Chapter 12 มหาวิทยาลัย

 

เมื่อไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปเสี่ยวหลัวก็เซ็นสัญญากับชูหยุนเชียงไม่ต้องพูดถึงว่าข้อตกลงนี้มีค่าตอบแทนสองล้านที่สําคัญกว่านั้นเขาได้รับความแข็งแกร่งของราชาทหารรับจ้างจากระบบและนั่นมันน่าจะเพียงพอสําหรับปกป้องความปลอดภัยของเธอ

 

และตอนนี้ตัวเขาต้องการเงินมาก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อครอบครัวของเขาหรือเพื่อการพัฒนาอาชีพในอนาคตของเขาเงินชุดแรกนี้เป็นสิ่งจําเป็น

 

หลังจากเซ็นสัญญาก็จะมีการจ่ายเงินหนึ่งล้านทันที นี่เป็นเพียงครึ่งแรก ยอดที่เหลือจะไม่ถูกชาระจนกว่างานปกป้อง ชูเยว่ จะเสร็จสิ้น

 

เสี่ยวหลัวไม่รู้สึกได้ใจหรือลืมตัวเอง เพียงเพราะเขามีหนึ่งล้านหยวน เขาไปที่ธนาคารโอนเงินทั้งหมดไปยังบัญชีพ่อของเขาและโทรไปหาพ่อ: “พ่อผมโอนเงินไปยังบัญชีของพ่อถ้าพ่อมีเวลาลองไปตรวจสอบดู”

 

ปลายอีกด้านของโทรศัพท์งนงงเล็กน้อยแล้วเสียงของแม่ก็ดังขึ้น

 

“ลูกชายพ่อของแกไม่ว่าง และตอนนี้โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้อยู่กับเขาเมื่อกี้ลูกบอกว่าลูกส่งเงินมาแล้วมัน เป็นเงินเท่าไหร่”

 

เสี่ยวหลัวนั้นไม่ได้แปลกใจอะไร ฟาร์มมันมีขนาดใหญ่มากแต่ถึงอย่างนั้นพ่อของเขาก็ต้องดูแลทุกอย่าง พ่อของเขายุ่งมากเป็นไปตามปกติเขายิ้มและพูดว่า”หนึ่งล้าน แม่เมื่อพ่อมีเวลาลองไปตรวจสอบกับสหภาพเครดิตด”

 

“หนึ่งล้านเหรอลูกชายทําไมแกถึงมีเงินมากขนาดนั้น…แกคงไม่ได้ไปปล้นธนาคารมาใช่ไหม?” แม่ของเข อุทาน

 

เสียวหลัวพูดไม่ออก: “ไม่ผมไม่ได้ปล้นธนาคาร แต่ผมถูกลอตเตอรี”

 

“ลอตเตอรี่มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่?” แม่ของเขายิ้มแย้มแจ่มใส

 

“เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาผมเพิ่งได้รับเงินรางวัลในวันนี้อย่างไรก็ตามแม่ต้องไม่ไปป่าวประกาศให้ใครรู้นะมันเป็นเรื่องง่ายที่จะกระตุ้นความอิจฉาของคนอื่น”

 

“แม่รู้แม่ของแกไม่ได้โง่นะ” ระหว่างคําพูดของแม่ของเขามีความตื่นเต้นและความสุขที่อธิบายไม่ได้อยู่

 

“ใครโทรมา เสี่ยวน้อยงั้นเหรอ” เสียงของชายผู้มั่นคงดังมาจากปลายอีกด้านของโทรศัพท์

 

เสี่ยวหลัวจ่าได้ทันทีว่านี้ เป็นเสียงของพ่อของเขาที่ควรจะยุ่งอยู่กับการทําฟาร์ม

 

“มันคือลูกชายของเรา เขาได้รับเงินรางวัลจากลอตเตอรีและส่งกลับมาให้เราหนึ่งล้านหยวนคุณควรไปที่สหภาพเครดิตและตรวจสอบอย่าปล่อยให้สหภาพเครดิตกล็นเงินของเราไป”แม่ของเขาเรียกร้องทันที

 

“แม่มีความสุขอยู่ตรงนี้ไปก่อน เอาโทรศัพท์มาให้พ่อ พ่อจะคุยกับเสียวหลัว”

 

เมื่อโทรศัพท์มาถึงมือพ่อ เสียงของเขาดังกังวานว่า “แม่ของแกพูดความจริงงั้นเหรอเสียวหลัว? แกถูกลอตเตอร์จริงๆงั้นเหรอ”

 

“พ่อสามารถตรวจสอบบัญชีของพ่อได้ที่ธนาคาร” เสี่ยวหลัวหัวเราะ

 

“แม้จะได้เงินหนึ่งล้านมา แต่แกไม่ควรที่จะลําพองและละทิ้งงานของแก แกควรมุ่งมั่นในอาชีพของแกต่อไปเพื่อความก้าวหน้า”

 

“พ่อผมเห็นการทํางานหนักของพ่อแล้ว และผมก็รู้ว่าพ่อเป็นหนี้เงินกู้ยืมธนาคารกว่า 400,000 หยวนเงินนี้สามารถลดภาระของพ่อได้ ผมยังเด็กและอาชีพของผมยังมีเวลาอีกมาก”

 

“ลูกชายของคุณเป็นคนกตัญญ ทําไมคุณยังสอนเขาและไม่ยกย่องความมีน้ําใจของลูกชายของเราอีก” เสียงของแม่ของเขาดังก้องขึ้นในอากาศ

 

พ่อของเขาเปลี่ยนน้ําเสียงของเขา: “คุณเป็นผู้หญิงในครอบครัวอย่าสายตาสั้นและมองเพียงแค่อนาคตอันใกล์ถ้าคุณทําเงินได้หนึ่งล้านหยวนและคุณพึงพอใจ และลูกชายของคุณพึงพอใจต่อจํานวนเงินเพียงเท่านี้ความก้าวหน้าของเขาก็จะจบลง ผู้ชายนั้นไม่ควรที่จะพอใจพวกเขาควรจะเป็นคนโลภเหมือนกับพวกหมาป่าถ้าคุณทําเงินหนึ่งล้านหยวนคุณจะต้องหาเงินเพิ่มอีกสิบล้านหยวน ถ้าคุณทําเงินสิบล้านหยวน คุณจะต้องทําเงินเพิ่มอีกหนึ่งร้อยล้านหยวน คุณเข้าใจไหม “

 

“ดีคุณพูดถูก คุณเป็นคนเก่งฉันสายตาสั้นเอง” แม่ของเขาไม่ได้โต้เถียง

 

เสี่ยวหลัวค่อนข้างอายและเลิกคิ้ว “พ่อผมยังมีงานที่ต้องท่า ก่อนอื่นขอให้พ่อแม่สุขภาพแข็งแรงและฝากทักทายคุณปู่คุณย่าด้วย”

 

หลังจากพูดจบเขาก็รีบวางสายโทรศัพท์เขาไม่ต้องการฟังความจของพ่อ

 

เขาถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก ทุกครั้งที่เขาโทรหาที่บ้าน เขารู้สึกเหมือนมีมหันตภัยในความทรงจํา ของเขาพ่อของเขาดูเหมือนจะไม่เคยชมเขาด้วยวิธีที่เหมาะสมเลย ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเขาเข้าสู่ป.สองพ่อของเขาไม่เพียงแต่ไม่พูดอย่างอบอุ่น เขายังพูดอีกว่า: อย่าภูมิใจความสําเร็จนี้มันไม่ได้มีอะไรเลย

 

เช้าวันที่สองในตอนเช้าเสี่ยวหลัวแต่งตัวและทําตัวดังเช่นสุนัข โอไม่สิควรจะบอกว่าเขามีความกระปรี้กระเปร่ามากกว่า เขาเอากระเป๋าเดินทางและเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อไปมหาวิทยาลัยหัวเย่

 

เขาได้รับความไว้วางใจและเขายังได้รับค่าตอบแทนกว่า 2 ล้าน เขาใส่ใจงานนี้มาก

 

แน่นอน ชู หยุนเชียง ยังกล่าวอย่างชัดเจนว่านอกเหนือจากเขาแล้วยังมีบอดี้การ์ดมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาหลายคนแอบแอบซุ่มอยู่ในมหาวิทยาลัยและซ่อนตัวเพื่อปกป้องความปลอดภัยของชูเยว่อยู่การที่ให้ เขาไปอยู่ในนั้นเป็นเพียงการเพิ่มการรับประกันความปลอดภัยของชูเยว่เท่านั้น

 

เขาใช้เวลาครู่หนึ่งไปยังสภานีรถไฟและนั่งรถไฟใต้ดินกว่าสองชั่วโมงในที่สุดก็ใช้เวลาอีก 15 นาที่เพื่อนั่งแท็กซีก่อนที่จะถึงประตูของมหาวิทยาลัยหัวเข่ในที่สุด

 

ในฐานะที่เป็นวิทยาลัย 985 แค่ประตูทางเข้าเพียงลําพังมันก็ทําให้ผู้คนรู้สึกมีแรงกดดันอันน่าเกรงขามและทําให้ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองเล็กจ้อยแล้ว (985 มันคือโครงการพัฒนามหาลัยให้ขึ้นเป็นมหาลัยชั้นนํา)

 

เสียวหลัวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดโทรไปหมายเลขของ ชู หยุนเชียง

 

หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมแว่นสายตาสั้นอายุใกล้เคียงกับเขาเดินออกมาผู้หญิงคนนั้นสวมก ระโปรงชีฟองสีชมพูด้วยมีโบว์ที่น่ารักติดอยู่ที่เอวของเธอและชั้นของลูกไม้ที่ประดับประดาบนกระโปรงที่สวยงามและผมที่เป็นลอนยาวพาดอยู่บนไหล่ของเธอ

 

รูปร่างหน้าตาของเธอไม่ได้สวยงามเป็นพิเศษและมีกระอยู่บนใบหน้าของเธอนั่นเป็นปัจจัยหลักที่ทําให้คะแนนของเธอลดลง แต่ลักษณะใบหน้าของเธอก็มีสัดส่วนที่ดี

 

“เสี่ยวหลัว?” ผู้หญิงคนนั้นเดินเข้ามาหาเสียวหลัวและพูดชื่อของเขา

 

เสี่ยวหละวพยักหน้า: “ใช่ เสี่ยวหลัวคือผมเอง”

 

“ฉันชื่อ ฉิน หนานหยู เป็นที่ปรึกษาของเอกภาษาอังกฤษ” ผู้หญิงแนะนําตัวเองอย่างสง่างาม

 

“สวัสดีครูฉิน” เสี่ยวหลัวยิ้มอย่างสุภาพ

 

เธอเป็นผู้ให้คําปรึกษาไม่ใช่อาจารย์ที่แท้จริง แต่เป็นพี่เลี้ยงสําหรับนักศึกษา แต่เสี่ยวหลวก็เรียกเธอว่าเป็นครู ทันใดนั้นรอยยิ้มของ ฉิน หนานหยู นั้นก็สดใสและกระตือรือร้นอย่างมาก “ไปกันเถอะฉันจะพาคุณไปพบนักศึกษาในชั้นเรียนตอนนี้ชั้นเรียนกําลังจะจบลงในไม่ช้าและทุกคนก็อยู่ที่นั่น”

 

“ได้ครับ!” เสี่ยวหลัวพูด ด้วยรอยยิ้ม

 

เขาเดินตาม ฉัน หนานหยู ผ่านทางถนนสายหลักยาวผ่านทะเลสาบที่สร้างขึ้นที่สวยงามก่อนที่พวกเขาจะ มาถึงอาคารสอนเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นก็เป็นสัญญาณบอกว่าจบวิชาเรียน ในชั้นเรียนมีนักศึกษาที่เต็มไปด้วย พลังและความมีชีวิตชีวาออกมาจากห้องเรียนเป็นกลุ่มและทั่วทั้งอาคารเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุย

 

“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน เมื่อฉันเรียกคุณ คุณก็ค่อยเข้ามา!”

 

ฉิน หนานหยูบอกกับ เสียวหลัว จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในห้องเรียนตรงหน้าเขา

 

เธอปรบมือของเธอหลายครั้งเพื่อให้นักศึกษาเอกภาษาอังกฤษที่กําลังเตรียมที่จะออกไปนั่งลงอีกครั้ง: “พวกเธออย่าเพิ่งลุกออกไปฉันจะแนะนําเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่ของพวกเธอ”

 

“เพื่อนร่วมชั้นคนใหม่? ที่ปรึกษาคุณแน่ใจนะ นี่เป็นมหาวิทยาลัยนะไม่ใช่โรงเรียนมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย ที่จะมีนักศึกษามาเข้าเรียนกลางเทอม?”

 

“อันหวน เธอไม่เข้าใจสิ่งนี้หากหน่วยกิตของเทอมสุดท้ายนั้นไม่ถึงมาตรฐาน เขาก็จะต้องลงเรียนซ้ํา เขา ไม่ใช่แค่นักศึกษาที่เข้ามากลางเทอมเฉยๆ อย่างที่เธอพูด “

 

“ใช่ มีอีกกรณีหนึ่งนั่นก็คือการเปลี่ยนวิชาเอก!”

 

ฉิน หนานหยู ขัดจังหวะ: “อย่าคาดเดากันไปเองเลยให้เขาแนะนําตัวเองจะดีกว่า”

 

พูดจบเธอก็หันไปทางประตูห้องเละเรียกเสียวหลัวให้เข้ามา

 

เมื่อได้รับสัญญาณ เสี่ยวหลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและก้าวเข้ามา เขายืนบนแท่นและมองลงไปเสี่ยวหลัวก็ตะลึงทันที เพราะในตอนแรกที่เขามองออกไปพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้หญิงมีเฉพาะในมุมที่คลุมเครือที่สุดในแถวหลังเท่านั้นที่มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่

 

เขาเคยได้ยินมานานแล้วเกี่ยวกับกรณีเช่นนี้ในเอกภาษาอังกฤษ แต่นี่มันช่างโหดร้ายเกินไปมันมีผู้ชายเพียงแค่สองคนเท่านั้น