สถานการณ์ของนางจะแย่กว่าเดิม
ซย่าโหวซื่อถิงนิ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นค่อยเปล่งเสียงเรียบไร้อารมณ์ว่า “หลังจากที่เจ้าออกจากเมืองไป กองทัพของเจ้าที่มีอยู่ไม่ถึงร้อยคน ทั้งคนและม้าต่างก็หมดแรงเหนื่อยล้ากันหมด แล้วยังไม่มีเงินสำหรับค่าเดินทาง หากอยากมีชีวิตต่อคงลำบากไม่น้อย แต่เจ้าสามารถตรงไปยังอำเภอเพ่ย ที่นั่นมีเสบียง มีเงินทอง เพียงพอสำหรับการตั้งตัวใหม่นะ”
ซานอิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วขนก็ลุกซู่ไปทั้งแผ่นหลัง ปะติดปะต่อเรื่องราวจนเข้าใจความหมายขององค์ชาย
นี่คงเป็นเหตุผลที่ฉินอ๋องช่วยเขาสินะ!
ใครเล่าจะไม่รู้ เว่ยอ๋องผู้ได้รับมอบหมายจากทางการให้ขนส่งเงินบรรเทาภัย ประจำการอยู่ในอำเภอเพ่ย!
องค์ชายคิดจะยืมมือคนอื่นฆ่าคน เขาตั้งใจให้พวกเขาไปอำเภอเพ่ย ไปปล้นทรัพย์และทำร้ายเว่ยอ๋อง
ใช่สิ ระหว่างเหล่าองค์ชาย จะมีความแค้นอันใดต่อกันอีก นอกจากต้องการแย่งความพอพระทัยจากฝ่าบาทและช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท!
ซานอิงจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่ละสายตา แล้วนิ้วของฝั่งตรงข้ามก็คลายออก หยกแขวนชิ้นนั้นก็ลอยตกลงที่พื้น
ซานอิงยื่นมือไปเก็บขึ้นมายัดเข้ากระเป๋าอย่างรวดเร็ว เขาฉีกปากยิ้มกว้างและกล่าวขอบคุณ “ขอบพระทัยฉินอ๋องที่ช่วยชี้ทางให้!” เขาส่งสัญญาณมือ “ไปเรียกทุกคนมารวมตัว เตรียมตัวบุกที่ราบเขาซีเป่ย ออกเดินทาง! ไปอำเภอเพ่ย!”
เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เหตุร้ายก็กลายเป็นดี ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
นอกจากช่วยพระชายาโดยไม่ต้องปะทะกับโจรป่าแล้ว ยังสามารถโจมตีเว่ยอ๋องได้อีกด้วย
ส่วนโจรป่ากลุ่มนี้——หากจะจับพวกมัน ก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
ซือเหยาอันรู้สึกเหมือนหินถูกยกออกจากอก เขาโน้มตัวลงและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋องขอรับ ประเดี๋ยวรอพวกเขาจากไปแล้ว ข้าน้อยจะรีบไปหาพระชายามาให้ได้ขอรับ” ค้นพบที่ตั้งของพวกมันแล้ว จุดขังตัวประกันก็คงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แน่
ดวงตาสองข้างของซย่าโหวซื่อถิงจ้องมองซานอิงรวมพลอย่างไม่ละสายตา ท่าทางยังคงนิ่งสงบ แต่ภายในใจนั้นร้อนรุ่มไปหมด ตอนที่กำหมัด อุ้งมือนั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เขาแทบอยากจะเปลี่ยนมือหนึ่งข้างให้เป็นฝ่ามือยักษ์ พลิกเขาทั้งลูกและหานางให้พบให้ได้เร็วที่สุด
และในเวลาเดียวกัน สถานที่ที่ไม่ไกลจากที่ราบของภูเขาลูกนี้ ก็มีประกายไฟสีส้มสว่างขึ้น และมีเสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้าง ไม่นานนัก ประกายไฟก็สว่างขึ้นทั่วทิศ ราวกับประทัดในเทศกาลปีใหม่!
สีหน้าของซานอิงเปลี่ยนไปในทันใด เขายืนบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งและมองดู เห็นเพียงพวกทหารโยนตะบันไฟลงที่ทางขึ้นเขา ตะบันไฟเป็นสิ่งของติดไฟง่าย เพียงจุดไฟเล็กน้อย มันจะระเบิดออกทันทีที่เจอกับสายชนวนของทุ่นระบิด!
เวลาผ่านไปไม่นาน ภูเขาเกือบครึ่งลูกถูกระเบิดจนหมด สะเก็ดไฟกระเด็นใส่ต้นไม้ใบหญ้าจนไฟเริ่มลุก เพียงครู่เดียว ไฟก็ลามไหม้ไปทั่วจนเริ่มลามขึ้นมาตรงนี้
บนเขาเริ่มหนาแน่นไปด้วยควันไฟ เพราะทิศทางลมในค่ำคืนนี้เป็นลมจากทิศเหนือ มันจึงถูกพัดขึ้นมาบนนี้พอดี และยังทำให้เพลิงไฟรุนแรงทวีคูณจนมิอาจคาบคุมได้อีกต่อไป!
ซานอิงหันหน้ากลับไปถุยน้ำลายใส่ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กริ้วโกรธว่า “มารดามันเถอะ! หมายความว่าอย่างไร!”
ซือเหยาอันตะลึง “ใครบังอาจขัดคำสั่ง!”
สีหน้าของซย่าโหวซื่อถิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขากลับลุกขึ้นด้วยความนิ่ง สะบัดแขนเสื้อและกล่าวว่า “โอกาสดีถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบหนีไปให้ไกลอีก!”
ซานอิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่าฉินอ๋องไม่ได้เป็นคนสั่ง เขามองดูความรุนแรงของไฟที่ลามขึ้นมาตามทิศทางลม ถ้ายังไม่รีบหนี มันคงลามขึ้นมาถึงตรงนี้แน่ จะเสียเวลาต่อไปไม่ได้อีก เขาจึงตัดสินใจพาลูกน้องร้อยกว่าคนไปซีเป่ยทันที!
ตอนที่กำลังคุยกับซานอิง ซย่าโหวซื่อถิงเล็งเห็นถ้ำที่อยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนี้อยู่หลายอัน เขาลุกขึ้นยืน จากนั้นมีชายหนุ่มรูปร่างอึกทึกคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เหมือนกลัวว่าเขาจะลงเขาไปอย่างทื่อๆ “เวลาลงเขา ข้ารบกวนพาแม่นางชิ่งเอ๋อร์ไปด้วย ตามข้ามา!”
คำว่าแม่นางชิ่งเอ๋อร์ ทำให้ดวงตาของซย่าโหวซื่อถิงถึงกับกระตุก แต่เขาทอดสายตานิ่งๆ ไปทางหลี่ว์ ทั้งคู่ไม่ทันพูดอะไรด้วยกันมาก ได้แต่เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ภายในถ้ำ
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินเสียง เหมือนเป็นเสียงเรียกโจรป่าหน้าปากถ้ำสองคน แล้วพวกเขาก็เดินจากไป เสียงเงียบไปอยู่นาน
ช่องว่างที่เหลืออยู่ตรงปากถ้ำ มีกลิ่นแปลกลอยเข้ามา แม้จะอยู่ห่างจากตรงนั้นค่อนข้างไกล แต่นางได้กลิ่นชัดเจน มันคือกลิ่นดินปืน
ปะปนกับควันไฟ
ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ นางรู้สึกว่าอุณหภูมิภายในถ้ำเริ่มสูงขึ้น
บนเขานี้ ไฟไหม้——?
หัวใจของนางเต้นตึกตัก นางยังคงใช้มุมแหลมของก้อนหินที่ถือไว้เกือบสองวันตัดเชือกไม่หยุด
ขนาดของเชือกเริ่มเล็กลงแล้ว
อีกที อีกทีสิ…
ในที่สุด มือของนางก็ได้รับอิสระ
นางดึงผ้าคลุมหัวออก มองดูรอบๆ ที่นี่เป็นถ้ำจริงด้วย นางใช้ก้อนหินตัดเชือกตรงเท้าอย่างไม่รีรอ ครั้งนี้นางสามารถใช้แรงได้เต็มกำลังเพราะมือไม่ได้ถูกมัดไว้ นางถูเพียงไม่กี่ที เชือกก็ขาด
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นยืนอย่างเซไปเซมาจนเกือบล้ม นางยื่นมือดันผนังถ้ำเอาไว้ ด้วยความที่สองขาอยู่ในท่าเดียวมาเป็นเวลานาน ทำให้ขาของนางชาไปหมด
นางเดินไปยังปากถ้ำอย่างยากลำบาก พอถึงปากถ้ำ นางคิดจะดันก้อนหินออก แต่ต้องเอามือออกจากหินด้วยความรวดเร็ว เพราะมันร้อนมาก!
ช่องว่างตรงนั้น ทำให้นางเห็นไฟที่กำลังลุกโชน เกิดเหตุไฟไหม้บนเขาจริงด้วย
และในเวลานั้น มีเสียงย่ำเท้าคล้ายว่ากำลังเดินมาทางนี้ เป็นเสียงรองเท้าที่ทำจากเหล็ก
เวลานี้ หากไม่ร้องขอให้ช่วย แล้วจะรอให้ถึงเมื่อไหร่ จะตายแบบไหนก็ได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะโดนเผาเป็นหมูหันย่างแบบนี้
นางกำลังจะปริปาก เสียงของหลี่ว์ปาดังขึ้นพอดี “เด็กโง่! พวกเรามาแล้ว! มาช่วยเจ้าออกไปแล้ว!”
“พี่หลี่ว์ปา!” เป็นเสียงเรียกของอวิ๋นหว่านชิ่น มองจากช่องว่างตรงนั้น นางเห็นหลี่ว์ปากำลังย้ายก้อนหิน แต่ย้ายอยู่นานก็ไม่เห็นมันจะขยับเลยแม้แต่น้อย
นางก้มมองที่ด้านล่างเพื่อดูว่ามีอะไรติดอยู่หรือไม่ แล้วนางก็รีบบอกไปว่า “มีของติดอยู่! จะย้ายทื่อๆ แบบนี้ไม่ได้!”
คนที่อยู่ข้างนอกสังเกตเห็นเหมือนกัน เสียงที่คุ้นเคยลอยเข้ามา เป็นเสียงเรียบและพูดเร็วมาก “เหยาอัน ตัดต้นไม้! งัดปากถ้ำออก!”
เป็นเขา!
ภายในใจของอวิ๋นหว่านชิ่นเต้นตึกตัก จากนั้นมีท่อนไม้ท่อนหนึ่งหนาเท่าหมัด สอดเข้ามาตรงช่องว่าง ตอนแรกก้อนหินมีการขยับเล็กน้อย แต่แล้วเสียงของซือเหยาอันก็ดังขึ้น “ท่านอ๋อง ไม่ได้เลยขอรับ ไฟลุกแรงเกินไป! มันลามมาแล้ว ท่านอ๋องไปก่อนดีกว่า ใช้ทางเล็กลงไป แล้วหาคนมาช่วยเถอะขอรับ ข้าน้อยจะงัดปากถ้ำเอาไว้ก่อน!”
ไม่มีเสียงย่ำเท้า
คนนั้นไม่ตอบโต้ใดๆ ด้วย มีแต่ใช้กำลังทั้งหมดเพื่องัดทางเข้านั่น
ในที่สุดปากถ้ำก็เปิดออกพร้อมกับเสียงท่อนไม้ที่หักแคร่ก
ถึงแม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ไฟที่กำลังลุกอยู่ มันส่องประกายไฟจนฟ้าสว่าง สองวันมานี้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เห็นแสงเลย กว่าสายตาของนางจะคุ้นชินกับแสง ก็ใช้เวลาไปครู่ใหญ่ นางเริ่มขยับตัวเพื่อออกไปด้านนอกด้วยการจับผนังถ้ำเอาไว้ แต่ขาของนางยังคงชาไม่หาย นางไม่สามารถเดินเร็วได้เลย นางขยับได้เพียงสองก้าว เงาของคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี ก็ได้ก้าวเข้ามาด้านใน เขาช้อนตัวนางขึ้น อุ้มนางเอาไว้จนถึงด้านนอกถ้ำ จากนั้นถึงปล่อยนางลง
ช่วงเวลาที่แนบตรงอกกว้างอันแสนอบอุ่นของเขา ใจของนางเต้นไม่หยุด ความหวาดกลัวที่สั่งสมเอาไว้ตลอดสองวันมานี้ได้เวลาระบายออกมาในที่สุด น้ำตาของนางไหลรินออกจากดวงตาไม่หยุด
ถึงแม้จะรู้ว่าเวลานี้ไม่เหมาะที่จะพูดเท่าไหร่ นางกลับอดใจไม่ไหวอยากโผเข้ากอด
ต้นไม้สูงตระหง่านที่อยู่ด้านข้างถูกไฟเผาอย่างลุกโชน กิ่งก้านที่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ก็ร่วงหล่นลงมา
“ท่านอ๋อง!” ซือเหยาอันตะโกน
ชายหนุ่มมีไหวพริบที่ว่องไว เขาจับมือนางไว้แล้ว จากนั้นใช้เกราะชั้นนอกคลุมตัวนางไว้ทั้งตัว เห็นเพียงใบหน้าที่ร้องไห้จนน่าเกลียดเงยขึ้นมามอง หยดน้ำตายังคงติดอยู่ที่ขนตา ปลายจมูกแดงระรื่อ มีเพียงนัยน์ตาคู่นั้นที่ยังคงสวยใสแวววาว ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก แม้จะเปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างไรแต่ก็มิอาจเปลี่ยนดวงตาคู่นี้ได้