ภาคที่ 2 บทที่ 95 อาสิบเอ็ด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 อาสิบเอ็ด

มีคำกล่าวในทวีปต้นกำเนิดอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือการเหนือกว่าพื้นฐานการบ่มเพาะพลังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การเหรือกว่าสายเลือดนั้นหาได้ยากยิ่ง

อาทิเช่น หากสายเลือดอสูรกายระดับสูงเป็นมาตรฐานอ้างอิง เทียบกับผู้เชี่ยวชาญพลังด่านก่อเกิดลมปราณแล้วจะมีพลังระดับ 1 ด่านกลั่นโลหิตระดับ 5 ด่านทะลวงลมปราณระดับ 25 และด่านสู่พิสดารระดับ 125 ส่วนคนที่มีสายเลือดเจ้าอสูรจะมีระดับพลังเป็น 2 10 50 และ 250 ตามลำดับ คนที่มีสายเลือดราชันอสูรจะมีระดับพลังเท่ากับ 3 15 75 และ 375 และคนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรจะมีระดับพลังเท่ากับ 4 20 100 และ 500 ส่วนคนที่มีสายเลือดผสมจะนับต่ำกว่าหนึ่งขั้น เช่น คนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรผสมจะนับเป็นสายเลือดราชันอสูร

แต่นี่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบโดยใช้ตัวเลข ไม่สามารถใช้แทนพลังได้ สายเลือดตื่นขึ้นกี่ส่วน มีพรสวรรค์เท่าไร และมีความพยายามเท่าไรก็สำคัญเช่นกัน เช่น กำลังของจีหานเยี่ยนนั้นเทียบได้กับสายเลือดจักรพรรดิอสูร

แต่ถึงกระนั้นตัวเลขเหล่านี้ก็ยังมีประโยชน์สำหรับการประมาณพลังเพื่อหาบทสรุป

บทสรุปที่สำคัญคือเรื่องที่ว่าคนที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรจะนับว่ามีความแข็งแกร่งพื้นฐานสูงว่าคนที่มีสายเลือดสายเลือดอสูรกายระดับสูง

ในครั้งนี้ตระกูลจูไม่ได้ส่งคนมากมายนัก

เนื่องด้วยตระกูลจูไม่ได้มองอาณาจักรหลงซางเป็นที่หลัก จึงส่งคนไปมากก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเลยใช้วิธีคุณภาพคนเหนือจำนวนคน

พวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญฝีมือดีมาเพียงหนึ่งคน แต่เพียงหนึ่งคนก็สามารถรับมือกับคนทั้งหมดได้แล้ว

พริบตาที่จางเทียนเยว่ตะโกนคำว่า “สายเลือดจักรพรรดิอสูร” และ “ด่านสู่พิสดาร” ออกมา ทุกคนก็ชะงักค้างไปด้วยความตื่นกลัว

ชายชุดดำผมขาวก้าวออกมาจากในป่า

แม้จะมีผมสีดอกเลา แต่ชายชุดดำดูเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง หน้าตาดูธรรมดาไม่โดดเด่น หากแต่นัยน์ตาเรืองรองน่าค้นหา เผยกลิ่นอายลึกล้ำลึกลับ

“อาสิบเอ็ด !” จูเซียนเหยาร้องขึ้นแต่ไม่ได้ทำความเคารพ

สตรีตระกูลจูต่างได้รับการเคารพนับถือ กระทั่งนางพบหน้าอาสิบเอ็ดของนาง นางยังไม่จำเป็นต้องคำนับอีกฝ่าย

“ขออภัยที่ต้องรบกวนท่านอาสิบเอ็ด สังหารมันให้สิ้น พวกเจ้าไปปิดทางไว้ อย่าให้พวกมันสักคนรอดออกไปได้ !” ประโยคหลังหันไปสั่งจอมยุทธ์ชุดดำทั้งสี่ พวกเขาพุ่งทะยานทำตามคำนางทันที ยืนเป็นสี่คนสี่มุม แม้จะอยู่เพียงด่านกลั่นโลหิต แต่ก็มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรตระกูลจู ทำให้มีกำลังเทียบได้กับคนด่านทะลวงลมปราณ

จางเทียนเยว่เปลี่ยนสีหน้าในพลัน “ใจเย็นไว้ก่อน ! พวกเราคุยกันได้ พวกเราเต็มใจยอมกล่าวคำสาบาน”

จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเย็น “คนตายเก็บความลับได้ดีที่สุด ลงมือ !”

อาสิบเอ็ดพุ่งเข้าไปรวดเร็วดั่งสายฟ้า พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนจากหกตระกูล คว้าหัวมันไว้แล้วระเบิดทิ้งในทันที จากนั้นก็เคลื่อนไปปรากฏตัวที่อีกคน คนผู้นั้นตกใจรีบยกมือปัดป้อง แต่เทียบกับความเร็วอาสิบเอ็ดแล้วกลับเคลื่อนกายช้าดั่งหอยทาก ได้แต่มองมือของอาสิบเอ็ดทะลวงเข้าไปในอกตนราวกับทะลวงผ่านเต้าหู้ จากนั้นอีกฝ่ายก็ชักมือออกมา ในมือกำบางอย่างอยู่

คง…… จะเป็น…… หัวใจข้า…… กระมัง

จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวด

ไม่นานสายตาก็พลันมืดสนิท

อาสิบเอ็ดบีบหัวใจในมือจนแหลกแล้วพุ่งไปยังคนต่อไป

ตอนนี้เขาไร้กลิ่นอายกดดันเช่นกาลก่อน แต่แทนที่ด้วยความเร็วเหนือคนและลงมือโหดเหี้ยมเหนือใคร

ในตอนที่กำลังจะบดขยี้หัวคนอีกคน จางเทียนเยว่ก็เคลื่อนไหว

ส่งฝ่ามือออกมาฝ่ามือหนึ่ง

แสงสีเขียวเรืองออกมา หนามแหลมเริ่มผุดขึ้นจากผืนปฐพี

ฝ่ามือเขียวขจี ฝ่ามือหนามพันเกี่ยว

สายเลือดตระกูลจางคือมารพฤกษาห้วงอเวจี

ทางตะวันออกเฉียงเหนือยังมีหุบเหวแห่งหนึ่ง มีชื่อว่าห้วงอเวจี อันเป็นสถานที่ที่ยาต้นกำเนิดเติบโตได้ตามธรรมชาติ ในรัชสมัยฮ่องเต้เฉิงแห่งราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ มารพฤกษาได้ปรากฏตัวขึ้นในหุบเหวแห่งนั้นและเริ่มถือครองสมุนไพรยาทั้งหลาย ไม่ให้คนอื่นเข้ามาเก็บเกี่ยวมันได้อีก เป็นเวลา 80 ปีที่ไม่อาจมีใครเดินทางไปยังหุบเหวแห่งนั้นได้

สุดท้ายเจ้าเมืองหุบเหวคลั่ง จางเฉินฮั่น ก็ติดป้ายประกาศหาผู้มากความสามารถและความกล้าหาญ รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ 36 คน ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด 300 คน และทหารเดินเท้ากว่า 3 พันนาย บุกเข้าไปในห้วงอเวจี ต่อสู้ดุเดือดเดือดพล่านยาวนานถึง 3 วันจึงสามารถเอาชนะมารพฤกษาได้

สุดท้ายก็เป็นจางเฉินฮั่นที่ได้รับสายเลือดมารพฤกษามาครอง

มารพฤกษาเหมาะกับการควบคุมเป็นหมู่มาก การโจมตีของจางเทียนเยว่ทำให้เกิดแสงเรืองสีเขียวขึ้นที่พื้น พืชหนามผุดขึ้นมาพันเกี้ยวคดเคี้ยว เถาวัลย์หนามนับพันพุ่งเข้าไปยังอาสิบเอ็ด ขังอีกฝ่ายไว้ในกรงเถาวัลย์ กระบวนท่านี้นับเป็นท่าที่แกร่งที่สุดของจางเทียนเยว่

แต่ถึงกระนั้นจางเทียนเยว่ก็ยังร้องขึ้น “ช่วยข้าลงมือ ! ข้าขังมันไว้ได้อีกไม่นานนัก !”

เจิ้งปาซานกู่ร้องขึ้นแล้วกระโดดพุ่งเข้าไปทันที

ร่างใหญ่ปานภูเขาของนางกระโดดเข้ามา ใต้แสงจันทร์เห็นร่างนางมีแสงเรืองสีทองส่อง หนามคมเริ่มผุดขึ้นจากร่าง ทำให้นางดูคล้ายกับเม่นยักษ์

เกราะทองสองคม

สายเลือดดาบระมาดสามารถสร้างเกราะหนามขึ้นมาได้ ไม่เพียงมีพลังป้องกันสูง ทั้งยังสามารถใช้โจมตีศัตรูได้ด้วย

นางซัดหมัดขวาออกมาอีกครา หมัดสะท้านขอบฟ้า !

หากแต่ครั้งนี้ที่หมัดของนางมีเขาคมงอกออกมา

เขาทองคำ หอกนฤเทพ !

หอกนั้นคือหมัด และหมัดนั้นคือหอก

หมัดซัดเข้าใส่อาสิบเอ็ดอย่างรุนแรง

พร้อม ๆ กันนั้นจงฉือซื่อก็ตวัดดาบซัดพลัง

แม้ดาบเขาจะพังแล้ว แต่ก็ยังเหลือความยาว 3 ชุ่น เขาเสือกดาบเข้าไป คลื่นพลังดาบไร้รูปร่างก็ทะยานออกไปตามท่วงท่า

สำหรับเขาแล้ว ดาบจะยังอยู่ดีหรือไม่ไม่สำคัญ

เพราะที่บ่มเพาะพลังไม่ใช่ตัวดาบ แต่เป็นขอบดาบ

ดาบแยกอรุณ

แสงดาบที่ซัดออกมาอัดแน่นไปด้วยปราณดาบหมายสังหาร

อีกทั้งยังมีเลือดปะทุออกจากข้อมือซ้ายของเขา

เลือดสด ๆ แข็งตัวและกลายเป็นร่างแยกโลหิต นี่คือทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดตระกูลอสูรธารโลหิต โลหิตยังคงหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ร่างแยกโลหิตมากมายหลายร่างก็ก่อร่างขึ้น พริบตาเดียวก็มีมากถึง 7 ร่าง อีกทั้งยังเริ่มก่อร่างเป็นดาบแล้วเสือกดาบใส่อาสิบเอ็ดพร้อมกัน ท่วงท่ามันมั่นคง คล้ายกับทะเลคมดาบสาดเข้าใส่

ค่ายกลเจ็ดดารา

ตระกูลอสูรธารโลหิตมีความสามารถพิเศษ สามารถใช้คน ๆ เดียวสร้างค่ายกลขึ้นได้

เจียงเทา กวนซานเหนียง และหงหมิงซัดพลังเข้าร่วมด้วย สามคนนี้มีพลังด้อยกว่าสามคนแรกอยู่บ้างแต่ก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละตระกูล ดังนั้นจึงมีความต่างพลังไม่มากนัก เมื่อพวกเขาสู้หัวชนฝา พลังปราณรอบกายจึงเริ่มร้อนระอุ ทั้งสนามประลองยุทธ์เต็มไปด้วยคลื่นพลังซัดไปมา บีบให้จูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ ต้องล่าถอยไป

ยามเผชิญกับพลังน่าเกรงขามเช่นนี้ อาสิบเอ็ดเพียงหัวเราะเสียงเย็นออกมาเท่านั้น

“คิดว่าจะกักขังข้าไว้ได้หรือ ?”

เขายกแขนขึ้น

เสียงบางอย่างฉีกขาดดังสนั่น ราวกับผืนฟ้าถูกฉีกแยก เถาวัลย์หนามที่ห่อหุ้มเป็นกรงพลันเห็นรูกว้างขึ้น

อาสิบเอ็ดกระโดดออกมา ประจันหน้าเข้ากับหมัดสะท้านขอบฟ้าของเจิ้งปาซาน

เขาจึงส่งหนึ่งฝ่ามือออกไป ปะทะเข้ากับหมัดเจิ้งปาซาน ส่งร่างนางกระเด็นไปอีกครา นางรุดหน้าพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เกราะทองบนร่างนางเริ่มมีรอยแตกกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนที่เศษส่วนเหล่านั้นจะสลายกลายเป็นแสงดาว

อาสิบเอ็ดหนีออกจากกรงเถาวัลย์ได้แล้ว แต่กลับถูกล้อมไว้ด้วยทะเลดาบที่แผ่ไอสังหารหนาแน่น

ในเรื่องการป้องกันนั้น จงฉือซื่ออาจเทียบเจิ้งปาซานไม่ได้ แต่หากเป็นการโจมตีแล้ว ไม่อาจมีใครเทียบเขาได้เลย

เจ็ดดารารวมตัว ดาบแต่ละคมปล่อยไอสังหารรุนแรงออกมากดดันอีกฝ่าย

จงฉือซื่อนั้นเห็นภาพคนสายเลือดจักรพรรดิอสูรนั้นต้องพ่ายแพ้แก่ดาบของตน ร่างทั้งร่างสั่นเทิ้มไปด้วยความตื่นเต้น

หากแต่พริบตาต่อมากลับมีกระแสสีแดงพุ่งขึ้นจากร่างอาสิบเอ็ด

เบื้องล่างกระแสพลังสีแดงคือภาพจิ้งจอกโลหิตขนาดใหญ่ที่เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

ทำลายทุกอย่างสิ้นซาก !

คมดาบทั้งหลายพากันกระจายหายไป

จงฉือซื่อกระเด็นออกไปแล้วกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา

ต่อมา กวนซานเหนียง หงหมิง และเจียงเทาก็ถูกคลื่นพลังสีแดงซัดจนร่างลอยละลิ่วไปเช่นกัน

“คลื่นพลังสีแดง ? จิ้งจอกโลหิต…… นั่นมันสายเลือดสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จักรพรรดิอสูร เจ้ามาจากสันเขานอนตระกูลจูงั้นหรือ ?” จางเทียนเยว่ร้องขึ้น “มาทำการอันใดที่อาณาจักรหลงซาง ?”

“พูดมากไปแล้ว” อาสิบเอ็ดสะบัดมือวูบหนึ่ง จิ้งจอกโลหิตพลันกรีดเสียงร้องยาวออกมา