“ไหนเล่าให้พี่ฟังซิคนพวกนั้นแกล้งอะไรคุณหรือเปล่า?” เสี่ยวเฉียงสงสัยช่วงระหว่างการแข่งขันมาก ทำไมเสี่ยวเชี่ยนถึงได้แชมป์
เสี่ยวเชี่ยนหมั่นไส้ผู้ชายหน้าหนาคนนี้จึงไม่ยอมบอกง่ายๆ
“หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่นี่มีพายุฝนกระหน่ำ”
เสี่ยวเฉียงได้ยินแบบนั้นก็ระดมพลังสมองคิด นี่เมียเขาจะเปรียบการแข่งในวันนี้น่ากลัวเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองอย่างนั้นหรือ?
“พายุฝน แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”
“กระจกในบ้านสกปรก”
โลกของกวีก็คือการที่พูดแบ่งประโยคเป็นตอนๆ แถมยังมีการเล่นน้ำหนักเสียงและสีหน้าอารมณ์เพื่อให้ได้อรรถรส
อวี๋หมิงหลางทำหน้างงไปหลายวินาที จากนั้นคนหัวดีอย่างพี่หลางก็คิดได้
“คุณหมายความว่า…ให้ผมไปเช็ดกระจก?”
เสี่ยวเชี่ยนชูสามนิ้ว “ห้องนอนใหญ่ ห้องครัว ห้องนอนเล็ก เช็ดให้หมด”
เช็ดไม่สะอาดฉันไม่บอกหรอก
อวี๋หมิงหลางมุมปากกระตุก ฉวยโอกาสเก่งจริงๆ
“เมียจ๋า นิสัยแบบคุณเนี่ย คุณว่าเหมือนที่คนบ้านนอกพูดกันไหมที่ว่า ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว เอาเปรียบเก่ง แทบอยากเอานิ้วไปจิ้มขี้ดูเวลามีรถดูดส้วมวิ่งผ่าน…โอ๊ย อย่าลงไม้ลงมือเวลาผมขับรถสิ”
“ฉันจะตีนายให้ตายไปเลย”
ไอ้คนบ้า นี่เธอชอบเข้าไปได้ยังไงเนี่ย?
เมื่อกี้เธอยังเป็นฝ่ายกวนประสาทเขาอยู่ชัดๆ นี่กลับกลายเป็นเธอโดนกวนประสาทกลับ แบบนี้อยากถูกส่งไปอยู่ตำหนักเย็น[1]ใช่ไหม
อวี๋หมิงหลางขับรถพลางทำหน้าขอโทษขอโพยเสี่ยวเชี่ยน ครั้งนี้เสียวเหม่ยงอนเขาแล้วจริงๆ ไม่เล่นด้วยกับเขาเลยสักนิด
แต่เธอก็ไม่ได้โกรธจริงๆ ก็แค่งอนกันตามประสาคู่รัก ต้องมีทะเลาะกันบ้างนิดๆหน่ยๆ พอเธอเห็นเขาพยายามง้อก็แอบดีใจอยู่ลึกๆ
พี่รองขับรถไวกว่าอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางมัวแต่ ‘หยอกล้อ’ กับสุดที่รักก็เลยขับช้า ขณะที่กำลังง้อเสี่ยวเชี่ยนอยู่นั้นเขาก็สังเกตเห็นรถคันหนึ่งจากกระจกมองหลัง เขาเพ่งมอง จากนั้นก็ทำตัวจริงจังขึ้นมาทันที
“มีอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเชี่ยนเองก็รู้สึกได้ว่าเขาดูแปลกๆไป
“มีรถคันหนึ่งตามเรามาตลอด”
รถคันนี้ขับตามอวี๋หมิงหลางมาตั้งแต่ออกจากสถานีโทรทัศน์ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะบนถนนก็มีรถเยอะแยะ
แต่นี่ขับมาตั้งนานแล้วยังตามหลังอยู่ ก็แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
“รอไม่ไหวจริงๆสินะ” เสี่ยวเชี่ยนพอจะเดาได้ว่าใครส่งมา
เริ่มตั้งแต่วางกับดัก หาคนมากลั่นแกล้งแล้วไม่สำเร็จ จนตรอกแล้วเลยหาคนมาลงไม้ลงมือกับเธอโดยตรงสินะ?
จะทำร้ายเธอมันก็ไม่มีปัญหาหรอก
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ ต้องขอความเห็นชอบจากทหารหน่วยรบพิเศษมากประสบการณ์ที่อยู่ข้างๆเธอก่อนนะ
รถคันข้างหลังเป็นรถตู้ขนาดเล็กแบบที่นักธุรกิจใช้กัน ดูไม่มีอะไรสะดุดตาเป็นพิเศษ แต่จากประสบการณ์หลายปีของอวี๋หมิงหลาง เขาสังเกตได้ว่ารถคันนี้ผิดปกติ
เขาหันไปสบตาเสี่ยวเชี่ยน เธอพยักหน้าให้
เสี่ยวเฉียงเลี้ยวเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวนั้นแล้วเพิ่มความเร็ว
รถตู้คันนั้นก็เร่งความเร็วแล้วเลี้ยวตามไปด้วย
หมู่บ้านกลางเมืองแถวนี้กำลังจะถูกเวนคืน บ้านบางหลังถูกรื้อไปแล้วครึ่งหนึ่ง ข้างทางรกรุงรัง คนพวกนั้นพอเลี้ยวรถเข้ามาก็เห็นรถแดงของเสี่ยวเชี่ยนจอดอยู่หน้าบ้านที่ถูกรื้อจนไม่เหลือสภาพ
บ้านหลังนั้นเหลือแค่กำแพงด้านหนึ่ง ส่วนตรงอื่นกลายเป็นซากหมด
ถึงแม้คนพวกนี้จะสงสัยว่าเสี่ยวเชี่ยนมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ยังคงขับตามเข้ามา
พวกเขาจอดรถ แต่แล้วก็พบว่าภายในรถแดงไม่มีใคร
มีคนลงมาจากรถตู้สามคน มองหน้ากัน คนที่เห็นเหมือนหัวโจกถามอีกสองคนด้วยความสงสัย
“หายไปไหนแล้ววะ?”
“อยู่นี่”
“ยังไม่รีบตาม…เอ๊ะ?” ใครพูดน่ะ?
พอหันไปมองก็ถูกต้อนรับด้วยหมัด
ยังไม่ทันได้เห็นชัดๆเขาก็ถูกอวี๋หมิงหลางต่อยเข้าที่เบ้าตา จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยพลางเอามือจับตาพร้อมถอยหลัง
ลูกน้องอีกสองคนเห็นอวี๋หมิงหลางเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ส่วนอีกข้างจับหัวทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด
“Hi พวกนายสบายดีไหม?”
สองคนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวี๋หมิงหลางโผล่มาจากไหน
รู้ตัวอีกทีอวี๋หมิงหลางก็ทำท่าจะวิ่งหนีพร้อมหันไปท้าทายสองคนนั้น
“ตามมาเซ่”
“แม่งเอ๊ย ตาม” ทั้งสามคนรีบวิ่งไล่
ความเร็วในการวิ่งของอวี๋หมิงหลางเพียงพอที่จะทำให้สามคนนั้นไล่ตามไม่ทัน
พวกเขาวิ่งไล่กันรอบซากปรักหักพังนี้ เสี่ยวเฉียงวิ่งอย่างสบายๆแถมยังรู้สึกสนุก ส่วนสามคนที่อยู่ด้านหลังก็วิ่งไปหอบไป
มีคนหนึ่งเหนื่อยจนใกล้วิ่งไม่ไหวแล้วจึงถามลูกพี่
“ไอ้หมอนี่มันคงไม่ใช่นักกีฬาวิ่งใช่ไหม?”
ความเร็วขนาดนี้จะวิ่งขึ้นสวรรค์หรือไงวะ
อวี๋หมิงหลางมีการวิ่งย้อนกลับไปด้วย เหมือนกับเวลาเขาฝึกทหาร แถมมีการโบกมือทักทาย
“ด้านหลังน่ะเพิ่มความเร็วหน่อย รีบๆตามมา พวกนายแต่ละคนขาดการฝึกฝนวิ่งช้าอย่างกับหอยทาก คนแก่ยังวิ่งเร็วกว่าพวกนายเลยด้วยซ้ำ ความสามารถมีแค่นี้กล้ารับเงินนายจ้างได้ไงไม่อายเหรอ?”
ลูกผู้ชายฆ่าหยามไม่ได้ นี่มันหยามกันชัดๆ สามคนนั้นโมโหสุดๆ พวกเขาจะมารุมชัดๆ แต่กลับถูกปั่นหัวกันไปหมด แบบนี้ยังเหลือศักดิ์ศรีอยู่อีกเหรอ?
ทั้งสามคนมีแรงฮึดวิ่งต่ออย่างบ้าคลั่ง
เวลาที่คนเราออกแรงวิ่งอย่างบ้าคลั่งพลังงานในร่างกายจะถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว อวี๋หมิงหลางยังสนุกไม่พอออกแรงยุต่อ
“ดูซิพวกนายมีแรงอยู่แค่นี้ ต่อไปใครจะกล้าเรียกใช้นักเลงอย่างพวกนายอีก? แต่ก็นะ ถ้าคนโง่ๆอย่างพวกนายไม่ทำงานแบบนี้แล้วให้คนแรงดีๆทำ แบบนั้นไม่ยิ่งเป็นภัยต่อสังคมเหรอ? เพื่อความมั่นคงของบ้านเมือง พวกนายต้องพยายามให้มากกว่านี้ ทำตัวเป็นนักเลงกระจอกยังทำไม่ได้ดีแล้วอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไร? เปลืองอากาศ ตายไปซากศพยังเป็นมลพิษด้วยซ้ำ กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวไปในอากาศก็ยังมีกลิ่นความกากหลงเหลืออยู่”
สามคนนั้นโดนดูถูกจนเกิดแรงฮึด อยากจะเพิ่มความเร็วเข้าไปอีก แต่ร่างกายกลับไม่ไหว ถ้าพูดเรื่องการฝึกคนอย่างทรมานล่ะก็ เสี่ยวเฉียงเป็นมืออาชีพ
หนึ่งในสามคนนั้นวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว ยืนงอตัวหายใจหอบ รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ส่วนอีกสองคนก็ไม่ต่างกัน คนเราเดินในแม่น้ำใครบ้างเท้าไม่เปียก ครั้งนี้พวกเขาเจองานยากเข้าแล้ว
พวกเขาเลิกไล่ตาม เสี่ยวเฉียงเองก็เลิก
เขายังอยากแสดงความเก่งให้เมียดู แต่คนพวกนี้ไม่เล่นแล้วยังจะมีความหมายอะไร
ขณะที่สามคนนั้นกำลังยืนหอบอยู่ก็เห็นอวี๋หมิงหลางเดินเข้ามาหา
อะ อะไรกัน?
เป็นครั้งแรกที่เห็นคนที่กำลังจะถูกรุมเดินกลับมาหา มันกลับมาทำไม…
ขณะที่ชายที่กำลังยืนหอบสามคนยังหาคำตอบไม่ได้นั้นอวี๋หมิงหลางก็เดินเข้ามาหยุดยืนห่างจากพวกเขาไปสามเมตร สีหน้าดูเสียดาย
“อันที่จริงเมียฉันบอกให้ล่อพวกนายไปทางนั้น…”
สามคนนั้นมองตามมืออวี๋หมิงหลางไปก็เห็นกำแพงที่อยู่ไม่ไกล บ้านหลังนั้นถูกรื้อจนเหลือกำแพงแค่ด้านเดียว สภาพง่อนแง่นจะล้มแหล่มิล้มแหล่
“เมียฉันประเมินพวกนายสูงเกินไป คิกว่าพวกนายน่าจะวิ่งไปถึงตรงนั้นได้ จากนั้นเขาก็จะถีบกำแพงให้ล้มลงมาทับพวกนาย แต่พวกนายก็กากซะเหลือเกิน ทำเมียฉันหมดอารมณ์สนุก เห้อ…”
อวี๋หมิงหลางถอนหายใจแล้วตะโกน
“เมียจ๋า ขอโทษนะ อดแสดงลูกถีบพิฆาตเลยอะ”
[1] ในอดีตเวลาที่ฮ่องเต้ไม่โปรดสนมคนไหนแล้วก็จะถูกส่งไปขังลืมในตำหนักเย็น