ภาคที่ 2 บทที่ 92 ชิงตำรา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 92 ชิงตำรา

เมื่อได้ยินซูเฉินกล่าวเช่นนั้น ทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นทันที

“แล้วจะหาตัวเจอได้อย่างไร ?”

ซูเฉินชี้แผ่นภาพ “ดูนั่น แม้ชายชุดดำจะชิงตำราเปิดพลังไคฮวงไปได้ แต่ก็ดันถูกกับดักเล็ก ๆ ที่ข้าซ่อนไว้ เขาทำยาขวดหนึ่งล้ม”

พวกเขามองจุดที่ซูเฉินชี้ พบว่าคนชุดดำทำยาขวดหนึ่งล้มระหว่างค้นตำราอยู่จริง อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นยาที่ตั้งไว้กับตำราเล่มนั้น ฝาผูกกับลิ้นชักไว้ เมื่อคนชุดดำเปิดลิ้นชักก็เปิดขวดยาเช่นกัน ทำให้ยาด้านในหกเลอะออกมา หากแต่ก็ดูจะไม่มีวิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีแม้แต่สิ่งใดไหลออกมา ดังนั้นจึงคิดว่เป็นขวดเปล่าเท่านั้น

แต่ในเมื่อซูเฉินบอกว่าเป็นกับดักเล็ก ๆ ที่ทิ้งไว้ก็คงจะไม่ใช่เพียงขวดเปล่าเป็นแน่

“ภายในมีสิ่งใด ?” จูเซียนเหยาถามขึ้น

“ธูปหอมพันลี้” ซูเฉินตอบนาง

เมื่อได้ยินแล้วทั้งสองสายตาพลันเป็นประกาย ไม่จำเป็นต้องให้ซูเฉินอธิบายต่อ

จูเซียนเหยาเอ่ย “ไปหาหนูดมธูปมาเร็ว ! เราจะได้ตามกลิ่นไปแล้วดูว่าใครหาญกล้าชิงเอาวิชาลับตระกูลจูไป”

สำหรับจูเซียนเหยานั้น ตำราเปิดพลังไคฮวงได้กลายเป็นของตระกูลจูแต่เพียงผู้เดียวไปแล้ว

“พบแล้วจะทำอย่างไรต่อ ?” จูเฉินถาม

“ตำราเปิดพลังไคฮวงจะเผยแพร่ออกไปไม่ได้ ใครที่พบเจอมัน….. จะต้องตาย !” จูเซียนเหยากล่าวด้วยน้ำเสียเคล้าไอสังหาร

จูเฉินจากไปทำตามคำสั่งนาง ดูเหมือนกับกำลังไปตามคนเพื่อไล่ล่าคนชุดดำ

เมื่อจูเฉินจากไปแล้วจึงเหลือเพียงซูเฉินและจูเซียนเหยาเพียงสองคน

ซูเฉินถอนใจ “ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ได้ หวังว่าเรื่องนี้จะไม่กระทบข้อตกลงของเราเมื่อก่อนหน้า”

จูเซียนเหยาย่อมเข้าใจว่าซูเฉินพูดถึงอะไร เดิมทีนางคิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าฉลาดไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงจูบเมื่อก่อนหน้าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นแค่ชายบ้ากามคนหนึ่งเท่านั้น ความรังเกียจในใจพลันพุ่งสูงขึ้น เสียใจที่นางปล่อยเนื้อตัวให้เขาเอาเปรียบ ดังนั้นจึงสะบัดท่าทีเสแสร้งจริงใจทิ้งแล้วเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้าปลดประกาศขายลงและรับน้ำล้างโศกตระกูลจูแล้ว พวกข้าก็จะทำตามข้อตกลง”

“น้ำล้างโศกคืออะไร ?” ซูเฉินไม่เข้าใจ

“น้ำล้างโศกเป็นหนึ่งในวิชาสัมบูรณ์ตระกูลจู ทำให้สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหนึ่งได้ หากเจ้ายอมรับน้ำล้างโศกนี้และลืมตำราเปิดพลังไคฮวงไปให้สิ้น ก็นับว่าข้อตกลงร่วมกันของเราสมบูรณ์แล้ว” ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ จูเซียนเหยาจึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องปิดบังกับซูเฉินอีก

เป็นเช่นนี้เองหรือ ?

ซูเฉินเข้าใจเรื่องราวในที่สุด

เขากับฉือไคฮวงไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ตระกูลจูอาจรับมือซูเฉินได้ แต่จะรับมือกับฉือไคฮวงอย่างไรกัน ?

หากซูเฉินถูกสังหาร ก็ตายไปเช่นนั้น แต่หากเป็นฉือไคฮวงที่เป็นอาจารย์ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสังหารเขาที่ใดก็ไม่อาจปิดเรื่องยุ่งได้

แต่หากน้ำล้างโศกแล้ว ผลลัพธ์จะต่างกันมาก

ตระกูลจูคิดใช้วิชานี้รับมือกับฉือไคฮวงเป็นแน่ จะได้จบเรื่องราวโดยไม่ต้องลงมือสังหารคน จากนั้นต่อไปตำราเปิดพลังไคฮวงก็จะตกเป็นของตระกูลจูแต่เพียงผู้เดียว

หากมีน้ำล้างโศกแล้วก้สามารถทำให้ซูเฉินลืมเรื่องข้อตกลงระหว่างกันได้ด้วยซ้ำ

และหากซูเฉินจำไม่ได้แล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียอะไรเลยแม้แต่นิด

เป็นแผนการที่แยบยลไม่น้อย

ซูเฉินหัวเราะเยียบเย็นอยู่ภายใน

จูเซียนเหยาไม่รู้ว่าคำพูดประโยคเดียวที่เอื้อนเอ่ยกลับเผยความลับมากมายให้ซูเฉินได้ นางยังคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้าไม่จบดี แท้จริงแล้วนางยังคงสงสัยและสับสนมากว่าเหตุใดเรื่องจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือที่หลังจากพวกนางคุยข้อตกลงกับซูเฉินเสร็จแล้วก็มีคนมาชิงเอาของไปพอดิบพอดี ?

แม้จะสงสัย แต่นางก็ไม่อาจคิดถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างออกมาได้

ทั้งสองคนต่างคนต่างคิดแผนการชั่วร้ายของตนไป เมื่อจูเฉินแจ้งมาว่านำหนูดมธูปและคนตระกูลจูมาพร้อมแล้ว

จูเซียนเหยาสะดุ้งขึ้นทันที กำลังจะไล่ตามไปก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หันมามองซูเฉิน “ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดใช้คนสองฝ่ายห้ำหั่นกันเองแล้วเจ้าคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์หรอกกระมัง ?”

ซูเฉินเผยใบหน้ามึนงง “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร”

การจะทำให้คำลวงดูน่าเชื่อถือจำต้องมีทั้งเวทีแสดงและคนแสดงก็ยังต้องมีความสามารถด้วย

ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ของซูเฉินนั้นดูจริงใจยิ่งนัก กระทั่งจูเซียนเหยายังไม่แน่ใจว่านางคิดมากไปฝ่ายเดียวหรือไม่

แต่พริบตาต่อมานางก็เอ่ยขึ้น “มากับข้า”

นางคว้าแขนซูเฉินไว้

แม้นางจะอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ ทว่าซูเฉินก็ไม่อาจสะบัดมือนางหลุดได้ เขาชะงักไปเมื่อได้สัมผัสกับพลังของสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์กับตนเอง รู้ทันทีว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางแม้จะเป็นตอนที่นางไม่ได้ใช้วิชาสะกดจิตก็ตาม

เมื่อนางคว้าซูเฉินแล้ว ก็พลันพุ่งออกไปจากหอ

หลังจากคนทั้งคู่จากไปได้ไกลแล้ว คนผู้หนึ่งก็เผยกายออกมาจากข้างประตู คืออวิ๋นเป้า

เขาตบกังเหยียนก่อนเอย “ลุกได้แล้ว เขาไปกันแล้ว”

“ข้าลุกไม่ไหว เจ็บมาก……” กังเหยียนกัดฟันเอ่ย “บัดซบ พวกเขาไม่คิดมาตรวจดูบาดแผลข้าด้วยซ้ำ ! ที่ข้าเสียเวลาอัดตนเองไปเสียเปล่าทั้งหมด”

“……”

————————————

ซูเฉินถูกลากออกมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น จากนั้นพบจูเฉิน จูเยี่ยนเหนียง และคนอื่น ๆ กำลังยืนรออยู่ นอกจากสองคนนั้นแล้วยังมีชายร่างกำยำอีก 4 คน ดูท่าจะเป็นผู้คุ้มกันที่ตระกูลจูจ้างมา การเรียงแถวดูแล้วไม่น่าดูเท่าไร แต่ ตระกูลจูดูจะไม่ใส่ใจ จูเยี่ยนเหนียงอุ้มอสูรตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน มันคือหนูดมธูปที่ร้องจี๊ด ๆ อยู่ตลอดแล้วหมายจะพุ่งไปด้านหน้า

ทันทีที่จูเซียนเหยาเดินมาถึงนางก็เอ่ยขึ้น “ไปเถอะ !”

แม้นางจะมีพลังอ่อนแอที่สุด แต่ก็มีฐานะสูงที่สุดในหมู่คน

ทุกคนเริ่มลงมือทันที จูเยี่ยนเหนียงเหลือบมองซูเฉินก่อนเอ่ย “เอาเจ้าเด็กนี่มาด้วยทำไมเล่า ?”

จูเซียนเหยาตอบ “ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขา ข้าจึงนำตัวเขามาด้วย หากมีสิ่งใดผิดพลาดเราก็สังหารเขาเสีย !”

“รับทราบ !” ทุกคนเห็นด้วย

ซูเฉินได้ยินแล้วก็ไม่พอใจ “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งตอบตกลงจะเป็นสตรีของข้า แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นไร้เมตตา หากจะเอาเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคุยถึงข้อต่อรองกันแล้ว”

“เจ้าหุบปาก ! ก็เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของเจ้าที่ตำราเปิดพลังไคฮวงถูกคนอื่นชิงไป !” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเกรี้ยว

“นั่นก็เพราะข้าไม่คิดจะเก็บมันไว้เพียงคนเดียว หากพวกเจ้าไม่มา ผู้คนก็สามารถซื้อมันได้จากแดนฝันในราคา 100 ละอองฝันเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องชิงเอาเช่นนี้ ?”

“พอได้แล้ว ! เจ้าเอาวิชาระดับเซียนมาขายในราคาเช่นนี้ก็นับว่าเป็นคนโง่ที่ไม่รู้จักมูลค่าสิ่งของ !”

“แต่ก็เป็นคนโง่คนนี้ที่สร้างวิชาระดับเซียนนั่นขึ้นมา ไม่ใช่คนฉลาดเช่นเจ้า หากเจ้าอยากควบคุมวิชานี้ก็ต้องยอมรับคนโง่อย่างข้า เจ้าต้องเข้าใจจุดนี้ ไม่เช่นนั้นถึงจับคนชิงตำรามาได้ก็ไม่อาจคุยเรื่องการค้าของเราได้รู้เรื่อง”

“เจ้า !” จูเซียนเหยาโกรธจนพูดอะไรไม่ออก

ระหว่างที่คนสองคนเถียงกันไปมา คนอื่น ๆ ก็ยังไล่ตามหนูดมธูปต่อไป