ตอนที่ 292 การแข่งขันล่าสัตว์

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“สิ่งที่ข้าต้องการนั่นก็คือ ชั่วนิจนิรันดร์”

ชีวิตของเขานั้นยืนยาวเกินไป  หากเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่มีชีวิตร้อยปี จะเพียงพอได้อย่างไรกัน ?!

เขาต้องการให้สตรีที่เขาสนใจอยู่กับเขาไปจนชั่วนิจนิรันดร์

จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

มู่เฉียนซีสะดุ้งเล็กน้อย จิ่วเยี่ยผู้นี้เอาแต่ใจดีแท้!

— แกร๊ก! —

ทันใดนั้นเสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างของจิ่วเยี่ยอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่เถ้าแก่ไม่ทันสังเกตเห็นแต่อย่างใด

มู่เฉียนซีหันไปมองเถ้าแก่และพบว่าเถ้าแก่กำลังมองนางด้วยแววตาตื่นเต้นไม่ปกปิด

“เจ้าหนุ่ม เจ้าทำได้จริง ๆ เจ้า…”

“เจ้าช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าอัศจรรย์!  เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรรึ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวเสียงแผ่วเบา “เถ้าแก่ก็กล่าวชมข้าเกินไป ข้าเพียงแค่รู้ทักษะพิเศษในการปรุงยาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง สรรพคุณของยาเหย้าจี้ (ยาแผนปัจจุบัน) ใช่ว่าจะด้อยไปกว่ายาลูกกลอน ส่วนชื่อข้านั้น โปรดเรียกข้าว่ามู่ซี”

เถ้าแก่กล่าวอย่างหงุดหงิดใจ “ดูเหมือนว่าเมื่อครู่ข้ามีตาแต่หามีแววไม่   มู่ซี ที่เมื่อครู่ทำกับเจ้าเช่นนั้นไป ข้าไม่เอาไหนเลยจริง ๆ”

“เถ้าแก่เพิ่งจะเคยเห็นยาแผนปัจจุบันเป็นครั้งแรก ย่อมไม่รู้สรรพคุณของมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ข้าไม่เก็บมาใส่ใจหรอก  เรื่องโรงเตี๊ยม…”

เถ้าแก่ “โรงเตี๊ยมข้ายกให้เจ้า มันเป็นของเจ้าแล้ว”

มู่เฉียนซี “เช่นนั้นรบกวนเถ้าแก่ส่งข้ากลับโรงเตี๊ยมหน่อยเถอะ”

เถ้าแก่ “ได้ มีข้าอยู่ทั้งคน พวกกลุ่มหลางเทียนนั่นไม่กล้ารังแกเจ้าอย่างแน่นอน หากพวกนั้นกล้ารังแกเจ้า เจ้ารีบมาบอกข้า”

มู่เฉียนซีช่วยฮูหยินของเขาเอาไว้ สำหรับเขาแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อเขาอย่างมิอาจเปรียบได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เถ้าแก่อย่างเขาจะปกป้องมู่เฉียนซี

ไม่นานนักเถ้าแก่ก็ได้พามู่เฉียนซีกลับไปที่โรงเตี๊ยม

ฮุยหลางเบิกตากว้างมองมู่เฉียนซีด้วยความตกใจ “เจ้าเด็กอัปลักษณ์ เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกรึ ?”

มู่เฉียนซีกล่าวหยอกเย้า “ไม่เพียงแต่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้ายังทำให้เจ้าประหลาดใจด้วย”

เถ้าแก่ “ข้าขอประกาศว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของมู่ซีแล้ว ต่อไปทุกคนในโรงเตี๊ยมจะต้องฟังคำสั่งของเขา”

ฮุยหลางแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “เถ้าแก่ ท่านอย่าบอกนะว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้เป็นนักปรุงยาระดับสูง สามารถหลอมยาหลิงเชิงระดับเจ็ดออกมาได้”

เถ้าแก่ “แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่สามารถหลอมยาหลิงเชิงระดับเจ็ดออกมาได้ แต่ข้าจะยกโรงเตี๊ยมแห่งนี้ให้เขา ผู้นำกลุ่มของเจ้ายังไม่เดือดร้อนอันใด แล้วเจ้ามาเดือดร้อนอะไรด้วยรึ ?”

วิธีการปรุงยาของเด็กหนุ่มมู่ซีผู้นี้แปลกประหลาดมากเกินไป ดังนั้นจะให้ผู้อื่นรู้เรื่องนี้มากไม่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีอย่างกลุ่มหลางเทียน

ฮุยหลางแค่นเสียงโหดเหี้ยม “เจ้าหนุ่ม เจ้าใช้อุบายใดให้เถ้าแก่ขายโรงเตี๊ยมให้กันแน่ ?”

มู่เฉียนซี “จะใช้อุบายใดนั้น มีความจำเป็นต้องบอกเจ้าด้วยรึ ? เจ้ารู้แค่เพียงว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของข้าก็พอแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าเก็บข้าวของออกไปจากโรงเตี๊ยมข้าได้แล้ว อ้อ และจงเอาหยกวิญญาณร้อยชิ้นนี้ไปด้วย”

ฮุยหลางกล่าวอย่างดุร้ายทันทีว่า “เจ้ารนหาที่ตายรึ ?!” กล่าวจบฮุยหลางก็พุ่งเข้าหามู่เฉียนซี

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ยอดฝีมือระดับราชา ทว่าพลังความแข็งแกร่งของเขาเป็นถึงปรมาจารย์ภูตระดับเก้า

แต่ก็แปลกนัก! เขาพยายามอย่างเต็มที่แล้วแท้ ๆ  มู่เฉียนซีกลับหลีกเลี่ยงการโจมตีของเขาได้เสมือนว่าง่าย ๆ

ทุกผู้คนมองภาพฉากที่มู่เฉียนซีหลบหลีกการโจมตีนั้นด้วยความตะลึง  เจ้าหนุ่มผู้นี้รวดเร็วมากจริง ๆ!

ปรมาจารย์ภูตระดับสอง เด็กหนุ่มมู่ซีผู้นี้เพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีพลังเป็นถึงปรมาจารย์ภูตแล้ว

ฮุยหลางโจมตีมู่เฉียนซีครั้งแรกแล้วไม่โดน เขารู้สึกคับแค้นใจ รีบหยิบหอกยาวออกมาไล่โจมตีมู่เฉียนซีอีกครั้ง

— แกร๊ง! —

‘มู่ซี’ หยิบเอากระบี่มังกรเพลิงออกมาต่อสู้ จากนั้นเขาสามารถฟันหอกของฮุยหลางหักสะบั้นได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้อ่อนยวบยาบ

เมื่ออาวุธของตนถูกทำลายลงเช่นนี้ ฮุยหลางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที “เจ้าเด็กบัดซบ จะ… เจ้า… เจ้าบังอาจยิ่งนัก… เจ้า…”

‘มู่ซี’ ทำทีกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “เฮ้อ… อาวุธของเจ้าช่างอ่อนแอเสียจริง! กระทบแค่เพียงน้อยนิดก็หักก็ขาดสะบั้นเสียแล้ว เจ้ายังกล้าเอาออกมาใช้ให้ขายหน้าวันละห้าเบี้ยอีกรึ ?!”

“เจ้าเด็กบัดซบรนหาที่ตาย!” ฮุยหลางตะคอกอย่างรุนแรง และในขณะนั้น พลังปรมาจารย์ภูตระดับเก้าก็แผ่กระจายออกมาอย่างมิอาจห้ามได้

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

มู่เฉียนซีหลบหลีกการโจมตีนี้อีกครั้ง

ฮุยหลางกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหลบไปได้ตลอด”

ทว่า…

“โล่มังกรวารี!”

“บุปผาหลั่งสายฝน!”

“มังกรวารีสะท้านสวรรค์!”

“มังกรวารีพิฆาต!”

ฮุยหลางยังไม่ทันได้ลงมือ มู่เฉียนซีร่ายรำหลายกระบวนท่าใส่เขาไม่ยั้งจนเขาไม่อาจตั้งตัวรับมือได้ทัน

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเย็นชา “ไสหัวไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

ร่างของฮุยหลางกระเด็นออกจากโรงเตี๊ยม ผู้คนในโรงเตี๊ยมเบิกตากว้างจนดวงตาแทบถลนออกมาด้วยความตกใจ “จอมภูตพลังธาตุวารีใช้พลังกันเช่นนี้เลยรึ ? วิปริตเกินไปแล้ว!”

“สี่กระบวนท่าติดต่อกัน  สี่กระบวนท่าเลยเชียว อ๊าก!”

“ปรมาจารย์ภูตระดับเก้า ห่างกันถึงเจ็ดระดับเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้ด้วยเลย”

มู่เฉียนซีฉวยโอกาสฟาดฟันฮุยหลางอย่างหนัก เขาจึงต้องอับอายขายหน้ามากถึงเพียงนี้

ฮุยหลางกระโจนขึ้น พุ่งเข้าใส่มู่เฉียนซีอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ ทว่าเขาไม่ทันได้เข้าถึงมู่เฉียนซีก็ถูกกลิ่นอายทรงพลังฟาดเข้าใส่พลันร่างของเขากระเด็นลอยออกไปไกล

“พรวด!  พรวด!  พรวด!”

ฮุยหลางได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจนกระอักเลือดออกมาสามระลอก  เขากล่าวด้วยความตกใจว่า “เถ้าแก่ เจ้า… เจ้าช่วยเด็กนั่น เจ้า…”

เถ้าแก่แค่นเสียง “ถึงแม้ว่าโรงเตี๊ยมจะถูกขายไปแล้ว แต่ข้ายังคงคุมอยู่ หากเจ้ากล้าที่จะก่อเรื่องในโรงเตี๊ยมอีก ข้าไม่ไว้หน้าเจ้าแน่ แม้แต่ผู้นำกลุ่มของเจ้า ข้าก็ไม่เว้น”

สีหน้าฮุยหลางซีดเผือด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิ เขาไม่อาจต้านทานได้ ทำได้เพียงนำคนออกไปจากโรงเตี๊ยมแต่โดยดี

มู่เฉียนซี “เถ้าแก่ ข้าขอขอบคุณท่านมาก”

เถ้าแก่ “เจ้ากล้าที่จะมีเรื่องกับฮุยหลางผู้นี้ นั่นก็หมายความว่าเจ้าสามารถรับมือต่อสู้กับเขาได้อยู่แล้ว ข้าเพียงแค่ลงมือจัดการไปตามน้ำก็เท่านั้น”

มู่เฉียนซี “เถ้าแก่ ข้ามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการทางตอนกลางของเซี่ยโจว ถึงแม้ว่าข้าจะซื้อโรงเตี๊ยมนี้แล้ว แต่ก็ต้องรบกวนเถ้าแก่ช่วยเป็นเถ้าแก่ที่โรงเตี๊ยมนี้ไปก่อนสักระยะ”

“ได้ ไม่มีปัญหา”

“เช่นนั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน พักผ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะเตรียมของขวัญให้เถ้าแก่ เพื่อไม่ให้ท่านผู้มีพลังระดับจักรพรรดิช่วยงานข้าเปล่า ๆ”

เมื่อได้รู้จักกับยอดฝีมือระดับจักรพรรดิผู้นี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ได้รู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับเมืองฉู่แห่งนี้

กลุ่มนักผจญภัยค่อนข้างคุ้นเคยกับเทือกเขาชีชง หากต้องการข้ามเทือกเขาชีชงนี้ไป สามารถเดินทางไปกับกลุ่มนักผจญภัยเหล่านั้นได้ เช่นนี้จะช่วยลดอันตรายลงได้มาก

ช่วงนี้เป็นช่วงที่สัตว์วิญญาณออกอาละวาด อย่างน้อยน่าจะประมาณครึ่งเดือนพวกมันถึงจะหยุดอาละวาด  มู่เฉียนซีเตรียมพร้อมที่จะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนเป็นเวลาครึ่งเดือน

ทว่าวันต่อมา มู่เฉียนซีได้รับจดหมายเชิญจากเจ้าเมือง

“เหตุใดเจ้าเมืองถึงได้ส่งสิ่งนี้มาให้ข้า ข้าเพิ่งจะมาถึงเมืองฉู่ ยังไม่ได้รู้จักกับเขาเลย” นางกล่าวกับตนเอง

ข้ารับใช้ที่มาส่งจดมายกล่าวว่า “ช่วงนี้สัตว์วิญญาณกำลังจะออกอาละวาด เจ้าเมืองจึงได้เชิญยอดฝีมือในเมืองฉู่ทุกคนเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้ วานนี้เจ้าเมืองได้ข่าวว่าคุณชายประลองฝีมือต่อสู้เอาชนะฮุยหลางจากกลุ่มผจญภัยหลางเทียนได้ ท่านเจ้าเมืองชื่นชมในความสามารถของคุณชายเป็นอย่างมาก จึงให้ข้าน้อยมาส่งจดหมายเชิญให้กับคุณชายขอรับ”

วานนี้ทหารยามที่เฝ้าประตูบอกว่าหากเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ที่เจ้าเมืองได้จัดขึ้นก็จะสามารถเข้าไปในเขตเทือกเขาชีชงได้ นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้เจ้าเมืองจะส่งจดหมายมาเชิญ

มาถึงเมืองฉู่ที่อยู่ใกล้กับเทือกเขาชีชงเช่นนี้แล้ว การต่อสู้เท่านั้นที่จะเป็นวิธีเพิ่มความแข็งแกร่ง ดังนั้นมู่เฉียนซีจึงเต็มใจเข้าร่วมการแข่งขันล่าสัตว์ในครั้งนี้

.