ตอนที่ 188 เจ้าคนนี้เสียสติไปแล้วหรือเปล่า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เสินเซ่อเทียนเอ่ยเช่นนี้ ฮ่องเต้จึงค่อยคลายพระทัยลง

แต่ก็ทรงอดไม่ไหวถามว่า “มั่นใจหรือไม่”

“มั่นใจแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

เสินเซ่อเทียนยืนยันหนักแน่น ฮ่องเต้ก็มิต้องทรงกังวลอีกแล้ว

ฮ่องเต้ตรัสว่า “ข้าคิดจะพระราชทานสมรสให้หลิวอวี่กับเซี่ยโหวเฉิน”

เสินเซ่อเทียนฟังแล้วกลับไม่รู้สึกแปลกใจ เขาเอ่ย “ถึงแม้ให้องค์หญิงแต่งงานกับเซี่ยโหวเฉิน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะภักดีต่อฝ่าบาท แต่…อย่างน้อยก็สามารถตัดความร่วมมือของเขากับคนอื่นได้”

อย่างไรเสียด้วยฐานะของเซี่ยโหวเฉิน หากคิดจะแต่งภรรยาก็ต้องเป็นธิดาอ๋องชนชั้นสูง ยากกันไม่ให้เกิดปัญหายุ่งยากได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ให้องค์หญิงแต่งกับเขาเสียเลย ทั้งยังตัดปัญหาวุ่นวายไปได้ไม่น้อย

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้ หากเจ้าไม่มีความเห็นอื่น เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้ว”

“พ่ะย่ะค่ะ”

……

เสินเซ่อเทียนออกจากวังหลวง

เป่ยเจี้ยนเกอก็เข้ามารายงานผลที่ไปถามกับเยี่ยเม่ยจนหมดสิ้น

เสินเซ่อเทียนฟัง แสดงออกว่าเข้าใจแล้ว เพียงสั่งการเป่ยเจี้ยนเกอประโยคหนึ่ง “จับตาดูต่อไป”

……

หลังจากนั้นครึ่งเดือน

จิ่วหุน เซียวเซ่อหยาง และโอวหยางเทากลับมาถึงเสียที

พวกเขาได้รับจดหมายของเยี่ยเม่ยแต่แรก ขนย้ายสมบัติส่วนใหญ่ไปซ่อนในที่ลับ เพียงนำหีบไม่กี่ใบกลับเข้าจวนอย่างโจ่งแจ้ง

หลังจากโอวหยางเทาเข้ามา ประโยคแรกที่ถามคือ “แม่นางซินยังอยู่ที่นี่หรือเปล่า”

เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา

จากนั้นตระหนักได้มองเซียวเซ่อหยาง หากนางจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้คล้ายได้ยินซือหม่าหรุ่ยเล่าว่า เซียวเซ่อหยางเป็นคู่หมั้นของซินเยว่เยี่ยน โอวหยางเทากลับมาถึงก็ถามถึงซินเยว่เยี่ยนไปเหตุใดกัน

เป็นดังคาด เมื่อโอวหยางเทาถามเช่นนี้ เซียวเซ่อหยางก็อดกำหมัดแน่นไม่ได้

เยี่ยเม่ย “…” นางเข้าใจผิดหรือเปล่า

ไฉนนางถึงคิดว่าเหมือนจะมีศึกรอพวกเขาสองคนอยู่กันนะ

ในเวลานี้

ซินเยว่เยี่ยนเดินเข้ามาจากหลังเรือน โอวหยางเทาเห็นนาง แววตาวาวโรจน์ขึ้นมา เอ่ยว่า “แม่นางซิน รีบมาดูเร็ว พวกเรานำสมบัติกลับมามากมาย”

ซินเยว่เยี่ยนรีบจ้ำอ้าวเข้าไป

ใบหน้านางฉาบไปด้วยแววยินดี ขณะที่กำลังจะถามว่าจะแบ่งเงินให้นางหรือไม่

โอวหยางเทาก็เอ่ยว่า “แต่ว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเจ้า”

ซินเยว่เยี่ยน “…” เจ้าคนผู้นี้เสียสติหรือเปล่าเนี่ย

เซียวเซ่อหยางเองก็ตะลึงกับการกระทำแปลกพิกลของโอวหยางเทาเช่นกัน หันไปมองสหายสนิททีหนึ่ง

จากนั้นโอวหยางเทาหาได้ตระหนักเลยว่าตัวเองเอ่ยวาจาโง่งมออกมาประโยคหนึ่ง

ซ้ำยังเลือกเครื่องประดับทรัพย์สินด้วยความเบิกบานส่งไปเบื้องหน้าซินเยว่เยี่ยนให้นางชื่นชม

ซินเยว่เยี่ยน “…”

ของที่ไม่ได้มอบให้ นางไม่คิดชื่นชมเลยสักน้อยได้หรือเปล่า

เยี่ยเม่ยกวาดสายตามองพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยิ้ม เงยหน้ามองจิ่วหุนที่ตั้งแต่เข้าประตูมาก็ยังไม่เอ่ยคำพูดเลยสักคำเดียว

หนุ่มน้อยผู้นี้ยังคงสวมอาภรณ์สีขาวสะอาด บริเวณเอวกลับคาดผ้าผูกเอวสีแดงสดไว้

ยิ่งขับเน้นให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความสูงศักดิ์หรูหรา

ทว่าดวงหน้าค่อนไปทางเย็นชาเป็นพิเศษ คล้ายกับอสูรร้ายแห่งยุค ดวงตายิ่งทำให้คนรู้สึกถึงไอมรณะไม่ชวนให้คนเข้าใกล้

ยามที่เยี่ยเม่ยมองเขา ดวงตาของนักฆ่าหนุ่มกลอกมามองนางเช่นกัน

ตามหลักแล้ว ข้าวของพวกนี้ไม่น่าขนย้ายกลับมาได้รวดเร็วปานนี้ ในเมื่อทำได้ไว นั่นก็หมายถึงพวกเขาเร่งความเร็วในการลงมือแล้ว

ด้วยเหตุนี้เยี่ยเม่ยเลิกคิ้วมองจิ่วหุน เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ลำบากแล้ว”

ครั้นเห็นคิ้วเรียวดังกิ่งหลิวของนางเลิกขึ้น ใบหน้าเย็นชากลับงดงามอย่างบอกไม่ถูก จิ่วหุนมองอยู่ประเดี๋ยวเดียว ถึงกับ…หน้าแดงแล้ว

เขารีบก้มหน้าลง เอ่ยเบาๆ “ไม่เป็นไร”

เห็นเขาก้มหน้างุดลงกะทันหัน เยี่ยเม่ยก็นึกว่าเจ้าเด็กนี่ไม่คุ้นเคยกับการสนทนากับผู้คน หาได้คิดมากความ

เซียวเซ่อหยางเห็นโอวหยางเทายังคงอวดสมบัติต่อหน้าซินเยว่เยี่ยน เขาเดินเข้าไปด้วยความคุกรุ่น แย่งเครื่องประดับในมือโอวหยางเทาออกมา โยนกลับเข้าหีบ เอ่ยด้วยความโมโหว่า “เจ้าสมองมีปัญหาหรืออย่างไรกันเนี่ย”

“ข้าทำอะไรหรือ” โอวหยางเทาหันมองเซียวเซ่อหยางด้วยความไม่พอใจ

เขาสมองมีปัญหาที่ไหนกันก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาออกจะแข็งแรงปานนี้

เพียงแค่เขาเห็นของดีก็อยากให้ซินเยว่เยี่ยนได้ชื่นชมบ้าง เขาทำอะไรผิดงั้นหรือ เหตุใดต้องหาเรื่องเขาด้วย

ซินเยว่เยี่ยนถอนใจ “ไม่เป็นไร เขาก็แค่โง่อยู่บ้าง”

โอวหยางเทา “…”

เขาเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดต้องหาเรื่องเขาด้วย เหตุใดแม่นางซินถึงพูดเช่นนี้

โอวหยางเทามองเยี่ยเม่ยอย่างตระหนักได้ หวังว่านางจะช่วยทวงความยุติธรรมให้

แต่เยี่ยเม่ยลองคิดดูแล้ว หลังจากที่เรียกซินเยว่เยี่ยนเข้าไปชมเครื่องประดับ พอเอ่ยปากก็บอกว่าไม่ได้มอบให้เจ้า แค่ประโยคเดียว

ก็ออกจะเป็น…ผู้ชายทึ่มทื่อ

ดังนั้นเยี่ยเม่ยลูบจมูกป้อยๆ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “การพบกันลาจากทั้งหลายในโลกนี้ หาใช่เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ล้วนถูกไตร่ตรองไว้นานแล้ว”

โอวหยางเทา “…?” ดังนั้นเล่า

เยี่ยเม่ยเสริมต่อ “เจ้าจงใจเรียกคนเข้าไปชมเครื่องประดับ ทั้งบอกว่าไม่ได้มอบให้ผู้อื่น ซ้ำยังหยิบมาให้ผู้อื่นดูต่อหน้า คล้ายกระทำการโอ้อวด เท่ากับเป็นพวกไม่เข้าใจจิตใจคนของแท้ พวกที่ไม่เข้าใจคน ภายหน้ายิ่งมีคนอีกมากที่ไม่เข้าใจการกระทำผีสางเช่นนี้ ดังนั้นจึงจัดอยู่ในพวกที่…ถูกทอดทิ้งได้ง่ายๆ”

คราวนี้โอวหยางเทาสิ้นหวังแล้ว หรือเขาโง่เกินไปจริงๆ ไม่ เป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายขนาดนั้นนี่ เดี๋ยวก่อนนะ…ไม่คิดมากเท่ากับไม่เข้าใจคนหรือเปล่า

ในเสี้ยวขณะนี้

ลั่วซิงเฉินผิวปากเดินออกมาจากในห้อง เห็นข้างนอกมีหีบสมบัติหีบหนึ่ง

เดิมทีเขาไม่สนใจอะไร เตรียมตัวจากไป

แต่คิดไม่ถึงว่า เสี้ยวเวลานี้หางตาเขาเหลือบไปเห็นหยกชิ้นหนึ่ง

หยกชิ้นนั้นดูโบราณเป็นอย่างยิ่ง ปราดตามองครั้งเดียวก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง พอพินิจให้ดีแล้ว กลับรู้สึกว่าภายในคล้ายมีแสงสีเขียวไหลเวียนแวววับ เขาตะลึงเล็กน้อย ฉงนถาม “หยกชิ้นนี้…หรือจะเป็นหยกเทพบรรพกาล”

หยกเทพบรรพกาลหรือ

คนทั้งหลายตะลึงตะลานไปแล้ว

เยี่ยเม่ยไม่เคยได้ยินชื่อของสิ่งนี้มาก่อน ย่อมไม่เข้าใจ

แต่คนอื่นๆ ที่เคยได้ยิน พากันมองไปยังจุดเดียวกับสายตาลั่วซิงเฉิน

โอวหยางเทาเป็นคนแรกที่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คงไม่บังเอิญขนาดนั้นกระมัง หยกชิ้นนี้ดูแล้วธรรม…”

คำว่าธรรมดายังไม่ทันเอ่ยจบ

เวลานี้เองหยกชิ้นนั้นพลันส่องประกายสีทองเรืองรองสะท้อนแสงอาทิตย์ออกมา แต่ว่าเสี้ยวนาทีถัดมาแสงก็ดับวูบไปไม่เห็นอีก

นี่…

นักบู๊ทั้งหลายมองหน้ากันไปมา

โดยเฉพาะสีหน้าของซินเยว่เยี่ยนเคร่งขรึมที่สุด

ในฐานะที่เซียวเซ่อหยางเคยหมั้นหมายกับซินเยว่เยี่ยนมาก่อน ย่อมรู้เรื่องที่เกี่ยวพันกับหมู่ตึกกู่เยว่บ้าง เขารีบหันหน้ามองซินเยว่เยี่ยน เอ่ยว่า “มีคำเล่าลือว่าหยกเทพบรรพกาลนี้เป็นสมบัติของบรรพบุรุษของหมู่ตึกกู่เยว่ หลังจากนำออกมาใช้ในการศึกใหญ่หมื่นปีก็หายไป นับจากนั้นก็ไร้ร่องรอย ใช่ของชิ้นนี้หรือไม่”

ซินเยว่เยี่ยนสีหน้านิ่งขรึม

นางในฐานะผู้อาวุโสในหมู่ตึก ย่อมรู้ประวัติของหมู่ตึกกู่เยว่ชัดแจ้งกว่าคนนอกทุกๆ คน

นางมองหยกชิ้นนั้นครู่หนึ่ง

เอ่ยปากว่า “ข้าจับสังเกตอะไรไม่ได้เลย ไม่อาจมั่นใจได้ อย่างไรเสียหยกเทพบรรพกาลเป็นเรื่องเล่าขานกันมา เป็นของจริงหรือไม่ก็ไม่แน่ชัด ทั้งข้าเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินได้”

ลั่วซิงเฉินเอ่ยปากว่า “ข้าเคยได้ยินอาจารย์เล่าว่า หยกชิ้นนี้ดูแล้วไม่ต่างจากหยกทั่วไป แต่ว่าเมื่อกระทบถูกแสงอาทิตย์จะทอประกายรุ้งเจ็ดสี เมื่อครู่ข้าขยับเข้าไปใกล้เห็นเป็นสีเขียว เมื่อครู่พวกเราก็เห็นประกายสีทองอีก คิดว่า…”

คำพูดเขามาถึงตรงนี้ หยกชิ้นนั้นก็ทอประกายแสงสีแดงสว่างจ้าออกมาอีกครั้ง

จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

คราวนี้ทุกคนเอาแต่มองหน้ากันไปมา

กระทั่งเยี่ยเม่ยยังรู้สึกอัศจรรย์ใจมาก…