ภาคที่ 2 บทที่ 94 ขัดขวาง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 94 ขัดขวาง (2)

 

 

เมื่อคนทั้งสี่กระโจนเข้ามา จางเทียนเยว่ก็เอ่ยเสียงเยาะ “เด็กด่านกลั่นโลหิต 4 คนหรือ ? ส่งคนไปมากกว่าเจ้าจะได้หน้าเกินไป หยวนหู ไหลอี้ เซียงอวี่ และหูอี้ พวกเจ้า 4 คนไปจัดการมัน”

 

 

“รับทราบ !” คนทั้งสี่พุ่งออกไป ปะทะเข้ากับชายชุดดำทั้งสี่นั่น

 

 

เงาร่างคนทั้งแปดพุ่งเข้าปะทะกัน หลังจากแลกกระบวนท่ากันไปเล็กน้อย ทหารสี่คนของตระกูลจางถูกส่งร่างกระเด็นไป

 

 

หากเทียบกันเรื่องพละกำลังแล้ว ตระกูลจางนั้นพ่ายแพ้หมดท่า

 

 

ในตอนนั้นเอง จอมยุทธ์ชุดดำทั้งสี่ก็ยังรุดหน้าเข้ามา ปะทะฝ่ามือเข้าที่อกคนตระกูลจางทั้งสี่รวดเร็วปานสายฟ้า แม้อีกฝ่ายจะพยายามปัดป้อง แต่ก็ยังถูกพลังซัดใส่

 

 

โลหิตพุ่งกระฉูดออกจากร่างเป็นสายโลหิตสี่สาย

 

 

ทั้งสี่คนล้มลงกับพื้นพร้อม ๆ กันและแน่นิ่งไป

 

 

จางเทียนเยว่สีหน้าเปลี่ยน แม้จะคิดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดา แต่ก็ยังรู้สึกเสียหน้าที่ลูกน้องฝ่ายตนพ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วราบคาบ

 

 

จอมยุทธ์ชุดดำเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ หากแต่ก็ยังไม่หยุดมือ

 

 

เจียงเทาคำรามขึ้น “ผยองนัก !”

 

 

สะบัดแขนหนึ่งครา ทหารตระกูลเจียงก็กระโจนออกไปอีก ครั้งนี้มีมากถึงแปดคน

 

 

จูเซียนเหยาหัวเราะ “ไหนใครบอกไว้ว่าส่งคนมากไปข้าจะได้หน้ากัน ? กลายเป็นสองรุมหนึ่งไปเสียแล้ว”

 

 

จางเทียนเยว่หน้าแดง เจียงเทาเอ่ยขึ้น “คำพูดของพี่เทียนเยว่ไม่จำเป็นต้องตรงกับความเห็นข้า”

 

 

จูเซียนเหยาเอ่ย “น่าเสียดาย สองรุมหนึ่งก็ยังไม่พอหรอก”

 

 

นางพูดยังไม่ทันจบ คนตระกูลเจียงสองคนก็ถูกส่งกระเด็นไปพร้อมเสียงผัวะดั่งสนั่น

 

 

สีหน้าเจียงเทาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

เคราะห์ดีที่หงหมิงเองก็เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็ไปเสีย”

 

 

คนอีกแปดคนกระโจนเข้าไปช่วยคนจากตระกูลเจียงรับมือกับจอมยุทธ์ชุดดำทั้งสี่

 

 

ตอนนี้นับเป็นการต่อสู้ 4 ต่อ 1 แต่ไม่นานผลการต่อสู้ก็เริ่มเผยให้เห็นเด่นชัด

 

 

สองฝ่ายแลกกระบวนท่ากันไม่หยุดมือ จอมยุทธ์ตระกูลจูทั้งสี่โจมตีดุดัน แม้อีกฝ่ายจะมีคนมากกว่าแต่พวกเขากลับเป็นฝ่ายออกท่าโจมตีอยู่ตลอด ทุกกระบวนท่าส่งคลื่นพลังรุนแรง หากยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ก็คงคว้าชัยชนะไว้ได้อีกครา

 

 

“จอมยุทธ์เหล่านี้มาจากที่ใดกัน ? เหตุใดจึงทรงพลังเช่นนี้ ?” กวนซานเหนียงตะลึงไป

 

 

คนที่ถูกส่งออกไปต่อสู้นั้นเป็นคนฝีมือดีจากแต่ละตระกูล หลายคนอยู่ด่านกลั่นโลหิตระดับสูง หากยังไม่อาจเอาชนะได้ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็สมควรจะมีพลังเทียบเท่าด่านทะลวงลมปราณ

 

 

ในทวีปต้นกำเนิดแห่งนี้ คนที่มีพลังมากกว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังนับว่าไม่แปลก แต่ขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร

 

 

หากแต่ทหารธรรมดาสี่คนจะมีพลังมากกว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังได้เช่นนี้แปลกนัก

 

 

จางเทียนเยว่ก็สังเกตถึงจุดนี้เช่นกัน สีหน้าเขาเริ่มอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

 

เจิ้งปาซานดูท่าจะไม่ใส่ใจ “แล้วอย่างไร ? ก็แค่จอมยุทธ์ธรรมดาสี่คน คนของข้ายังไม่ทันได้ร่วมประมือ ตัวพวกเราเองก็ยังไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ”

 

 

“เจ้าโง่ ! เจ้าจะรู้อะไร !?” จางเทียนเยว่เอ่ยเสียงเกรี้ยว “อีกฝ่ายไม่โง่ ในเมื่อกล้าประมือกับเราทั้งที่กำลังคนน้อยกว่า แสดงว่ามีแผนสำรอง ! ทุกคนระวังด้วย อีกฝ่ายต้องซุ่มโจมตีแน่ !”

 

 

จูเซียนเหยาหัวเราะร่วน “สายเลือดระดับเจ้าอสูร 3 คน อีก 3 คนเป็นสายเลือดระดับสูง ข้าวางใจได้มากแล้วตอนนี้ เจ้าอย่ากังวล ไม่มีแผนซุ่มโจมตีอะไรทั้งนั้น…… จะมีก็แต่เพียงคนเดียวที่รออยู่”

 

 

“อะไรนะ ?” จางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ ชะงักไป

 

 

จูเซียนเหยายกนิ้วชี้ “ถูกต้อง หนึ่งคนเท่านั้น หากพวกเจ้าเอาตัวรอดผ่านคนนี้ไปได้ก็จะรอดชีวิต”

 

 

นางพูดจบแล้วลมพายุก็เริ่มก่อตัวขึ้นในพลัน

 

 

แรงลมที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันหมุนวนรุนแรง คละเคล้าไปด้วยแรงกดดันที่หมายจะสังหารทุกอย่างให้สิ้น

 

 

ที่ใจกลางพายุพลันมีท่าดัชนีซัดออกมาราวกับออกมาจากรอยแยกมิติ

 

 

“ไม่ดีแล้ว !” จางเทียนเยว่ กวนซานเหนียง และคนอื่น ๆ ร้องขึ้น

 

 

ท่าดัชนีนั้นเพียงซัดผ่านอีกฝ่ายไป แต่เฉียดเพียงนิดก็ส่งผลให้คนผู้นั้นกระเด็นไปไกล พายุหมุนคล้ายกับจะกลืนกินทั้งเลือดและเนื้ออีกฝ่าย เมื่อถูกตัวก็หายไปทั้งร่าง ขณะเดียวกันนั้นท่าดัชนีก็ยังคงมุ่งหน้าโจมตีต่อ พริบตาเดียวก็กำจัดคนจากหกตระกูลหายไปเหลือเพียงซากฝุ่น

 

 

พลังของท่าดัชนีนั้นไม่ลดน้อยลงและยังคงดำเนินต่อไป

 

 

เจิ้งปาซานกู่ร้องลั่น ส่งหมัดเข้าปะทะท่าดัชนีนั้น

 

 

หมัดของเจิ้งปาซานครั้งหนึ่งเคยถล่มกำแพงเขาหินสูงร้อยลี้ในผาแหลมมาก่อน

 

 

หากแต่เหอเถี่ยฮั่นเมืองเป่ยเหอไม่คิดยอมแพ้ต่อหมัดเจิ้งปาซาน เขานำเกราะหน้าปีศาจสี่มุมมาประมือกับนางด้วย เจิ้งปาซานทำลายเกราะและสังหารเขาในหมัดเดียว

 

 

ครั้งนั้นว่ากันว่าเจิ้งปาซานใช้พลังไปเพียง 3 ใน 10 ส่วน

 

 

ทว่าครั้งนี้เจิ้งปาซานโจมตีเต็มกำลัง

 

 

นางเปิดใช้สายเลือดดาบระมาดจนถึงขั้นสุด ใช้หมัดสะท้านขอบฟ้า !

 

 

ตูม !

 

 

หมัดนั้นถูกลบล้างในพลัน แขนเจิ้งปาซานมีรอยแตกคล้ายกับดินแตกบนพื้นที่แห้งแล้ง ก่อนจะระเบิดออกเป็นเนื้อชิ้น ๆ ร่างปานภูเขาของนางกระเด็นไป

 

 

“ไปพร้อมกันเลย !” เจียงเทาตะโกน

 

 

จงฉือซื่อเผยดาบออกจากฝัก ตัวดาบแผ่รังสีเยือกเย็นออกมา แช่แข็งใจทุกคนที่ได้มอง

 

 

กวนซานเหนียงกระโดดหมุนร่างพลิ้ว กรงเล็บนางแวววับก่อนจะซัดลงมาจากฟากฟ้า

 

 

เจียงเทาซัดท่าฝ่ามือออกไป ส่งคลื่นพลังปราณรุนแรงลูกแลวลูกเล่า

 

 

หงหมิงเองก็ดึงดาบออกมา แต่ละท่วงท่าเฉียบคมจนสามารถตัดผ่านวิญญาณและจุดเพลิงเผาได้

 

 

หากแต่เกือบในพริบตาเดียวคมดาบที่ซัดออกก็หายไป คลื่นพลังฝ่ามือหยุดนิ่ง กรงเล็บเลือนหาย และแสงดาบพลันมอดลง คนทั้งสี่ออกกระบวนท่าพร้อมกัน ถูกซัดกระเด็นออกไปท่าเดียวกัน กระเด็นถอยไปเร็วกว่าใครจะล่าถอยได้เท่าทัน

 

 

แค่ท่าดัชนีเดียว

 

 

เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น !

 

 

แค่นิ้วเดียวก็สามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญจากหกตระกูลใหญ่บาดเจ็บได้แล้ว

 

 

หากแต่ท่าดัชนีนั่นยังไม่หยุดโจมตีเท่านั้น

 

 

ในที่สุดจางเทียนเยว่ก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

 

ฝ่ามือเขาเริ่มมีแสงเรืองคล้ายสีเขียวหยกเรืองขึ้น ก่อนจะส่งหนึ่งฝ่ามือออกไป คลื่นพลังปราณสีเขียวหยกพุ่งออกไปพร้อมกับพลังต้นกำเนิดไร้ที่สิ้นสุด ขัดขวางกฎธรรมชาติ คลื่นพลังปราณพุ่งทะยาน ผืนดินเองด็เริ่มมีแสงเรืองสีเขียวเดียวกับสีหยก

 

 

ฝ่ามือเขียวขจี !

 

 

เมื่อเจอกับท่าฝ่ามือนี้ ท่าดัชนีก็ถูกกดดันจนสลายไปในที่สุด

 

 

“ถุ้ย !” จงฉือซื่อ และคนอื่น ๆ ร่วงลงกับพื้นแล้วถุยเลือดคำใหญ่ออกมา

 

 

“เป็นอะไรหรือไม่ ?” จางเทียนเยว่ถาม

 

 

“บาดเจ็บไม่เท่าไร” จงฉือซื่อตอบแล้วลุกขึ้นยืน มือหนึ่งกุมอก

 

 

ต่อมาเป็นกวนซานเหนียง เจียงเทา และคนอื่น ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้น

 

 

“เจิ้งปาซาน ตายหรือไม่ ?” จางเทียนเยว่ตะโกนขึ้น

 

 

“ก็ต้องยังน่ะสิ ! ข้าฆ่าไม่ง่ายหรอกนะ !” เสียงแหบหยาบตะโกนตอบ

 

 

เจิ้งปาซานเดินเข้าไปด้วยท่าย่างหนักหน่วงดังเช่นทุกที หากแต่ครั้งนี้แขนขวานางกลับหายไป แต่ถึงกระนั้นเจิ้งปาซานก็ไม่สนใจ ระหว่างนางเดินเข้ามาแล้วแขนข้างที่ขาดก็ค่อย ๆ งอกออกมาจากบาดแผลโชกเลือด

 

 

แขนของนางงอกออกมาใหม่โดยสมบูรณ์ก่อนนางจะเดินมาถึงที่ด้วยซ้ำ

 

 

เจิ้งปาซานรีบล่าถอยไปทางจางเทียนเยว่ “คนผู้นั้นทรงพลังยิ่ง !”

 

 

ท่าดัชนีเดียวก็สามารถลบล้างพลังโจมตีของคนทั้งหมดได้ กระทั่งซัดคลื่นพลังใส่พวกเขาจนกระเด็นไป เช่นนี้แล้วจะไม่หวาดกลัวได้อย่างไร ? กระทั่งคนด่านสู่พิสดารก็ไม่ควรจะรับมือจางเทียนเยว่ที่ก็มีขั้นพลังด่านสู่พิสดารได้ด้วยซ้ำ หากแต่คนผู้นี้หลังจากรับมือคนไปมากมายกลับยังยืนหยัดอยู่ได้ไหมเอนไหว

 

 

จงฉือซื่อเอ่ย สีหน้าเรียบเฉยมั่นคง “หรือจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ ?”

 

 

ผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณมีกำลังเทียบเท่าจักรพรรดิอสูรกาย อันเป็นผู้ทรงพลังที่หาพบได้ไม่บ่อย หากแต่ในวันนี้กลับได้พบแล้วกระมัง

 

 

จางเทียนเยว่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ด่านผลาญจิตวิญญาณหรอก”

 

 

“ว่าไงนะ ?” ทุกคนจ้องจางเทียนเยว่อย่างไม่เชื่อสายตา

 

 

จางเทียนเยว่เอ่ยด้วยความมั่นใจ “คนผู้นั้นอยู่ด่านสู่พิสดาร”