บทที่ 3 ยกเลิกสัญญาหมั้น

ข้าแค่อยาก “กิน” อย่างเงียบๆ

“ถุ่ยยย ตระกูลเจียงของพวกเราเป็นผู้บ่มเพาะมาทุกชั่วรุ่น และในเมืองเทียนหยางแห่งนี้ พวกเราคือผู้ไร้ผู้ต้าน แล้วจะให้พวกเราถูกเหยียดหยามถึงถิ่นแบบนี้เนี่ยนะ”

“ถ้าเป็นลูกของเจ้าเอง เจ้าจะทนให้พวกมันทำตัวอย่างนี้แล้วยอมรับเม็ดยาไว้แต่โดยดีได้งั้นเรอะ”

เจียงเหวิ่นคำรามลั่น

ผู้อาวุโสสูงสุดเมื่อได้ยินก็ถึงกับขมวดคิ้วแล้วพูดออกมา “เจียงเหวิ่น แต่ลูกของเจ้ากลายเป็นขยะไปแล้วนะ”

“จริงด้วย พี่ใหญ่ เม็ดยานี้สำคัญกับลูกของท่านเป็นไหนๆ”

เจียงหวู่รีบพูดเสริมขึ้นมา

“พวกเจ้า…”

เจียงเหวิ่นไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่ตัวเองคอยไว้หน้ามาโดยตลอดจะมารวมหัวกันเล่นงานเขาแบบนี้ แต่กับเรื่องนี้ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธคำพูดของคนเหล่านี้ได้

“ท่านพ่อ ยกเลิกสัญญาหมั้นเถอะ”

เมื่อพูดจบ เจียงหยวนก็ได้เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา

“ดี นายน้อยที่ดีมันต้องอย่างนี้สิ”

เมื่อได้ยินแบบนี้คนตระกูลหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าออกมา ก่อนที่จะยื่นสัญญาหมั้นหมายไว้ตรงหน้าของเจียงหยวน

“หยวน…”

เจียงเหวิ่นในตอนนี้มองหน้าลูกชายของตนด้วยสีหน้ารู้สึกผิดอย่างที่สุด

เจียงหยวนเองก็ได้ยิ้มร่าออกมาราวกับไม่ได้รู้สึกอดสูกับเรื่องเกิดขึ้น ก่อนจะทำหน้าสะอิดสะเอียนแล้วพูดออกมา

“ท่านพ่อ ไม่เป็นไร ตอนนี้เพียงแค่ข้านึกถึงว่าต้องแต่งงานกับหลี่ชูชูก็ขยะแขยงจนขนลุกขนชันแล้วเนี่ย”

เจียงหยวนพูด ก่อนจะหันไปมองคนตระกูลหลี่ที่ถือสัญญาหมั้นหมายเอาไว้

“ข้าถามได้รึเปล่าว่าคุณหนูตระกูลหลี่ หลี่ชูชูอยู่ที่ใด”

“เมืองอาทิตย์คราม ภายในคฤหาสตระกูลหลี่ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ หลังจากที่เจ้าลงนามในสัญญายกเลิกการหมั้นนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นคุณหนูของข้าอีกต่อไป”

“นางในตอนนี้เปรียบได้ดั่งมังกรในหมู่มังกร นกฟีนิกส์ในร่างมนุษย์ และในตอนนี้ใกล้ที่จะได้เข้าสำนักกระบี่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว”

คนตระกูลพูดออกมาอย่างดูถูกพลางจ้องมองเจียงหยวนอย่างดูแคลน พร้อมกับวางท่าทางใหญ่โตต่อหน้าเจียงหยวน

“ก็ดี ไป พาข้าไปหาคุณหนูของเจ้าหน่อย”

เจียงหยวนพูดเสร็จก็ได้คว้าสัญญาหั้นหมายจากมีคนตระกูลหลี่ ก่อนจะคว้าพู่กันและน้ำหมึกที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องโถงประชุมไป

เมื่อเห็นแบบนี้ ทุกคนได้รีบเดินตาม

….

บนท้องถนน เมื่อทุกคนได้เห็นผู้คนของตระกูลเจียง ต่างก็พากันพูดคุย

“เฮ้ ดูนั่นสิ นั่นไม่ใช่นายน้อยขยะหรอกเหรอนั่น ทำไมเขาถึงได้ออกมาได้ล่ะ ข้าไม่ได้เห็นเขามากว่าหนึ่งปีแล้วนะ”

“ข้าได้ยินมาว่าเขาทำการบ่มเพาะอยู่ที่บ้านทุกวันตั้งแต่หนึ่งปีก่อน แต่จนป่านนี้ยังไม่มีพลังภายในขึ้นมาเลย ช่างน่าขันนัก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นนั่นรึเปล่า เขาถือพู่กันและน้ำหมึกมาด้วย คงไม่ใช่ว่าเขาจะล้มเลิกบนเส้นทางบ่มเพาะแล้วจะไปเอาดีเป็นนักปราชญ์หรอกนะ”

“ทางนี้มันทางไปตระกูลหลี่ไม่ใช่เหรอ ข้าได้ยินมาว่าคนของตระกูลหลี่กลับมาที่นี่ ข้าว่าต้องมีเรื่องดีๆให้พวกเราดูแหงๆ ไปดูกันดีกว่า”

ตลอดทาง ผู้คนมากมายได้มารวมตัวกัน ไม่นาน ผู้คนกว่าร้อยก็ได้เดินตามเจียงหยวนและพวกไป

….

ตระกูลหลี่

“แย่แล้วขอรับ เจียงหยวนไปพาคนมาจากไหนก็ไม่รู้เป็นร้อยคน มันกำลังมุ่งตรงมาที่นี่”

เมื่อเห็นขบวนคนจากแต่ไกล ยามเฝ้าประตูที่ไม่อาจทนแรงกดดันนี้ได้ก็ได้รีบวิ่งเข้าไปแจ้งข่าวภายในคฤหาสน์

ผู้นำตระกูลหลี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้เมื่อได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะถามออกไป

“อะไร ร้อยคนเหรอ ตระกูลเจียงมันมีคนแค่สามร้อยคน แล้วมันพาคนมาที่นี่เป็นร้อยคนเลยเหรอ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่พันคนน่ะ”

“ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ร้อนรนไป มันก็แค่พวกขยะเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าลุงเชิงไปที่นั่นไม่ใช่เหรอ แล้วในหมู่คนที่มามีลุงเชิงอยู่ด้วยรึเปล่า”

เป็นตอนนี้ที่มีเสียงอ่อนหวานได้ดังขึ้นมา ผู้พูดเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าดูราวกับลูกท้อ และดวงตาที่เปล่งประกายราวกับดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางมองดูออกจะชั่วร้ายไม่น้อย และนางก็คือหลี่ชูชู

“เรียนคุณหนู แค่เห็นพวกมันไกลๆจึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก”

ยามเฝ้าประตูได้เอ่ยตอบพลางเกาหัว

“ผู้นำตระกูลหลี่ ข้าเจียงหยวน ขอเข้าพบ”

เป็นตอนนี้ที่เสียงของเจียงหยวนได้ดังขึ้นมาจากนอกประตู

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้นำตระกูลหลี่ หลี่ฮีก็ได้สะบัดชายเสื้อ ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “ไปดูกันว่าไอ้ขยะเจียงหยวนมันจะเล่นอะไรกับพวกเรา”