ตอนที่ 167.1 สละชีพ (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ทั้งๆ ที่หน้าตาก็อัปลักษณ์ ไม่คล้ายนางคนเดิมเลยสักนิด แต่วินาทีที่รู้ว่าคนตรงหน้าใช่นางไม่ผิดแน่ กลับอยากกลืนกินนางเข้าไปทันที 

 

 

ตั้งแต่ที่เขามองมา อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้ทันทีว่าเขารู้แล้ว และทั้งๆ ที่รู้ว่าเขามาด้วยความเร็วที่สุดแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ถึงอดกลั้นไม่ไหว “ทำไมถึงเพิ่งมา…” นางเอ่ยออกไปด้วยเสียงสะอื้นและมีเสียงแหบปนอยู่ด้วย 

 

 

คนที่คะนึงหาทุกค่ำคืนอยู่ข้างกายมาตั้งหลายวัน แต่ตัวเองกลับไม่รู้อะไรเลย 

 

 

เมื่อคิดถึงยามที่นางถูกทำร้ายตั้งหลายครั้ง แผ่นหลังของเขาตอนนี้ ก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เกิดจากความกลัว 

 

 

เขาก้มหัวลงไป ในขณะที่ผ้าคลุมยังคงคลุมเอาไว้ เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาตรงร่องแก้ม มองนางอยู่อย่างนั้นและมีเสียงลมหายใจแรง 

 

 

“ท่านอ๋องสาม รีบไปกันเถอะขอรับ!” ทางข้างหน้าถูกปิดตายแล้ว เราต้องลงโดยใช้ทางข้างๆ แทน ซือเหยาอันตะโกนเรียก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเหลือบมองเท้าของนาง จากนั้นถอดผ้าคลุมออกและห่อศีรษะนางเอาไว้อย่างมิดชิด หันหลังให้นางและนั่งลงไป “ขึ้นมา” 

 

 

ทางลงเขาที่อยู่ด้านหน้า ถูกไฟเผาไม้จนแทบทรุดเพราะทุ่นระเบิด พวกเขาจึงต้องหาทางลงเขาใหม่ 

 

 

คงมีเพียงเส้นทางที่ซานอิงใช้เพื่อไปที่ราบภูเขาซีเป่ยเมื่อครู่นี้ปลอดภัยที่สุด 

 

 

ทุกคนคิดหาวิธีอยู่ไม่นานนัก เพื่อหลีกเลี่ยงไฟ จึงตัดสินใจหนีไปทางนั้นด้วยความรวดเร็ว 

 

 

ซือเหยาอันอยู่ด้านหน้าสุดเพื่อทำหน้าที่เปิดทาง โดยใช้ดาบคู่กายปัดกิ่งไม้เถาวัลย์ที่อยู่ด้านหน้า และหันหลังมาเตือนสิ่งกีดขวางเป็นพักๆ 

 

 

หลี่ว์ปาอยู่ด้านหลังสุด เขาเองก็มองไปด้านหน้าเป็นพักๆ 

 

 

ชายหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าแพร รองเท้าบู๊ทยาวทำจากเหล็ก แบกนางชิ่งเอ๋อร์ไว้ที่หลัง ก็ย่ำเท้าไปด้วยความรวดเร็ว พูดตามตรง จนถึงตอนนี้เขาเองก็ยังรู้สึกงุนงงอยู่เล็กน้อย 

 

 

แม้ว่าเขาเป็นคนหยาบกระด้างแค่ไหน ก็ดูออกว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา คงไม่ใช่แค่เจ้านายกับบ่าวใช้แน่ 

 

 

ความละเอียดอ่อนของชายหนุ่มอยู่ในสายตาของหลี่ว์ปาทั้งหมด การสนทนากับซานอิงเมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยความเย็นชา แต่เมื่อเทียบกับแม่นางชิ่งเอ๋อร์แล้ว ทุกท่าทีของเขานั้นเต็มไปด้วยความนุ่มนวล 

 

 

ส่วนแม่นางชิ่งเอ๋อร์ก็ยอมรับการปกป้องจากเขาคนนั้น และปล่อยให้ทุกอย่างไหลไปตามธรรมชาติ สองแขนโอบล้อมคอของชายหนุ่มเอาไว้อย่างเชื่อใจ ไม่เหมือนยาโถ่วคนที่กระโดกกระเดก สามารถกินข้าวหม้อเดียวกันกับกลุ่มชายหนุ่มหยาบกระด้าง คนที่หลี่ว์ปาเคยรู้จักเลยสักนิด 

 

 

ภาพตรงหน้า ช่างสอดประสานดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี 

 

 

หลี่ว์ปาฉวยโอกาสพาฉินอ๋องมาถึงถ้ำ ประการที่หนึ่ง เพื่อช่วยชิ่งเอ๋อร์ออกมา ประการที่สอง เพราะมีจุดประสงค์อื่น 

 

 

ความผิดของตัวเองคงหนีไม่รอดแล้ว คำเกลี้ยกล่อมเมื่อตอนที่อยู่ด้านล่าง เขาได้ยินเต็มสองหู 

 

 

หลังจากที่เห็นกับตาว่าชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ขึ้นเขาไปแล้ว เขาก็ตัดสินใจได้ทันที 

 

 

เสียงลมดังเฟี้ยวบนเขาพัดผ่านข้างหู อวิ๋นหว่านชิ่นเกาะอยู่บนหลังของซย่าโหวซื่อถิง แม้ว่าถูกห่อไว้แน่นหนา แต่ก็ยังพอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเขานี้ผ่านช่องว่างที่ปิดไม่สนิทได้บ้าง 

 

 

ลมเย็นอันหนาวเหน็บโอบล้อมเปลวไฟที่คล้ายกับงูพิษเอาไว้ พวกกิ่งก้านใบหญ้าก็วอดไหม้จนหมดสิ้น 

 

 

เปลวไฟสีส้มนั่นเป็นเหมือนไฟผีแห่งป่า มันเผาไหม้ทั่วทั้งภูเขาและที่ราบ ค่ำคืนอันหนาวเหน็บของภูเขาแห่งนี้ถูกเผาจนสว่างไสว ท้องฟ้าครึ่งหนึ่งสว่างราวกับเป็นกลางวัน 

 

 

นางเห็นเม็ดเหงื่อตรงคอของเขา จังหวะการย่ำเท้าเริ่มเร็วขึ้น รองเท้าบู๊ทเหล็กกระแทกพื้นกรวดขรุขระ แม้อากาศจะหนาว แต่แรงย่ำนั้นไม่เคยแผ่ว 

 

 

นางยกแขนเสื้อขึ้นและเช็ดผมของเขาที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ไฟตามริมทางเริ่มเบาลง จนไม่เห็นไฟแล้ว คงพ้นเขตอันตรายแล้วสินะ นางขยับหน้าเข้าไปแนบที่ข้างหู 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกได้ถึงการขยับของคนที่อยู่ด้านหลัง เท้าของเขาไม่เคยหยุดก้าว เพียงแต่ตอนนั้นคงเดินเร็วไปหน่อย แล้วลมกลางคืนก็ค่อนข้างแรง “หนาวหรือ” สองแขนสอดประสานและดันตัวนางที่ไหลลงมาขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ไม่หนาว” หน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นแนบตรงข้างหู “อุ่นมากเพคะ” สองแขนโอบคอของเขาไว้แน่น 

 

 

เวลาคับขันแบบนี้ยังจะล้อเล่นอีก ใจร้ายเสียจริง 

 

 

เขาคิดว่า หลังจากที่พบตัวนาง สิ่งแรกที่จะทำคือตำหนิต่อว่าให้ถึงที่สุด 

 

 

หากยังแก้นิสัยนี้ของนางไม่ได้ คงมีครั้งต่อไปอีกแน่! 

 

 

สองวันที่ผ่านมานี้ นอกจากหวาดผวาวิตกกังวล เวลาที่เหลือ ก็มีแต่ความโกรธที่แทบลุกเป็นไฟ! 

 

 

แต่ตอนที่เห็นนางเข้าจริงๆ ก้อนหินที่ปิดปากถ้ำถูกดันออก ท่าทางที่นางเกาะผนังถ้ำเอาไว้เพราะสองขาเหน็บชา ทำให้ความโกรธที่เคยมีทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง เขารู้แค่ว่าต้องพานางออกจากที่เฮงซวยแห่งนี้ให้เร็วที่สุด 

 

 

และตอนนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มที่เห็นเพียงครึ่งเดียว หันมาพูดว่า “กลับไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง” เขาคิดแค่ว่าความหวาดกลัวในสองวันนั้น นางต้องชดใช้ให้หมด 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นบิดหูของเขา “ท่านกล้ารึ” ทั้งๆ ที่พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แต่ลำคอที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ทำให้เสียงที่พูดออกมาแหบเหมือนเสียงเป็ด ฟังแล้วดูเหมือนเป็นเสียงหญิงชราแสร้างทำเป็นอ้อน จะร้องไห้ก็ใช่ที่ จะไม่ร้องไห้เสียเลยก็ไม่ได้ 

 

 

“ท่านกล้ารึ” เพียงพูดออกไป ความรู้สึกของความพ่ายแพ้ช่างชัดเจนยิ่งนัก เหยียบจมูกขึ้นหน้ากันถึงเพียงนี้เชียวรึ หูที่ถูกนางบิดเมื่อครู่ร้อนระอุราวกับมีสะเก็ดไฟกระเด็นใส่ เพื่อระงับความวุ่นวายภายในใจ จึงทำได้เพียงตำหนิเสียงแผ่วว่า “ทำหน้าตาให้เป็นแบบนี้ไม่พอ เสียงยังแหบแบบนี้อีก” 

 

 

นางเหยียดปลายเท้าให้ตรงและเตะเข้าด้านหลังเบาๆ สองที 

 

 

การเกี้ยวพาราสีไม่ต้องคำนึงถึงโอกาส 

 

 

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แต่แล้วก็อดใจไม่ไหว จึงเลื่อนฝ่ามือลงไปและจับที่เท้าของนางไว้ จากนั้นเขาก็หน้าแดงและเอาออกไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

พวกเขาหลุดพ้นจากจุดไฟไหม้ และมาถึงทางออกที่ราบเชิงเขาซีเป่ยอย่างรวดเร็ว 

 

 

“นอกจากทางขึ้นเขาด้านหน้าที่กว้างพอสะดวกเดินแล้ว ทางลงเขาอื่นๆ ค่อนข้างลื่นและแคบ ทุกคนระวังกันหน่อยนะ” เสียงของหลี่ว์ปาดังขึ้นจากด้านหลัง 

 

 

ซือเหยาอันรู้สึกถึงความผิดปกติทันที่เข้าใกล้ปากทางลงเขา เหมือนมีแสงไฟอยู่ตรงนั้น แต่ไม่ใช่แสงจากไฟ เป็นแสงจากคบเพลิง 

 

 

มีเงาของคนกลุ่มหนึ่ง คล้ายว่าหาทางออกไม่เจอ เมื่อเห็นมีคนเดินเข้าใกล้ ความวุ่นวายก็เริ่มเกิดขึ้น 

 

 

“ท่านอ๋องสาม!” เสียงของซือเหยาอันดังขึ้นจากด้านหน้าที่ห่างออกไปสองฟุต เป็นเสียงเรียกที่คล้ายว่าเตือนให้ระวัง 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหยุดก้าวเท้า และเขาเห็นสถานการณ์ด้านหน้านั้นแล้ว 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงผ้าคลุมหัวออก คนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดียืนอยู่ในกลุ่มนั้น สายตาที่พร้อมล่าเหยื่อคู่นั้นยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน รอยแผลเป็นบนหน้า สะดุดตาและน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ 

 

 

ซานอิง 

 

 

ข้างกายตรงนั้นคือกุนซือหัวหมาเหล่าเถียน ใบหน้าดูเหี้ยมโหดยิ่งกว่าซานอิงอีก พอเห็นฉินอ๋องและทหารเดินมา ดวงตาก็เปล่งประกายในทันที คล้ายว่าเดาบางอย่างได้ถูก เขาพูดด้วยเสียงเบาว่า “ท่านอิง ข้าบอกแล้ว ฉินอ๋องขึ้นไปเจรจากับท่านด้วยตัวเองต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ ข้าเดาไม่ผิดเลยเห็นไหม” 

 

 

เหล่าเถียนเป็นคนคิดมาก อายุยิ่งมาก ความสงสัยก็ยิ่งมาก เห็นฉินอ๋องเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน อีกทั้งยังขึ้นมาเจรจาถึงบนเขา มันน่าสงสัยตั้งแต่ทีแรกแล้ว แล้วเมื่อครู่นี้ฉินอ๋องยังปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ อีก ความสงสัยก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก 

 

 

พอมาถึงทางออก ซานอิงทำการสำรวจจากบนที่สูง เห็นเหล่าทหารที่ราบตรงนั้นอยู่กันอย่างแน่นหนา มีแสงไฟกระจัดกระจายอยู่ทั่วทิศ กองทหารหละหลวม บุกทะลวงง่ายมากตามที่ฉินอ๋องกล่าวไว้ไม่เป็นความจริง 

 

 

เหล่าเถียนจึงกล่าวสิ่งที่ตนสงสัยอยู่ภายในใจออกไป เขาคิดว่าฉินอ๋องต้องมีจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ 

 

 

พอซานอิงได้ยินดังนั้น เขาไม่ได้ลงเขาทันที ไฟและทุ่นระเบิดระเบิดจนปิดทางด้านหน้าไว้หมดแล้ว หากฉินอ๋องต้องการลงจากเขา ก็ต้องเดินผ่านทางนี้แน่นอน เขาจึงเลือกปิดทางเอาไว้ ใช้วิธีเฝ้าตอรอกระต่าย