ่งไปอย่างไม่รีบเร่ง เป็นการกระทำที่ราวกับเทน้ำมันลงกองไฟ…
[ถึงเวลาตอบแทนลูกพี่ใหญ่ของคุณแล้ว]