ภาคที่ 2 บทที่ 93 ขัดขวาง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 93 ขัดขวาง (1)

ฟ้าว !

ชายชุดดำปิดหน้ากระโดดพลิกตัวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะกระโดดลงมาตรงหน้าจางเทียนเยว่

“ได้มาหรือไม่ ?” จางเทียนเยว่ถามเสียงสงบ มือสองมือไพล่หลัง

ชายปิดหน้าคุกเข่าลง สองมือยืดสูง ส่งตำราให้ “ตอบท่านผู้อาวุโส มันเป็นของเราแล้วขอรับ !”

“เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นบ้างหรือไม่ ?” กวนซานเหนียงถามขึ้น

ชายปิดหน้าตอบ “ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ไม่เกิดเรื่องใดขึ้นเลยขอรับ”

ขณะที่ชายปิดหน้าเอ่ยตอบ จางเทียนเยว่ก็รับตำราไปเปิดอ่านดูแล้ว

เขาอ่านมันโดยละเอียด อ่านทุกบรรทัดทุกคำที่เขียนไว้ ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้น

“เจ้าว่าอย่างไร ?” เจียงเทาเอ่ยถามขึ้น

จางเทียนเยว่ไม่ตอบ ยังคงอ่านตำราต่อไป ทำให้คนอื่น ๆ เริ่มกังวลราวกับในใจถูกกรงเล็บนับร้อยกรีด

ชั่วอึดใจหนึ่ง จางเทียนเยว่จึงปิดตำราแล้วถอนหายใจออกมา

เสียงถอนหายใจของเขาทำให้คนอื่น ๆ พลันผิดหวัง “ของปลอมหรือ ?”

“ไม่ เป็นของจริง อีกทั้งยังเป็นวิชาการบ่มเพาะพลังด่านกลั่นโลหิตที่ยอดเยี่ยมนัก โอกาสสำเร็จ 40 ใน 100 ส่วน และหากล้มเหลว รอเวลาอีกครึ่งปีก็ลองทะลวงด่านใหม่ได้โดยไร้ผลเสียใด อัจฉริยะจริง ! มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาวิชาเช่นนี้ออกมาได้ ใครจะรู้ว่าฉือไคฮวงคิดวิชาซับซ้อนทั้งยังมหัศจรรย์พันลึกเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร ? สามารถทำในสิ่งที่เผ่ามนุษย์พยายามมามากกว่าหมื่นปีสำเร็จได้ !”

จางเทียนเยว่พูดไปก็ส่ายหัวชื่นชมไป

ที่เขาถอนใจ เป็นเพราะวิชานั้นยอดเยี่ยมมากเกินไปจริง ๆ

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นยินดี

หงหมิงเอ่ย “ดียิ่ง ตอนนี้วิชาเซียนมาอยู่ในมือเราแล้ว ฉือไคฮวงไม่อาจผูกขาดมันได้อีก หกตระกูลได้ตกลงกันแล้วว่านอกจากคนในตระกูลเรา คนอื่น ๆ ไม่อาจได้เรียนรู้วิชานี้”

“เช่นนั้นฉือไคฮวงเล่า ?” จงฉือซื่อถามขึ้น “เขาก็รู้ตำราเปิดพลังไคฮวงนี่นา”

“เราค่อยหาจังหวะจัดการอาจารย์ศิษย์คู่นั้นทีหลัง” จางเทียนเยว่เอ่ยเสียงทะมึน “อีกทั้งยังต้องหาชื่ออื่นให้ตำราเปิดพลังไคฮวงด้วย”

“ในเมื่อหกตระกูลเป็นเจ้าของมันร่วมกัน เช่นนั้นไม่เรียกมันป่าตำราเปิดพลังหกตระกูลเล่า ?” เจียงเทาเอ่ยขึ้น

กวนซานเหนียงหัวเราะ “ข้าว่าฟังดูเหมาะดี”

เจิ้งปาซานอดรนทนรอไม่ได้อีก “เจ้ายังจะพูดอะไรไร้สาระอยู่อีก ? เร็วเข้า รีบคัดลอกมันมา พวกเราจะได้นำเก็บไว้คนละหนึ่ง”

“ย่อมได้” จางเทียนเยว่พยักหน้า คนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาแล้วหยิบแผ่นหยกขึ้นมาชี้ไปทางตำราเล่มนั้น ตัวอักษรในตำราพลันก่อรูปร่างขึ้นบนแผ่นหยกโดยใช้วิชาต้นกำเนิดที่นับเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าวิชาหนึ่ง

พริบตาเดียวก็คัดลอกตำราเปิดพลังไคฮวงออกมาได้ และตัวแทนจากทั้งหกตระกูลก็ได้รับตัวคัดลอกไป

ทุกคนไม่ได้คิดจะตรวจดูเพราะความสนใจในตัวตำรา เพราะทั้งหมดต่างก็มีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังด่านทะลวงลมปราณหรือมากกว่านั้นไปแล้ว ตำราเปิดพลังไคฮวงไม่นับเป็นประโยชน์อันใดต่อพวกขา หากแต่คนที่ทำการคัดลอกตำราลงแผ่นหยกคือคนจากตระกูลจาง คนจากอีกห้าตระกูลอื่น ๆ จึงกลัวว่าตระกูลจางจะเล่นลูกไม้อะไรหรือไม่ ดังนั้นจึงนำของตนไปเทียบกับของต้นฉบับ

ไม่มีใครไว้ใจใคร

หลังจากทุกคนตรวจดูแล้วว่าเนื้อหาด้านในถูกต้องดีจนพอใจแล้ว จางเทียนเยว่จึงเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เราสำเร็จภารกิจแล้ว ก็นับว่าพวกเราได้ทำคุณความดีครั้งใหญ่ให้กับตระกูล”

“ไม่เมื่อเสร็จงานแล้ว ไม่หาสถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองกันหน่อยหรือ ?” เจียงเทาหัวเราะ

“ดีเลย ! ได้กินเสียที !” เจิ้งปาซานร้องขึ้นน้ำเสียงตื่นเต้น

“เช่นนั้นก็ไปหอหยกเขียวแล้วก็หานางรำหน้าตางดงามมาสักหลายคน……”

“หงหมิง เราจะไปกินฉลองกัน ไม่ได้ไปหาผู้หญิงมาสำราญใจนะ”

“อาหารการกินและการกามเป็นของคู่กัน มีอาหารรสเลิศแต่ไร้โฉมงามนั้นน่าเศร้าใจยิ่ง”

“ข้าว่าเราไปสวนแดนเหนือเถอะ ที่นั่นมีเนื้อมากกว่า อีกทั้งยังจานใหญ่กว่า พอใจเจ้าแน่นอน !”

“ช่างเถอะเจิ้งปาซาน พวกเรากินอิ่มกันอยู่แล้ว ไม่เหมือนกับเจ้า”

“ข้าว่าเราควรไปที่หอธารา ‘โฉมงามกุหลาบ’ อายุ 15 ของที่นั่นงามหาที่ใดเปรียบ”

“เจียงเทา เจ้าชอบดื่มเหล้า แต่พวกเราเหล่าสตรีไม่ชอบเช่นนั้น”

“กวนซานเหนียง เจ้าหมายความว่าอย่างไร ‘พวกเราเหล่าสตรี’ ? เจ้าเป็นสตรีคนเดียวไม่ใช่หรือ”

“หือ ? เจ้าจะบอกว่าข้าไม่ใช่สตรีหรือ ?”

“ไม่เพียงไม่ใช่สตรี เจ้าไม่ใช่มนุษย์มนาด้วยซ้ำ”

คนทั้งหมดหัวเราะเสียงดังออกมา

คนทั้งกลุ่มพูดไปหัวเราะไป มุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปที่ใด แต่อย่างไรก็ยังมุ่งหน้าไปยังเมืองฉางผานอยู่ดี

ทันใดนั้นเอง จางเทียนเยว่ก็หยุดฝีเท้า

พวกเขาเพิ่งจะเดินมาถึงลานหญ้ากว้าง ซ้ายขวาสองด้านเป็นป่าสนแดง

จางเทียนเยว่หยุดฝีเท้าแล้วมองไปยังป่าสนรอบด้าน สีหน้าเคร่งเครียดตื่นตัว

“เหล่าจาง มีอะไรหรือ ?” คนอื่น ๆ ถามขึ้นเมื่อเห็นเขามีท่าทางแปลก ๆ

บางคนมีความรู้สึกไวกว่าคนอื่น สัมผัสได้ทันทีว่ามีเรื่องผิดปกติ ต่างจ้องมองป่าสนด้วยความระแวดระวังภัย

จางเทียนเยว่เอ่ย “สหายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า พวกข้าไม่รู้ว่าท่านมีเจตนาใดหากท่าเอาแต่ซ่อนตัว ออกมาสนทนากันสักหน่อยดีหรือไม่ ?”

“เฮ้อ สุดท้ายก็ถูกเจอตัวจนได้ แย่จริง เดิมทีข้าคิดว่าจะจัดการเรื่องได้ง่ายกว่านี้เสียอีก”

น้ำเสียงงดงามไพเราะดังขึ้น หลังจากนั้นหญิงงามคนหนึ่งก็ปรากฏกายออกจากป่า คือจูเซียนเหยา

จางเทียนเยว่ไม่ได้วางใจเมื่อเห็นว่านางอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ เอ่ยเสียงเยียบเย็นขึ้น “คนอื่น ๆ เล่า ?”

“ยุ่งยากจริง นี่ ออกมาได้แล้ว เขาถามหาพวกเจ้าน่ะ !” จูเซียนเหยาหันกลับไปตะโกน

คนอีกกว่าเจ็ดคนกระโดดออกมาจากในป่า คือจูเฉิน ซูเฉิน และคนอื่น ๆ

“ซูเฉิน !” จางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ ร้องขึ้นเมื่อเห็นซูเฉินปรากฏตัว

จางเทียนเยว่สีหน้าทะมึน “ข้าว่าแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ”

ซูเฉินเผยยิ้ม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ! มีคนบางคนไม่อยากให้พวกท่านได้ตำราในมือไปก็เท่านั้น”

จางเทียนเยว่เหลือบมองจูเซียนเหยา นางจึงเอ่ยขึ้น “ตำราเปิดพลังไคฮวงเป็นของเจ้าหรือ ?”

จางเทียนเยว่คำรามเสียงเย็น “ซูเฉินมอบมันให้เรา”

“แต่ข้าเห็นพวกเจ้าชิงเอามันมา”

จางเทียนเยว่คิดอยากอธิบาย หากแต่จงฉือซื่อกลับเอ่ยขัด หัวคิ้วกระตุกยิก ๆ “ชิงเอามาแล้วอย่างไร ?”

พวกคนอ่อนแอเท่านั้นจึงจะต้องอธิบายตนให้คนมีกำลังเหนือกว่า

จางเทียนเยว่มีคนมากกว่าห้าสิบ อย่างน้อย ๆ สิบคนในนั้นก็มีด่านทะลวงลมปราณหรือสูงกว่านั้น อีกทั้งจางเทียนเยว่ยังอยู่ด่านสู่พิสดาร ทั้งยังมีจงฉือซื่อและเจิ้งปาซานที่อีกครึ่งก้าวก็จะทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารเช่นกัน

หากแต่อีกฝ่ายมีจูเซียนเหยาที่อยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ จูเฉินและทหารชุดดำอีกสี่คนทั้งหมดอยู่ในด่านกลั่นโลหิต มีเพียงจูเยี่ยนเหนียงที่อยู่ด่านทะลวงลมปราณ มองอย่างไรอีกฝ่ายก็อ่อนแอกว่า !

แล้วยังต้องมีคำอธิบายอะไรให้พวกคนที่อ่อนแอกว่าด้วยเล่า ?

จงฉือซื่อนั้นไม่คิดจะอธิบายข้อตกลงระหว่างพวกเขากับซูเฉินด้วยซ้ำ

จูเซียนเหยาเองก็คิดเห็นเหมือนกัน

นางไม่สนว่าอีกฝ่ายชิงมันมาจากซูเฉินหรือเขาเป็นคนมอบให้เอง

นางสนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น “ได้เห็นตำราเปิดพลังไคฮวงไปแล้วหรือไม่ ?”

จูเซียนเหยาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ “ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบก็ได้ พวกเจ้าต้องตรวจสอบเนื้อหาก่อนอยู่แล้ว จะไม่เห็นได้อย่างไร ? พวกเจ้าไม่เดินรวมกัน เช่นนั้นคงไม่ได้มาจากตระกูลเดียวกัน ในเมื่อร่วมมือกันทำยิ่งต้องมีการตรวจสอบเนื้อหาในตำราว่าตรงกันหรือไม่ จัดการเรื่องนี้ง่ายนิดเดียว สังหารพวกเจ้าทั้งหมดเสียก็สิ้นเรื่อง”

ไอสังหารพลันเผยในนัยน์ตาจางเทียนเยว่ “ยัยหนู เจ้าพูดจาเย่อหยิ่งไม่น้อย”

จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเรียบ “ลงมือแล้วจะรู้เองว่าข้าพูดจาเย่อหยิ่งจริงหรือไม่ ลงมือได้ !”

จอมยุทธ์ชุดดำทั้งสี่กระโจนเข้ามาในพลัน