[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 405 : ฉินตงเฉี่วย – น้าหญิงที่แข็งแกร่ง!
แรงของลมทะเลพัดปะทะร่างของหญิงชุดขาว จนเสื้อผ้าแนบเข้ากับเรือนร่างเผยให้เห็นร่างกายที่บอบบางชวนให้จินตนาการต่อ..
มือขวาของนางถือกระบี่ บนใบหน้ามีผ้าสีขาวปกคลุมไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นเพียงแค่คิ้วคู่สวยและผิวที่ขาวราวหิมะ ร่างในชุดกระโปรงสีขาวเดินอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ และมุ่งหน้าไปทางหลิงหยุน!
“เดินบนอากาศ.. จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องฝึกถึงขั้นเซียงเทียน-3!” เหลยเชิ่งจ้องมองร่างของหญิงชุดขาวด้วยความตกใจ!
‘นี่แม่กลับมาแล้วรึ?!’
หลิงหยุนได้แต่รำพึงรำพันในใจเมื่อได้เห็นคิ้วสวยที่คล้ายคลึงกับคิ้วของนางฉินจิวยื่อ แต่กลับไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย
‘สามารถเดินบนอากาศเป็นระยะทางไกลได้ขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาแน่! หากอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ นางคงจะต้องอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 แล้วเป็นแน่’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ
แน่นอนว่า เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น หลิงหยุนเองก็เคยฝึกจนถึงระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 มาแล้ว
หญิงสวมชุดขาวที่เดินอยู่บนอากาศนั้น ไม่เดินเร็วจนเกินไป แต่ก็ไม่ช้าจนเกินไปเช่นกัน แต่ละก้าวของเธอนั้นไกลถึงสิบเมตร และเพียงแค่เจ็ดก้าวก็มาหยุดอยู่บนพื้นตรงหน้าผู้คนพอดี
ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของหญิงสาวชุดขาวที่ดูราวกับเทพธิดาผู้นี้ รูปร่างของนางนั้นสวยงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ และเมื่อนางมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน หลิงหยุนและคนอื่นจึงหายตกตะลึงและเริ่มรู้สึกตัว..
“ข้าขอถามว่าแม่นางท่านนี้คือ..?”
เหลยเชิ่งรู้ดีว่ากำลังภายในของเขานั้นไม่อาจเทียบเท่าหญิงชุดขาวได้ และนางสามารถสังหารเขาได้เพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือ เขาจึงไม่กล้าที่จะทำนิ่งเฉย
“ฉินตงเฉี่วย – แห่งตระกูลฉิน!” น่าแปลกที่หญิงชุดขาวกลับไม่คิดที่จะปิดบังชื่อแซ่ แต่กลับเปิดเผยต่อทุกคนในทันที!
“ห๊ะ…”
ไม่เพียงแค่หลิงหยุน แม้แต่เหล่ากุ่ย เหลยเชิ่ง และตู้กู่โม่เอง ก็ถึงกับร้องอุทานกันเสียงหลง จากนั้นแต่ละคนก็เหมือนรู้สึกหายใจไม่ออก
คนตระกูลฉิน!
สำหรับเหล่ากุ่ยนั้น จะเรียกว่าตกใจสุดขีดเลยก็ได้! เพราะสิ่งที่เขาและผู้นำตระกูลหลิง – หลิงลี่ ได้เคยคาดคะเนไว้ ตอนนี้กลับกลายเป็นความจริงไปแล้ว!
ที่แท้.. ฉินจิวยื่อก็คือหญิสาวผู้น่าสงสารที่ถูกขับไล่ออกจากตระกุลเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว!
ทางด้านเหลยเชิ่งและตู้กู่โม่นั้น จนถึงตอนนี้ยังกลั้นหายใจอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวในตัวฉินตงเฉี่วย แต่เป็นเพราะได้ยินชื่อของตระกูลฉินต่างหาก!
เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ประเทศจีนมีตระกูลใหญ่เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนอยู่สามตระกูล ซึ่งก็คือตระกูลหลงที่อยู่ปักกิ่ง และตระกูลหลิงกับตระกูลฉินที่อยู่เจียงหนาน!
ในเวลานั้น ประเทศจีนมีตระกูลใหญ่อยู่มากมายหลายตระกูล แต่ที่นับว่าผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือนั้น ก็มีเพียงแค่สามตระกูลนี้!
แต่เป็นเพราะเหตุการณ์สองเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ทำให้ตระกูลหลิงและตระกูลฉินต่างก็ค่อยๆตกต่ำลง และทั้งสองเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับความรัก!
เหลยเชิ่งในฐานะที่เป็นคนของกลุ่มเทพอินทรีแห่งองค์กรลี้ลับ และตู้กู่โม่ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่ ทั้งคู่ต่างก็รุ้เรื่องราวของตระกูลฉินดี ในตอนนี้พวกเขากลับมีโอกาสได้พบเห็นทายาทตระกูลฉินตัวจริง มีหรือที่ทั้งสองคนจะไม่ตกใจ?!
ฉินตงเฉี่วยคลุมผ้าสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ หลิงหยุนจึงไม่สามารถรู้อายุที่แท้จริงของนางได้ แต่หากคาดคะเนจากคิ้วและรูปร่างแล้ว ฉินตงเฉี่วยคงจะอายุราวยี่สิบกว่าๆ
เหลยเชิ่งผงะถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ เขาใคร่คาวญครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อว่า
“แม่นางฉิน.. ข้าได้ยินมาว่าตระกูลฉินมีหญิงสาวคู่หนึ่งคล้ายกันราวกับแฝด และทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธเข้าขั้นอัจฉริยะ ล่ำลือกันว่าคนน้องนั้นสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-6 ได้ตั้งแต่อายุเพียงเก้าขวบ..”
แววตาของฉินตงเฉี่วยเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง พร้อมกับชายตามองไปทางเหลยเชิ่ง จากนั้นเสียงใสกังวานราวกับระฆังก็ดังออกจากปากนาง
“เจ้าอย่ามาจงใจเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย.. คนที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าเอง!”
จากนั้น ฉินตงเฉี่วยก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา
“คำพูดของหลิงหยุน คิดว่าเจ้าคงจะได้ยินชัดเจนแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในจิงฉูคืนนี้ เจ้าอย่าได้ดึงกลุ่มเทพอินทรีเข้ามายุ่งเกี่ยว เจ้ามาทางใหนก็กลับไปทางนั้นซะ! ข้าจะได้ไม่ต้องทำให้เจ้าได้รับความอับอาย!”
หลังจากฉินตงเฉี่วยพูดจบ เขาก็ไม่สนใจกับเหลยเชิ่งอีกเลย แต่กลับเดินเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าหลิงหยุน จากนั้นก็ยกมือซ้ายที่อ่อนช้อยและขาวราวหิมะของนางขึ้นพร้อมกับหยิกแก้มหลิงหยุนด้วยความรักและเอ็นดู
“เจ้าเด็กดื้อ.. นึกไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเล่นอะไรแบบนี้ ยังไม่เรียกน้าหญิงอีก!”
แก้มของหลิงหยุนถูกฉินตงเฉี่วยหยิก และนางก็เป็นน้องสาวของแม่เขา เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ฉินตงเฉี่วยขยำแก้มของเขาเล่น และปากก็ได้แต่ร้องเรียก
“น้าหญิง!”
แทบจะไม่ต้องอธิบายว่าฉินตงเฉี่วยเป็นใครกันแน่ ในเมื่อนางให้หลิงหยุนเรียกนางว่าน้าหญิง ก็แสดงว่าต้องเป็นน้องสาวของแม่เขาเอง..
“น่ารักจริงๆ ใบหน้าของเจ้านี่ขาวกว่าใบหน้าของหญิงสาวอีก ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?!” ฉินตงเฉี่ยวยังคงหยิกแก้มของหลิงหยุนอย่างเอ็ดนดู และดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดได้
“สิบแปด.. ปีหน้าก็สิบเก้า..น้าหญิง ท่านดูคล้ายกับเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบแปด” หางตาของหลิงหยุนเหลือบไปมองที่ข้อมือขาวข้างแก้ม
น้าหญิงของเขาไม่เพียงแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดา แต่ยังจะเป็นคู่แข่งของเขาในเรื่องไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง และดูเหมือนว่าหลิงหยุนเองก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่นางในเรื่องนี้
ฉินตงเฉี่วยฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะคิกคัก จากนั้นก็หยุดสำรวจไปทั่วร่างกายของหลิงหยุนแล้วพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ.. ตัวของเจ้าเปื้อนเลือดเต็มไปหมด น้าหญิงจะพาเจ้าไปล้างทำความสะอาด!”
“ห๊ะ?!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางและต้องไปจัดการ แต่จู่ๆน้าหญิงก็บอกว่าจะพาเขาไปอาบน้ำด้วยตัวเอง?
“ทำไม? เจ้าจะไปหรือไม่ไป?” ดวงตาคู่สวยของฉินตงเฉี่วยจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
เหลยเชิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่นางฉิน.. เรื่องนี้..”
แววตาของฉินตงเฉี่วยเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับหันไปทางเหลยเชิ่ง และตวาดไปว่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือยังไง? ถ้าเจ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็ใช้อำนาจขี้ปะติ๋วในมือของเจ้าหาทางออกไปจากที่นี่ซะ! แล้วเรื่องศพที่เกิดจากฝีมือของหลิงหยุน หากเจ้ากล้าปากสว่าง ก็ระวังกระบี่ในมือของข้าก็แล้วกัน!”
ตู้กู่โม่ได้แต่เงียบและคิดในใจว่า คนในครอบครัวของหลิงหยุนแต่ละคนล้วนแล้วแต่น่าเหลือเชื่อ! เขาคิดว่าหลิงหยุนเป็นคนที่ไร้เหตุผลที่สุดแล้ว แต่น้าหญิงของเขากลับดุร้ายและไร้เหตุผลยิ่งกว่าเสียอีก
เหล่ากุ่ยได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร แต่สมองของเขากำลังทำงานอย่างรวดเร็ว และคิดว่าจะต้องรายงานข่าวนี้ให้หลิงลี่รู้ในคืนนี้
เหล่ากุ่ยไม่รู้ว่าตนเองนั้นกำลังตื่นเต้น หรือว่าตื่นตระหนกกันแน่ ในอดีตแม้ตระกูลหลิงและตระกูลฉินจะเคยเป็นตระกูลที่ผู้คนให้การนับหน้าถือตา แต่ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยติดต่อกันเลยสักครั้ง อีกทั้งยังแอบชิงดีกันอยู่ลับๆ แต่ตอนนี้กลับมีหลิงหยุนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล!
แม้ว่าหลิงหยุนจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหลิงเสี่ยว แต่ที่ผ่านมาตระกูลหลิงก็ไม่เคยได้เลี้ยงดูหลิงหยุนเลย แต่กลับเป็นฉินจิวยื่อแห่งตระกูลฉินที่เลี้ยงดูหลิงหยุนมาเพียงลำพัง นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าคนตระกูลหลิงเช่นนั้นหรือ!
แต่ในใจของเหล่ากุ่ยเวลานี้กลับนึกหวาดกลัวมากกว่าที่จะตื่นเต้น ตระกูลหลิงอยู่ในช่วงตกต่ำ ส่วนตระกูลฉินก็อยู่ช่วงเผชิญกับพายุเช่นกัน ตอนนี้ไม่เท่ากับหลิงหยุนต้องแบกภาระของทั้งสองตระกูลไว้บนบ่าเช่นนั้นหรือ? ในวันข้างหน้า หลิงหยุนคงต้องแบกภาระอันหนักอึ้งของทั้งสองตระกูลนี้ไว้อย่างแน่นอน!
“น้าหญิง.. อย่างหยิกหน้าข้าเล่นแบบนี้สิ หยิกเอา.. หยิกเอา..” หลิงหยุนร้องบอกให้ฉินตงเฉี่วยปล่อยแก้มเขา จากนั้นก็หันไปพูดกับถังเทียนห่าวที่ยังคงยืนเงียบไม่พูดอะไร
“ลุงถังครับ.. ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงฝั่งชานเมืองตะวันตก ยังมีศพอีกมากมาย รบกวนคุณลุงช่วยจัดการให้ผมด้วยนะครับ คงต้องรบกวนคุณลุงแล้ว..”
ถังเทียนห่าวมองหลิงหยุนด้วยแววตารักใคร่ไม่น้อยไปกว่าลูกชายของตัวเอง เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ลุงถังจะจัดการให้เอง เธอสบายใจได้!”
หลิงหยุนมองเหลยเชิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่เหลย.. เรื่องระหว่างเรา..”
เหลยเชิ่งมองฉินตงเฉี่วยอย่างระมัดระวัง “เอิ่ม.. ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าก็แล้วกัน..”
ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังต้องเป็นเรื่องของวันข้างหน้าอะไรอีก? เจ้าฟังคำพูดของข้าให้ดี เรื่องวันนี้ให้จบเพียงเท่านี้! ข้าจะอยู่ในจิงฉูระยะหนึ่ง หากข้ายังพบคนของเจ้ามาวอแวกับหลิงหยุนอีกล่ะก็ อย่าหาว่าข้ารังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
เหลยเชิ่งถึงกับเหงื่อออกเต็มหน้าผาก และได้แต่ยิ้มไม่กล้าพูดอะไรอีก!
ช่างเป็นน้าหญิงที่แข็งแกร่งมากเหลือเกิน ยอดเยี่ยมจริงๆ! หลิงหยุนเห็นเหลยเชิ่งที่ดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก และไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่รู้สึกดีใจ
หลิงหยุนหันไปพูดกับเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ “คืนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกท่านกลับไปก่อน ถ้าต้องการฝึกวิชาให้ไปที่บ้านของข้าได้เลย แล้วเรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้!”
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็พยักหน้า แล้วตู้กู่โม่ก็ขยิบตาให้หลิงหยุน แต่ฉินตงเฉี่วยกลับเห็น และจ้องมองจนตู้กู่โม่รู้สึกเกรงกลัว
“เอาล่ะ.. ตอนนี้เจ้าก็ไปกับน้าหญิงได้แล้ว!” ฉินตงเฉี่วยบอกหลิงหยุน จากนั้นร่างของเธอก็ห่างออกไปไกลราวสิบเมตร กระโปรงยาวที่ปลิวไสว และท่วงท่าการเดินเหินนั้นช่างสวยงามยิ่งนัก
หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างตามฉินตงเฉี่วยไปติดๆ ทั้งคู่ต่างก็หายวับไปจากบ้านคนตระกูลเฉิง แล้วจึงหายเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านนอก
“หลิงหยุน!” เฉิงเมียนยืนมองหลิงหยุนที่ตามฉินตงเฉี่วยออกไปไกล จึงได้แต่ร้องตะโกนเรียก
หลิงหยุนออกไปไกลราวสองสามร้อยเมตรแล้ว มีหรือจะสนใจใยดีกับเสียงร้องเรียกของเฉิงเมี่ยน?
“พวกเรากลับกันเถอะ!”
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็มองหน้ากัน ทั้งคู่แยกย้ายกันออกไปจากหมู่บ้าน และมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองจิงฉู
เหลยเชิ่งถึงกับถอนหายใจอย่างแรง พร้อมกับหันไปพูดกับถังเทียนห่าวว่า “เรื่องในคืนนี้คงจะเกินกำลังที่สำนักงานรักษาความมั่นคงของเจ้าจะรับผิดชอบได้ แต่ข้าคงต้องวานให้เจ้าช่วยจัดการเก็บศพและทำความสะอาดทุกอย่างให้เสร็จก่อนรุ่งสาง และต้องไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป!”
ถังเทียนห่าวได้รับปากหลิงหยุนแล้วเขาจึงยิ้มและตอบกลับไปว่า “คุณเหลย.. สบายใจได้ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!”
……….
“น้าหญิง.. พวกเราจะไปที่ใหนกันแน่?” หลิงหยุนร้องถาม
ฉินตงเฉี่วยหันมาตอบหลิงหยุนว่า “ไปอาบน้ำไง.. ด้านหน้าเป็นทะเล มีน้ำมากพอให้เจ้าอาบ!”
หลังจากนั้น ฉินตงเฉี่วยก็พาหลิงหยุนไปที่ชายทะเล..
สายลมอ่อนๆ เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ประกอบกับท้องฟ้าที่มืดมิด ทำให้ทะเลแห่งนี้ดูช่างลึกลับ!
นับตั้งแต่หลิงหยุนได้เกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาสัมผัสกับท้องทะเลอย่างใกล้ชิด เขาจึงเกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน..
แสงสลัวในยามค่ำคืน และท้องทะเล สามารถกระตุ้นให้คนเราเกิดความคิดได้มากมาย และหลิงหยุนในตอนนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีธรรมชาติช่างคิด!
“เจ้าเด็กดื้อ.. จู่ๆทำไมถึงทำสีหน้าแบบนั้น นี่เจ้าคิดอะไรอยู่?”
ฉินเตงเฉี่วยเห็นสีหน้าท่าทางของหลิงหยุน จึงสงสัยว่าเขาคงกำลังครุ่นคิดเรื่องที่สังหารผู้คนเมื่อครู่ จึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้
แต่หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งมองทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูตา เขาจ้องมองคลื่นที่ซัดมาไม่สิ้นสุด พร้อมกับถามขึ้นว่า
“ข้ากำลังแปลกใจ และอยากรู้ว่าดวงตาทะเลอยู่ตรงใหนกันแน่..”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับอัศจรรย์ใจพร้อมกับคิดว่าหลิงหยุนช่างเป็นคนที่มีความคิดแปลกประหลาดนัก
ผ้าคลุมสีขาวบนใบหน้าของฉินตงเฉี่วยขยับตามริมฝีปากพร้อมกับตอบออกไปยิ้มๆ “ทะเลไร้ขอบเขต ดวงตาทะเลจึงน่าจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เจ้าต้องการจะทำอะไร?”
หลิงหยุนหันหน้าไปหาฉินตงเฉี่วยและตอบไปว่า “น้าหญิง.. น้าไม่เข้าใจ ในดวงตาทะเลมีสมบัติ!”
ฉินตงเฉี่วยอึ้งกับคำพูดของหลิงหยุน ดวงตาของเธอฉงน จึงได้แต่สั่งว่า “เร็วเข้า.. รีบไปล้างเนื้อล้างตัวได้ซะ เสร็จแล้วจะได้ขึ้นมาคุยกับข้า!”
หลิงหยุนได้แต่อ้ำอึ้งก่อนจะถามออกไปตรงๆ “จะให้ข้าอาบจริงๆน่ะเหรอ? แต่ข้าต้องถอดเสื้อผ้านะ..”
แต่ฉินตงเฉี่วยกลับจ้องมองหลิงหยุนนิ่งพร้อมกับตอบไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “นี่เจ้าพูดอะไร? อายุแค่สิบแปด.. จะมีอะไรให้มอง! รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า น้าหญิงจะนั่งดูเจ้าอยู่ตรงนี้!”
“ห๊ะ..” หลิงหยุนได้แต่อึ้งไป และไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรได้อีก จึงได้แต่กระโดดลงทะเลไป หลิงหยุนกระโดดไปไกลราวสิบกว่าเมตร และเมื่อร่างของเขาตกลงไป น้ำทะเลก็กระเซ็นออกมาเป็นฟองขาว!
“นี่.. ระวังตัวด้วยล่ะ!” ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนกระโดดจนน้ำกระเซ็นขึ้นมา จึงได้แต่ร้องเตือน
หลังจากที่หลิงหยุนกระโดดลงไป เขาก็สัมผัสได้ว่าตรงจุดที่เขายืนอยู่นั้นน่าจะลึกราวสิบเมตร และคลื่นก็ลูกใหญ่มาก น้ำทะเลด้านล่างก็เชี่ยวกราดไม่น้อย
หลิงหยุนจัดการกลั้นหายใจ และเดินพลังหยินหยางในร่างกาย ตอนนี้เขาอยู่ในระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-5 จึงสามารถกลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานราวเจ็ดถึงแปดนาที
“ที่นี่เหมาะกับการฝึกฝนอย่างมาก!” หลิงหยุนยืนอยู่ใต้ทะเล รับรู้ได้ถึงแรงปะทะที่รุนแรงของน้ำทะเล
จู่ๆ หลิงหยุนก็พลิกฝ่ามือเรียกหม้อเสินหนงที่หนักกว่าพันกิโลกรัมออกมา เขาใช้แขนทั้งสองข้างถือหม้อไว้ พร้อมกับแกว่งไปมาอยู่ใต้น้ำทะเล
ในเวลานี้หม้อเสินหนงเต็มไปด้วยน้ำทะเลก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก หลิงหยุนหมุนตัวอยู่ใต้น้ำราวกับน้ำวน และนั่นทำให้พลังชี่ในร่างกายของเขาถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว
ฉินตงเฉี่วยที่เห็นหลิงหยุนกระโดดลงไปในน้ำทั้งเสื้อผ้านานถึงสามนาทีแล้ว แต่จนป่านนี้ยังไม่ขึ้นมา จึงรู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย!
“เจ้าเด็กดื้อ ข้าคอยเลี้ยงอาหารดีๆเจ้าอยู่นะ”
ฉินตงเฉี่วยกระวันกระวายใจ และด้วยนิสัยใจร้อน นางจึงใช้วิชาตัวเบาที่หาใครเทียบได้นั้น เดินไปบนน้ำทะเลห่างจากฝั่งไปราวยี่สิบเมตร เพื่อหาหลิงหยุน
ลมทะเลที่พัดเข้าสู่ร่างของนาง ทำให้กระโปรงสีขาวสะบัดไปมา ภาพของฉินตงเฉี่วยในเวลานี้ไม่ต่างจากเทพธิดาที่กำลังเดินอยู่บนคลื่น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!
เพียงแค่หนึ่งนาทีต่อมา คลื่นลูกใหญ่ก็พุ่งขึ้นจากทะเล หลิงหยุนเก็บหม้อเสินหนง และร่างของเขาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำทะเล
“โอ้โห.. น้าหญิงท่านช่างงดงามมาก!”
หลิงหยุนที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำทะเลทำให้ฉินตงเฉี่วยตกใจ ส่วนตัวเขาเองก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น นางจัดการทุบหลังหลิงหยุนพร้อมกับดุว่า “เจ้าเด็กตัวแสบ..”
“อะไรกัน..”
ฉินตงเฉี่วยทั้งโกรธทั้งกระวนกระวายใจ จนลืมว่าตัวเองเดินอยู่บนน้ำทะเลนานเป็นนาทีแล้ว และพลังชี่ในร่างกายก็เริ่มหมดแล้ว จึงได้ร้องตะโกนออกมาว่า
“ข้ากำลังจะตกน้ำ?!”
ตูม!
ฉินตงเฉี่วยตกลงไปในน้ำทะเล!