แดนนิรมิตเทพ บทที่ 349
อู่โจว ลานชุมชนเมือง

ภายในห้อง เฉินโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูเอียนชิงเฉิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าตัวเอง สีหน้าเคร่งเครียด

หลายวันมานี้ เอียนชิงเฉิงทำทุกอย่างโดยไม่บ่นสักคำ ความตั้งใจเช่นนี้แม้แต่เฉินโม่เองก็ไม่มีอะไรจะพูด

และเมื่อผ่านเรื่องเจ้าสำนักน้อยนั้นมา ภายในใจเฉินโม่เองก็เริ่มหวั่นไหว บางทีรับเอียนชิงเฉิงไว้ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

แต่ว่า ถ้าหากสอนวิชาบำเพ็ญเซียนให้กับเอียนชิงเฉิงโดยตรงเลย เฉินโม่รู้สึกว่ามีความอันตรายมาก ถ้าหากวิชาหลั่งไหลออกไป ผลลัพธ์ที่เกิดแม้แต่เฉินโม่เองก็ไม่สามารถควบคุมได้

สุดท้ายเฉินโม่ตัดสินใจเลือกวิชาโลกบำเพ็ญเซียนอย่างหนึ่ง รวมกับวิชาของโลกนักบู๊ และเมื่อทำให้อ่อนแอลงแล้วก็ส่งมอบให้เอียนชิงเฉิงฝึกฝน

รออนาคตคอยดูคุณสมบัติและลักษณะนิสัยของเอียนชิงเฉิง แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพาเธอเข้าโลกบำเพ็ญเซียนอย่างเป็นทางการหรือไม่

“เธอลุกขึ้นเถอะ ฉันตกลงรับเธอเป็นศิษย์ ตั้งแต่วันนี้ไป เฉินซงจื่อก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของเธอ”

เมื่อผ่านการวิเคราะห์พิจารณาแล้ว ในที่สุดเฉินโม่ก็เอ่ยปากตอบตกลง

ในแววตาของเอียนชิงเฉิงมีความดีใจ “ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์!”

แล้วหันหลัง ทำความเคารพให้กับเฉินซงจื่อและพูดว่า “สวัสดีค่ะศิษย์พี่ใหญ่!”

เฉินซงจื่อทำความเคารพกลับ “ศิษย์น้องไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปเธอและฉันคือคนบ้านเดียวกันแล้ว ต้องดูแลกันและกัน”

เฉินซงจื่อไม่กล้าตั้งตนเป็นใหญ่ เพราะไม่แน่วันไหนเอียนชิงเฉิงอาจจะเลื่อนขั้นสู่อาจารย์แม่ก็ได้ ตอนนี้ดูแลอย่างดี อนาคตมีประโยชน์แน่นอน

“ในเมื่อเธอเข้าสู่สำนักของฉันแล้ว ก็ต้องเชื่อฟังกฎระเบียบของฉัน เฉินซงจื่อ เดี๋ยวนายบอกกฎระเบียบให้กับเธอ หากมีการละเมิดกฎ ฉันจะจัดการด้วยตัวเอง”

น้ำเสียงของเฉินโม่เด็ดขาด ไม่มีอารมณ์ใดๆปนสักนิด

เอียนชิงเฉิงโค้งตัวคำนับ “ศิษย์เข้าใจแล้วค่ะ!”

“ต่อไปเธอก็เรียกเหมือนกับเฉินซงจื่อ ต่อหน้าผู้คนเรียกฉันว่านายน้อยก็พอ เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วยค่อยเรียกฉันว่าอาจารย์” เฉินโม่อธิบาย

“นายน้อย!” เอียนชิงเฉิงก้มหัวเรียกเสียงเบา

เฉินโม่พยักหน้า เผชิญหน้ากับใบหน้าสวยงามของเอียนชิงเฉิงแล้ว ไม่มีความคิดอื่นใดเลย “เฉินซงจื่อ นายพาเธอไปคุ้นเคยกับกฎระเบียบที่ห้องด้านข้างก่อน แล้ววันพรุ่งนี้ ฉันจะสอนวิชาฝึกฝนให้อย่างเป็นทางการ”

“ครับ!”

ทั้งสามคนจากไป เฉินโม่เริ่มนึกคิด ว่าจะใช้วิชาไหนสอนให้กับเอียนชิงเฉิง

สุดท้าย เฉินโม่เลือกวิชาสู่เซียนขั้นเจ็ดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหยาฉื่อ

เฉินโม่เคยมีประสบการณ์แก้ไขวิชาให้กับเฉินซงจื่อมาก่อน ไม่นานจึงแก้ไขวิชาสู่เซียนขั้นเจ็ดอย่างใหม่เอี่ยมเสร็จ ดูแล้วไม่ต่างจากวิชาของนักบู๊โลกมนุษย์มากนัก แต่พลังแข็งแกร่งกว่าร้อยเท่า

เมื่อเตรียมวิชาให้กับเอียนชิงเฉิงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินโม่ก็หยิบเอาสิ่งของที่ค้นมาได้จากเจ้าสำนักน้อยทิพย์ออกมาจากแหวนเก็บของ

หยกรวมสารสามชิ้น หินหยกสิบกว่าก้อน และยังมีกระดูกขาอีกหนึ่งท่อน

ในตอนนี้โลกที่ขาดแคลนพลังชี่ทิพย์ แต่กลับได้หินหยกชั้นดีหลายสิบก้อนมาในพริบตา ถือเป็นของล้ำค่าชุดหนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยกรวมสารทั้งสามชิ้นนั้น ถือเป็นของหายากล้ำค่าอย่างมากเลยทีเดียว

แต่ของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ล้ำค่ามากกว่านี้จริงๆแล้วก็คือกระดูกขาท่อนนั้น

จากแววตาชั้นดีของเฉินโม่แล้ว แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือกระดูกขาของเทพเซียนชั้นมนุษย์ หรือก็คือกระดูกขาของผู้บำเพ็ญเซียนระดับแดนยาทองที่เหลือทิ้งไว้

ชั้นเก้าแดนรวมพลังยากลำบาก แต่เมื่อได้ยาทองก็ง่ายสู่การเป็นเซียน

ในโลกบำเพ็ญเซียน มีเพียงแค่การสู่แดนยาทองได้ ถึงจะสามารถเรียกว่าเป็นผู้บำเพ็ญที่แท้จริง ผู้บำเพ็ญแดนยาทองเรียกอีกอย่างว่าเทพเซียนชั้นมนุษย์

สามารถฝึกฝนจิตปฐมได้ คือผู้บำเพ็ญอาวุโส เรียกได้ว่าเทพเซียนชั้นดิน

ชาติที่แล้วเฉินโม่อยู่ช่วงกลายเทพ เรียกว่าผู้บำเพ็ญชั้นสูง เป็นเทพเซียนชั้นฟ้าระดับยอด

ส่วนศิษย์น้องหญิงลั่วหลีเป็นเซียนแท้แดนสู่ธรรมะ

ระดับชั้นของโลกบำเพ็ญเซียนเข้มงวดมาก ทุกระดับชั้นล้วนมีระยะห่างแสนอันตรายที่ข้ามผ่านได้ยาก เทพเซียนชั้นมนุษย์แดนยาทองคนหนึ่งสามารถเอาชนะผู้บำเพ็ญตนชั้นเก้าแดนรวมพลังนับร้อยคนได้อย่างง่ายดาย

พลังของเทพเซียนชั้นมนุษย์และพลังของแดนรวมพลัง แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

กระดูกขาท่อนหนึ่งของเทพเซียนชั้นมนุษย์มีพลังทิพย์บรรจุอยู่ มากเพียงพอที่จะเทียบกับเฉินโม่ในระดับชั้นสี่แดนรวมพลังนับร้อยคน