ตอนที่ 301 ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

รูปลักษณ์ภายนอกของบุรุษชุดดำนั้นดูเหมือนว่าผู้คนในใต้หล้านี้จะเทียบเขาไม่ได้เลย ทว่าเวลานี้เถ้าแก่ไม่มีอารมณ์ที่จะชื่นชมเขา กลับเกรงกลัวเขามากกว่า

ภายในชั่วพริบตาเดียว จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีออกมาจากที่นั่น

ไม่นานนักจิ่วเยี่ยก็พามู่เฉียนซีกลับมาในเมือง เป็นเวลาเดียวกับที่สัตว์วิญญาณที่อาละวาดอยู่สงบลง

ทางด้านของกลุ่มนักผจญภัย พวกเขาถอยกลับไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ส่วนกลุ่มของนักผจญภัยอิสระนั้น ยังไม่มีผู้ใดกลับมาแม้แต่คนเดียว

“เราจะไปตามหาเจ้าหนุ่มมู่ซีที่เทือกเขาชีชงหรือไม่ ?” หนึ่งในนั้นกล่าวถามขึ้น

ในเวลาเดียวกันทางด้านมู่เฉียนซี นางมองเหล่าพี่ใหญ่นักผจญภัยอิสระอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย

มู่เฉียนซีมองจิ่วเยี่ยที่กอดตนเองเอาไว้แน่น นางกล่าวขึ้นว่า “จิ่วเยี่ย ข้าต้องไปแจ้งข่าวกับพวกเขาก่อน ปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่ ?”

จิ่วเยี่ยพยักหน้า จากนั้นไม่นานนัก กลุ่มนักผจญภัยอิสระก็ได้เห็นมู่เฉียนซีปรากฏตัวขึ้นอย่างมิอาจคาดเดาได้

มู่เฉียนซียิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ข้าปลอดภัยดี พี่ใหญ่ทุกท่านกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ”

จากนั้นพวกเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าเห็นเงาร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหลังมู่เฉียนซี ทว่ากว่าจะทันได้มองชัด ๆ ร่างของมู่เฉียนซีก็อันตรธานไปอีกครั้ง

ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจอย่างเต็มที่ “บุรุษชุดดำผู้แผ่กลิ่นอายเย็นเยือกผู้นั้นเป็นใครกัน ? เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเช่นนั้น ?”

“เร็วดีแท้! ข้าดูแทบไม่ทัน เขาเคลื่อนไหวเร็วยิ่งนัก”

“เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกสัตว์ผู้แข็งแกร่งที่มู่ซีกล่าวถึง คงจะเป็นองครักษ์เงาของเจ้าหนุ่มมู่ซี  เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าหนุ่มมู่ซีปลอดภัยกลับมา เช่นนั้นเราก็กลับไปพักผ่อนกันเถอะ”

การจลาจลของสัตว์วิญญาณในครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็เหน็ดเหนื่อยและหมดเรี่ยวแรงไปอย่างมาก

จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีมาส่งที่ห้องพักในโรงเตี๊ยม  ทว่าเขาไม่มีท่าทีที่จะกลับไปแต่อย่างใด เขาโน้มกายมาใกล้ จากนั้นริมฝีปากเขาก็พุ่งเข้ามาประกบริมฝีปากนาง

“อื้ม!”

เขามักใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่ยอมให้ใครปฏิเสธเขาได้ง่าย ๆ จนทำให้มู่เฉียนซีต้องหาทางหนีทีไล่ ต่อต้านเขาราวกับฝนที่ตกกระหน่ำ

มู่เฉียนซีแทบร้องไห้ “จิ่วเยี่ย วันนี้ข้าเหนื่อยมาก เจ้ามาทวงหนี้วันอื่นได้หรือไม่ ?”

อาถิงบัดซบนั่นก็เหลือเกิน เมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาสักที หากตื่นขึ้นมาเร็วกว่านี้ก็สามารถช่วยให้จิ่วเยี่ยตามหาคนผู้นั้นเจอโดยไว และนางก็คงไม่ต้องมาปวดหัวเช่นนี้

“ซี… เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย” จิ่วเยี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาก่อนจะวางร่างนางลง

มู่เฉียนซีรู้สึกกล่าวอะไรไม่ออก ถึงแม้ว่าไม่ต้องทำอะไร มันก็เหนื่อยอยู่วันยังค่ำ เจ้าก้อนน้ำแข็งนี่ไม่เข้าใจรึ ?

การจลาจลของสัตว์วิญญาณสิ้นสุดลงแล้ว เมืองฉู่ได้รับการปกป้องเอาไว้อย่างปลอดภัย ชาวบ้านในเมืองฉู่เสมือนได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง

ทว่ามู่เฉียนซีในเวลานี้กลับต้องอยู่ในห้องที่มืดมิดโดยมีบุรุษรูปงามผู้เย็นยะเยือกอยู่ข้างกาย กักขังนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

ง่วง… นางง่วงจะตายอยู่แล้ว นางไม่สนว่าตอนนี้ตะวันจะโด่งฟ้าเพียงใด นางปล่อยกายใจให้หลับใหลไปแบบไม่รู้ตัว

เจ้าเมืองให้คนมาส่งจดหมายเชิญสำหรับงานเลี้ยงฉลอง ทว่าโดนเถ้าแก่ห้ามเอาไว้ก่อน

เถ้าแก่ “เจ้าหนุ่มยังพักผ่อนอยู่ เอาให้ข้าเถอะ ข้าจะให้เขาเอง”

เขาเป็นเพียงปรมาจารย์ภูต วานนี้เขาได้ช่วยปกป้องเมืองฉู่เอาไว้ อีกทั้งยังต่อสู้กับผู้ลึกลับที่บงการสัตว์ผู้นั้น เขาคงจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและเสียพลังไปมาก เวลานี้จึงยังไม่ตื่นขึ้นมา

แต่เถ้าแก่ไม่รู้เลยว่าตั้งแต่นางกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็ได้เผชิญหน้ากับเยี่ยอ๋อง บุรุษที่น่ากลัวกว่าผู้ใด จึงได้เหน็ดเหนื่อยและหมดแรงได้ถึงเพียงนี้!

เจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่จวน กลุ่มนักผจญภัยและเหล่าบรรดานักผจญภัยอิสระต่างก็ทยอยมายังจวนเจ้าเมือง ก่อนที่เจ้าเมืองจะกล่าวเปิดงาน เขาไม่เห็นเจ้าหนุ่มมู่ซี จึงกล่าวถามขึ้นว่า “มู่ซียังไม่มารึ ?”

เจ้าเมืองรู้ดีว่าถึงแม้เจ้าหนุ่มมู่ซีจะเป็นเพียงปรมาจารย์ภูต แต่การกระทำของเขานั้นใหญ่โต หรูหรา ทั้งยังฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมาก

หากไม่ใช่เป็นเพราะยาวิญญาณนั้นและการที่นางจัดการกับเหล่าสัตว์วิญญาณได้ภายในชั่วพริบตา ป่านนี้เมืองฉู่อาจจะถูกทำลายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็เป็นได้

ถึงแม้ว่าเจ้าเมืองจะเคยเห็นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ทราบว่ามู่ซีเป็นใครมาจากที่แห่งใด เพราะต่อให้เป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นเยียนก็ไม่มีทางกล้าทำเรื่องเช่นนี้แน่

เมื่อได้ยินเจ้าเมืองถามถึงมู่ซี หลางเทียนรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที “ท่านเจ้าเมือง เด็กนั่นก็เป็นแค่ปรมาจารย์ภูตกระจอก ๆ คนหนึ่ง ไม่มาก็ช่างเขาปะไร ท่านเจ้าเมืองจะให้พวกเราหลายคนรอเขาคนเดียวเช่นนั้นรึ ?”

ฮุยหลางรีบกล่าวสำทับ “ใช่! เขาเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอให้กล่าวถึงเสียด้วยซ้ำ”

เวลานี้นักผจญภัยอิสระต่างก็พากันโกรธกรุ่น “หากพวกเจ้าไม่อยากรอก็ไสหัวออกไปซะ ถึงอย่างไรพวกข้าก็จะรอเขา”

“งานเลี้ยงนี้ท่านเจ้าเมืองเป็นคนจัดขึ้น มิใช่พวกเจ้าเป็นคนจัด เจ้าเป็นเพียงแขกกลับเจ้ากี้เจ้าการเสียเอง ท่านเจ้าเมือง คนพวกนี้ทำเรื่องมิควร ต้องไล่ออกไปนะขอรับ” หลางเทียนกล่าวยุ

เพียงเวลาไม่นาน ทั้งสองฝั่งก็กลายเป็นน้ำกับไฟที่ไม่ลงรอยกัน

ในที่สุดมู่เฉียนซีก็ตื่นขึ้นมา เมื่อนางมองดูท้องฟ้าด้านนอกก็พบว่าท้องฟ้าได้มืดลงแล้ว

เมื่อเถ้าแก่เห็นว่ามู่เฉียนซีออกมาจากห้อง เขาบอกกับนางว่า “เจ้าหนุ่ม นี่เป็นจดหมายเชิญที่ท่านเจ้าเมืองส่งมาให้เจ้า”

มู่เฉียนซีเปิดดูจดหมายและพึมพำกับตัวเอง “คืนนี้ โอ้! ข้าสายแล้ว…”

เถ้าแก่ “ถึงจะสายแต่ก็ต้องไปจวนเจ้าเมือง ถึงอย่างไรเรื่องของบุรุษชุดดำเป่าขลุ่ยผู้นั้นก็ต้องไปถามเบาะแสจากเจ้าเมืองสักหน่อยก็ดี ถามดูว่าเมืองฉู่ได้ไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือไม่ จึงทำให้คนผู้นั้นควบคุมสัตว์วิญญาณมาโจมตีเมืองฉู่เช่นนี้ได้”

มู่เฉียนซีพยักหน้า “อืม ข้าจะลองไปถามท่านเจ้าเมืองดู”

มู่เฉียนซีไม่คิดเลยว่าเมื่อมาถึงห้องโถงของงานเลี้ยง บรรยากาศจะตึงเครียดเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะมีท่านเจ้าเมืองอยู่ มีหวังทั้งสองฝ่ายคงจะเริ่มลงมือต่อสู้กันแล้ว

มู่เฉียนซี “เกิดอะไรขึ้นรึ ?”

เมื่อเสียงที่คุ้นเคยนี้ดังขึ้น สายตาของทุกคนก็หันมอง เห็นร่างของหนุ่มน้อยนัยน์ตาเขียวที่ดูงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสตรี พวกเขาต่างก็ผงะไปครู่หนึ่ง

ท่านเจ้าเมืองแสร้งทำเป็นโกรธ “มู่ซี เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกรึว่าเกิดอะไรขึ้น ? เป็นเพราะเจ้ามาช้า ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันจนจะต่อสู้กันอยู่แล้ว”

“ขอโทษด้วย ข้ามาช้าเสียแล้ว”

จางอี้และพรรคพวกยิ้ม “ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนู เจ้ามาก็ดีแล้ว มา ๆ ๆ รีบมานั่งเร็วเข้าเร็ว”

ทางด้านนักผจญภัยอิสระต้อนรับมู่เฉียนซีด้วยความอบอุ่น เพียงแต่… การต้อนรับอย่างอบอุ่นนี้ทำให้มู่เฉียนซีทำตัวไม่ถูก

“เจ้าหนู มา… ข้าดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก”

“ข้าก็ดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก”

แต่เมื่อความกระตือรือร้นของพวกเขายิ่งสูงขึ้น ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลังขึ้นมา ต่อมามู่เฉียนซีก็ได้ยินเสียงที่เย็นชานั้นของจิ่วเยี่ย “หากจะดื่มเหล้า ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเอง…”

ความเย็นวาบนั้นราวกับจะทำให้บรรยากาศรอบ ๆ กลายเป็นน้ำแข็งก็มิปาน

มู่เฉียนซีรีบกล่าวกับเหล่าพี่ใหญ่นักผจญภัยอิสระ “ข้าดื่มได้ไม่มากนัก ดื่มได้พอเป็นพิธีเท่านั้น”

มู่เฉียนซีจิบเหล้า จากนั้นกล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าขอตัวไปคุยกับท่านเจ้าเมืองสักครู่ พวกท่านสนทนาพาทีกันไปก่อนเถิด”

“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำให้เจ้าหนุ่มมู่ซีตกใจแล้ว”

“เจ้าหนุ่มนั่นดูเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก พวกเจ้าเล่นพิเรนท์อะไรจึงไปให้เขาดื่มมากเช่นนั้น เห็นหรือไม่ว่าเขาตกใจจนหนีไปแล้ว”

“เฮ้อ…”

เมื่อท่านเจ้าเมืองเห็นว่ามู่ซีมีเรื่องจะสนทนาด้วย ทั้งสองก็เข้าไปคุยกันในห้องตำรา

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า… “ท่านเจ้าเมือง เมืองฉู่เคยมีเรื่องผิดใจอันใดกับใครหรือไม่ ? การที่สัตว์วิญญาณมาอาละวาดที่เมืองฉู่ในครานี้ ไม่ได้มาจากตัวสัตว์วิญญาณเอง แต่เป็นเพราะมีคนอยู่เบื้องหลัง เขาควบคุมสัตว์วิญญาณเหล่านี้ให้มาโจมตีเมืองฉู่”

ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองซีดเผือดในทันใด เขาตระหนกตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน “เจ้าว่าอย่างไรนะ ?! มีคนควบคุมสัตว์วิญญาณอย่างนั้นรึ ?”

หลังจากที่เจ้าหนุ่มมู่ซีได้เข้าไปในเทือกเขาชีชงไม่นาน สัตว์วิญญาณที่ออกมาก่อความวุ่นวายนั้นก็ได้ถอยทัพกลับเข้าไปในป่าอย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก ท่านเจ้าเมืองคิดว่าการที่สัตว์วิญญาณเหล่านี้ถอยทัพออกไปต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหนุ่มมู่ซีเป็นแน่แท้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะลึกลับซับซ้อนไปกว่านั้น

.