ตอนที่ 166.2 ได้พบกันอีกครั้ง (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เสียงจึงเบาลง และเสียงความไม่พอใจก็เบาลงด้วย แต่เสียงเมื่อครู่ได้แผ่ออกไปในวงกว้าง 

 

 

บนเขาตรงนั้น เพราะว่าแสงของไฟ ทำให้ซานอิงและพวกเห็นความโกลาหลในกองทัพซึ่งคล้ายว่าจะมีปัญหากันภายใน เขาหัวเราะฮ่าๆ เหมือนได้ใจ แต่แล้วเสียงของชายหนุ่มผู้เย็นชาก็ลอดผ่านพุ่มต้นไม้และใบหญ้า ส่งมาถึงเขาว่า “ซานอิง เจ้าคิดสู้กับทหารแบบประจัญหน้า แต่คนข้างๆ เจ้าเขายอมหรือไม่? วางอาวุธลงและลงมา อย่างน้อยก็ยังลดโทษได้บ้าง ข้าสัญญาว่าครอบครัวและญาติของเจ้า อย่างน้อยก็จะไม่เป็นอะไรเพราะพวกเจ้า” 

 

 

ซานอิงกลัวว่าคนของตนจะใจอ่อน เขาถุยน้ำลาย และโพล่งออกไปอย่างเสียงดังว่า “ท่านไม่ต้องใช้วิธีหลอกล่อชวนเชื่อเช่นนี้หรอก! คิดว่าพวกท่านมีคนของพวกข้าฝ่ายเดียวงั้นรึ? ฮึ่ม! คนของท่านก็อยู่ในมือของข้าคนนึงเหมือนกัน!” 

 

 

เฉินจ้าวรู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบ แล้วเขาก็เห็นฉินอ๋องใช้แขนดึงเชือกขึ้นมา ก้าวไปยังข้างหน้า เกือกม้ากระแทกพื้นกึกกักอย่างแรง เขาหัวเราะและกล่าวว่า 

 

 

“คนที่พวกเจ้าจับไว้ก็แค่บ่าวใช้ไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่ามีราคาแพง แต่หนึ่งชีวิตแลกกับญาติของพวกเจ้าเกือบร้อยชีวิต มีที่ใดคุ้มกว่านี้อีกอย่างงั้นรึ?” 

 

 

ตรงทางลาดชัน อารมณ์ของพวกโจรป่าเริ่มเดือดปุดดุจน้ำต้มเดือด ทุกคนส่งเสียงดังกันใหญ่ แล้วเสียงของชายหนุ่มผู้อยู่ที่ราบก็หัวเราะขึ้นมา มันดังจนขวดแทบจะแตกกระจาย เสียงนั้นฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก จากนั้นมีเสียงพูดต่อว่า “จางเต๋อกุ้ย มีแม่เฒ่าอายุเจ็ดสิบ เพราะลูกชายหนีเข้าป่าเป็นโจร รู้สึกผิดหวังต่อการกระทำ จึงยอมอาศัยอยู่คนเดียวในหมู่บ้านเมืองทิศใต้” 

 

 

“เฉียวต้าฟู่ มีพี่ชายและพี่สะใภ้ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมาก” 

 

 

“ซุนกั๋วจู้ มีลูกชายสามคน ลูกสาวหนึ่งคน และยังมีภรรยาที่แต่งงานกันอย่างถูกต้องตามประเพณี” 

 

 

ชื่อที่อ่านล้วนแต่เป็นชื่อของญาติสนิทของโจรป่าที่หนีขึ้นเขา 

 

 

โจรป่าได้ยินก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูก ก่อนมาปราบโจร ฉินอ๋องเตรียมตัวมาแล้วเท่าไหร่กันแน่ 

 

 

เสียงของชายหนุ่มเงียบไป จากนั้นกล่าวต่อ “หลี่ว์ปา มีน้องสาวคนเล็ก สองพี่น้องพึ่งพาอาศัยกัน ตอนนี้…อยู่ในมือพวกข้า” 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์ฟังอยู่ เวลานี้ล่ะเป็นเวลาสร้างผลงาน นางจึงทำตามสิ่งที่ฉินอ๋องต้องการด้วยการวิ่งออกมา นางจับชายกระโปรงเอาไว้และเริ่มร้องไห้ “ท่านพี่! อย่ามีเรื่องกับข้าราชการเลยนะเจ้าคะ ทิ้งอาวุธและยอมจำนนเถิดเจ้าค่ะ!” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบไปมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะห้ามแต่อย่างใด แต่แสดงสีหน้าของการสนับสนุนมากกว่า 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์รู้สึกดีใจ เมื่อเทียบกับเมื่อวานก่อนที่ถูกต่อว่า วันนี้เป็นเหมือนแสงพุทธสาดส่อง มันช่างกรุณายิ่งนัก นางจึงร้องไห้หนักกว่าเดิม ทั้งก้มหัวคำนับทั้งพูดไม่หยุด “ท่านพี่! ท่านคิดซะว่าทำเพื่อน้องได้ไหมเจ้าคะ! หรือท่านพี่ยอมเห็นน้องรับโทษพร้อมกับท่านพี่ เมื่อก่อนท่านพี่เคยพูดไว้ ทั้งชีวิตนี้ ขอแค่ชีเอ๋อร์เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง มีแม่สามีที่ดี มีสามีที่ดี มีหลานให้ท่านพี่! ท่านพี่อยู่กับพวกโจรพวกนั้น แล้วจะให้น้องมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร! หากน้องกลายเป็นญาติของผู้กระทำผิด ชื่อเสียงสกุลไม่ดี แล้วจะมีคนกล้ารับน้องได้อย่างไร” 

 

 

หลี่ว์ปาขยับตัว มือคู่นั้นกำเถาวัลย์ข้างๆ ไว้แน่น ความมืดในยามค่ำคืนกับต้นไม่ใบหญ้าที่บังไว้ ทำให้มองไม่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ 

 

 

ซานอิงกัดปาก “หลี่ว์ปา เจ้าเป็นตั๊กแตนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับข้า ทำไม เจ้าคงไม่ไปรับใช้พวกราชการแล้วหักหลังข้าหรอกใช่หรือไม่” 

 

 

ในค่ำคืนที่มืดสลัว หลี่ว์ปาตอบกลับด้วยเสียงแหบว่า “เจ้าจะคิดมากทำไม ภัยมาถึงตัวขนาดนี้ พ่อแม่ลูกยังไม่เป็นไร ก็แค่น้องสาวคนนึง จะมีค่ามากกว่าชีวิตของข้าอีกหรืออย่างไร” 

 

 

ซานอิงโล่งอกไปที แต่พวกโจรกลุ่มหนึ่งกลับโหวกเหวกขึ้นมาอีกครั้ง วันที่ก้าวเท้าเข้าไปในป่า คนเกือบครึ่งหนึ่งก็ได้ตัดขาดกับครอบครัวไปเลย แต่ยามค่ำคืนอันหนาวเหน็บในวันนี้ พอได้ยินชื่อของครอบครัว ภายในใจของพวกเขากลับรู้สึกว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“ยังไงล่ะ” เสียงของชายหนุ่มอันนุ่มนวลเอ่ยขึ้น ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดสนิท ที่กล่าวไปเมื่อครู่เกิดผลลัพธ์ชวนเชื่อตามที่ซานอิงกล่าวมาเมื่อกี้จริง “ภัยไม่ตกถึงญาติ หากยอมแต่โดยดี และจะให้ลูกหลานของญาติพวกเจ้ามีชีวิตที่ไร้ความกังวล ส่วนพวกเจ้าได้ปิดเส้นทางของตัวเองแล้ว คงไม่จำเป็นต้องให้ญาติของพวกเจ้ามีชีวิตที่ลำบากตามหรอกใช่หรือไม่” 

 

 

บนภูเขา ความฮึกเหิมของคนกลุ่มหนึ่งลดลงฮวบราวกับถูกปีศาจควบคุม มีชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมาและกล่าวด้วยเสียงสะอื้นว่า “ท่านอินทรี…พ่อแม่ของข้าอายุใกล้จะหกสิบแล้ว พวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาโดยตลอด ข้า…ข้าไม่อยากให้พวกเขาถูกตัดหัวเพราะข้า…แล้วยังมีพี่ชายพี่สะใภ้ และหลานของข้า ที่อายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบเลย…” 

 

 

ซานอิงกลัวว่าภายในจะมีช่องโหว่ เขาจึงฟาดหน้าของโจรน้อยผู้นั้นหัวหมุนจนแทบเปลี่ยนทิศ เขากล่าวตอบด้วยเสียงดุดันว่า “อย่าไปฟังคำของไอ้พวกนั้น! ถึงแม้เรายอมจำนน แต่ครอบครัวของเราก็ใช่ว่าจะพ้นโทษ! ไอ้พวกราชการพวกนี้ ดีแต่โกหก!” กว่าจะทำให้ลูกน้องสงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาจึงตะโกนลงไปด้านล่างอย่างเสียงดังว่า “พวกเจ้าอย่าเอาแต่พูดไร้สาระ! ในเมื่อเจรจาไม่สำเร็จ งั้นก็ช่างเถอะ! สิ่งที่ข้าควรพูด ข้าก็ได้พูดหมดแล้ว พวกข้าจะไม่ยอมจำนน! พวกเจ้าปล่อยพวกข้าไป ต่อแต่นี้ไป ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก หรือไม่ พวกเจ้าก็บุกขึ้นมา มาสู้กันเลยดีกว่า! ข้าใช้ชีวิตแบบนี้มาหลายปี ข้ากลัวทุกสิ่ง แต่สิ่งเดียวที่ไม่กลัวคือความตาย!” 

 

 

ตรงตีนเขา คล้ายว่ามีคลื่นยักษ์ซัดเข้าภายในกองทัพอีกครั้ง และครั้งนี้มันรุนแรงกว่าเมื่อกี้ 

 

 

รู้ว่าซานอิงเป็นหัวหน้าโจรในเขตฉางชวน แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะบ้าได้ถึงเพียงนี้! 

 

 

“ท่านอ๋อง! รออะไรอยู่ขอรับ! ใช้ไม้อ่อนกับโจรแบบนี้ไม่ได้ผลหรอกขอรับ! ต้องใช้กำลังเท่านั้น ถึงจะจัดการได้!” 

 

 

“นั่นน่ะสิขอรับ ข้าน้อยยอมเป็นคนนำทัพ และจะตัดหัวของไอ้ซานอิงมาให้ขอรับ” 

 

 

องค์ชายสามที่ราชสำนักส่งมา ต้องมารับมือกับสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ครั้งแรก คงจะใจกว้างไปบ้าง! 

 

 

มีความใจกว้างนั้นไม่ผิด หากแต่ปฏิบัติต่อโจรป่าพวกนี้ด้วยความชักช้าอยู่แบบนี้ นั่นคือตัวอย่างของคนที่ไม่เด็ดขาด และขี้ขลาด! 

 

 

พวกทหาร มีทั้งคนเล้าโลม และคนซุบซิบนินทา 

 

 

กองทหารในตระกูลเฉินที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเฉินจ้าว จากที่ไม่มีท่าทีอะไร ตอนนี้ก็เริ่มอึกทึกครึกโครม 

 

 

ทหารในฉินอ๋องมีไว้ปกป้องเบื้องบน พวกเขาไม่ได้ถกเถียงตามทหารท้องที่ของเยี่ยนหยาง แต่พอได้ยินอย่างนั้น ภายในใจก็เริ่มสั่นคลอน เพียงแค่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น 

 

 

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว เหล่าทหารที่ไม่พึงพอใจในฉินอ๋องก็เริ่มรวมตัวพูดคุยเสียงดังกึกก้อง ในคำขอร้องเหล่านั้นปะปนไปด้วยคำขู่เข็ญ 

 

 

จนที่นั่งของชายหนุ่มได้รับความสะเอน 

 

 

ช่วงเวลานั้น ซือเหยาอันลงมาจากทางเขาลาดชันอย่างรีบร้อน เสียงย่ำเท้าลงพื้นดังกึกๆ เขาตรงมาหาฉินอ๋องทันที เขากวาดสายตาไปยังเหล่าทหารที่กำลังไม่พอใจ จากนั้นทำท่าคำนับและกล่าวว่า “ท่านอ๋องขอรับ เรื่องที่ให้ข้าน้อยไปสืบ ได้ความแล้วขอรับ!” จากนั้นเขาหยิบของบางอย่างออกมาจากถุงด้านหลังและถือมันเอาไว้ที่มือ 

 

 

แสงสว่างจากไฟ ช่วยให้เหล่าทหารและเจ้าหน้าที่ เห็นของที่อยู่ในมือซือเหยาอันอย่างชัดเจน ทุกคนถึงกับสูดอากาศหนาวเหน็บเข้าไปเต็มปอด 

 

 

มันคือทุ่นระเบิดที่ทำจากดิน ห่วงดึงของมันถูกถอดออกแล้ว ทุ่นระเบิดตัวนี้มีกำลังระเบิดสูงมาก หากย่ำโดนเพียงเล็กน้อย ก็สามารถระเบิดคนให้แตกกระเจิงได้! 

 

 

“ข้าน้อยพาทหารสองสามคนแอบไปตรวจดูที่บนนั้น พบว่ามีสิ่งนี้ซ่อนไว้ตลอดทาง มีแทบทุกๆ สิบก้าวเลยขอรับ” ซือเหยาอันรายงาน 

 

 

โจรป่าในภูเขาหม่าโถวมักใช้วิธีนี้ คงไม่ต้องพูดถึงว่าใครเป็นคนทำ ซานอิงแน่ๆ! 

 

 

ถึงว่าซานอิงกล้าหาญยโสนัก ที่แท้ก็หลอกล่อให้พวกทางการกริ้วโกรธ และล่อให้เหล่าทหารขึ้นไปยังบนเขานี่เอง 

 

 

หากบุกขึ้นไปตามนั้นจริง ผู้ที่นำทัพจะต้องบาดเจ็บหนักแน่! 

 

 

แล้วเรื่องนี้ก็อาจกลายเป็นประเด็นชวนขัน เพราะจับโจรป่าเพียงไม่กี่สิบคนต้องใช้ทหารมากถึงเพียงนี้ แล้วยังต้องตกตายมากถึงเพียงนี้อีก