ตอนที่ 302 ดื่มเป็นเพื่อนเจ้า

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซี “ข้าพบชายชุดดำในเทือกเขาชีชง เขาใช้เสียงขลุ่ยควบคุมให้สัตว์วิญญาณและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อาละวาดและก่อจลาจล แต่ข้าแค่เพียงทำลายขลุ่ยของเขาทิ้ง เขาก็หนีเตลิดไปเสียแล้ว”

a

ท่านเจ้าเมืองกล่าวขึ้น “หือ ? ในทวีปเซี่ยโจวยังมีผู้ที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้อยู่อีกรึ ? เมืองฉู่ของเราเป็นเมืองด่านป้อมปราการ เมืองของเรานั้นล่วงเกินผู้อื่นน้อยมาก”

สายตาของมู่เฉียนซีส่องประกาย “เมืองหน้าด่านรึ ?  อาจจะมีคนที่อยากจะใช้เมืองหน้าด่านนี้ไปทำอะไรสักอย่างก็เป็นได้ จากนี้ไปท่านเจ้าเมืองจะต้องระวังเสียหน่อยแล้ว ข้าขอเสนอว่าประกาศหาเหล่ายอดฝีมือมาเข้าร่วมเถอะ  ป่าวประกาศไปถึงทุกสำนักในภาคตะวันตก หากพวกเขาไม่เชื่อ ขลุ่ยหยกของชายชุดดำผู้นั้นสามารถเป็นหลักฐานได้”

มู่เฉียนซีได้มอบขลุ่ยหยกที่หักเป็นสองท่อนให้แก่เจ้าเมืองไป อย่างไรเสียนางก็ไม่สามารถอยู่ที่เมืองฉู่เรื่อยไปได้ การป้องกันเมืองฉู่นั้น ควรที่จะต้องให้พวกเขาจัดการกันเอง

“ถ้าหากเป้าหมายของใครบางคนคือเมืองหน้าด่านนี้ละก็ ความทะเยอทะยานของเขาคงจะครอบคลุมไปทั้งทวีปเซี่ยโจว และสำนักใหญ่ต่าง ๆ เองก็คงมิอาจนิ่งเฉยอยู่ได้” เจ้าเมืองพยักหน้าก่อนจะกล่าวว่า “มู่ซี ข้าขอบคุณเจ้ามากที่ชี้แนะ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร มีพลังอำนาจใด  ข้าจะต้องรักษาเมืองนี้เอาไว้ให้ดีแน่นอน”

เจ้าเมืองและมู่เฉียนซีออกจากห้องตำราไป ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาสนทนากันในเรื่องใด

ท่านเจ้าเมืองยิ้ม กล่าวว่า “ต้องขอบคุณความพยายามของทุกท่านในการต่อสู้ งานล่าสัตว์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก  สำหรับความชอบ คุณงามความดีในครั้งนี้นั้น ข้าขอมอบให้นักผจญภัยอิสระ นับว่าทำได้ดีมาก”

ท่านเจ้าเมืองชื่นชมเหล่านักผจญภัยอิสระเป็นอย่างมาก ทว่าในทางตรงกันข้าม นี่นับว่าเป็นการดูถูกกลุ่มหลางเทียน

ท่านเจ้าเมืองกล่าวขึ้น “การล่าสัตว์วิญญาณในครั้งนี้ผู้ที่ล่าได้มากที่สุดคือ จางอี้ หวางเทียน หลัวอวิ๋น…”

“คงไม่มีใครคัดค้านกระมัง ?”

ทว่าท้ายที่สุด เมื่อถึงตอนที่จะมอบรางวัล   จางอี้ หวางเทียน และหลัวอวิ๋น ทั้งสามคนกล่าวขึ้นในทันใด “พวกเราคัดค้าน!”

ท่านเจ้าเมืองชะงักงัน “พวกเจ้าคัดค้านหรือ ?”

จางอี้ “งานล่าสัตว์ในครั้งนี้ แม้ว่าเจ้าหนุ่มมู่จะไม่ได้เป็นผู้ที่ล่าสัตว์วิญญาณได้มากที่สุด แต่บทบาทของเขากลับใหญ่กว่าพวกเราทุกคน  มู่ซีเหมาะสมที่จะเป็นอันดับหนึ่ง”

“หากมิใช่เพราะเจ้าหนุ่มมู่ซี พวกเราคงจะถูกสัตว์วิญญาณฆ่าไปแล้ว เช่นนั้นแล้วรางวัลของข้า ข้าอยากจะยกให้เจ้าหนุ่มมู่ซีผู้นี้” หวางเทียนกล่าวขึ้นโดยที่หลัวอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย

หลางเทียนและหลางฮุยกล่าวเสียงต่ำ “เหอะ! ช่างเป็นพวกที่เสแสร้งเสียจริง”

ในเวลาเพียงไม่นาน ‘มู่ซี’ ได้รับการยอมรับจากเหล่านักผจญภัยอิสระ

ท่านเจ้าเมืองยิ้ม เขากล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้านั้นมีน้ำใจ แต่ทว่าในงานล่าสัตว์ครั้งนี้มู่ซีได้ทำคุณงามความดีครั้งใหญ่เอาไว้ ข้ามีรางวัลพิเศษจะมอบให้แก่เขา ฉะนั้นแล้วพวกเจ้าจงรับรางวัลที่เป็นของพวกเจ้าไปเถิด”

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับชายชุดดำผู้ที่เป่าขลุ่ยครอบงำเหล่าสัตว์วิญญาณนั้น เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความวิตกแก่ชาวเมืองฉู่ และไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้าเมืองจึงได้เก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ก่อน

ทางนักผจญภัยอิสระนั้นมีรางวัล ส่วนทางนักผจญภัยกลุ่มย่อยเองก็มีสามรางวัล แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็น้อยกว่าของนักผจญภัยอิสระอยู่ไม่น้อยเลย

พวกเขาไม่เต็มใจทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ ใครใช้ให้ความดีความชอบของพวกเขาน้อยกว่านักผจญภัยอิสระเอามากเช่นนั้นเล่า

หลังจากจบงานเลี้ยง เจ้าเมืองเชิญให้มู่เฉียนซีไปรออยู่ที่ห้องตำราสักครู่  จากนั้นเขาเข้าไปในคลังสมบัติของเมืองฉู่  เขารู้ว่ามู่ซีกระทำการอย่างใจกว้าง ของมีค่าประเภทยาวิเศษจำพวกนั้นเจ้าหนุ่มมู่ซีไม่ได้สนใจเลย  เช่นนั้นแล้วของรางวัลสำหรับเขาต้องเป็นของสักอย่างที่เป็นประโยชน์กับเขาจริง ๆ

ท่านเจ้าเมืองหยิบกล่องเก่าแก่ขึ้นมาใบหนึ่ง จากนั้นเดินตรงไปที่ห้องตำรา มอบกล่องให้แก่มู่เฉียนซี

“ข้าครุ่นคิดแล้ว แต่ก็ยังหาของที่จะมีประโยชน์ให้แก่เจ้าไม่ได้ ท้ายที่สุดจึงนึกถึงสิ่งนี้ขึ้นมา หวังว่าเจ้าคงจะชอบมัน”

มู่เฉียนซีเปิดกล่อง ภายในนั้นมีแผนที่เก่าเก็บจนเป็นสีเหลืองอยู่แผ่นหนึ่ง แผนที่นี้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่นางกลับดูออกว่าสิ่งที่วาดอยู่บนนั้นคือเทือกเขาชีชง

เจ้าเมือง “นี่เป็นสิ่งที่นักผจญภัยผู้หนึ่งได้มาจากเทือกเขาชีชง ข้ารู้สึกได้ว่าแผนที่นี้ไม่ธรรมดาจึงซื้อเก็บเอาไว้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งได้ทิ้งร่องรอยของเทือกเขาชีชงเอาไว้บนแผนที่ ผู้ที่มีโชคอาจจะได้รับสิ่งล้ำค่าจำนวนไม่น้อยจากมัน…

มู่ซี ข้านึกขึ้นได้ว่าเจ้าต้องการที่จะไปฝึกฝนที่เทือกเขาชีชง ถ้าหากว่าเจ้าโชคดี ไม่แน่อาจจะได้พบร่องรอยที่ทิ้งไว้บนนั้น”

มู่เฉียนซีกล่าวถามขึ้น “ท่านเจ้าเมือง ท่านรู้หรือไม่ว่านั่นเป็นร่องรอยของผู้ใดที่ทิ้งเอาไว้ ?”

เจ้าเมืองส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ถ้าหากเจ้าคิดว่านั่นเป็นเพียงแผนที่ที่ทรุดโทรมละก็ เจ้าสามารถเข้าไปที่คลังสมบัติของเมืองแล้วเลือกเอารางวัลชิ้นอื่นได้ ข้าให้สิทธิ์เจ้าสามารถเลือกของได้ชิ้นหนึ่งจากในนั้น”

มู่เฉียนซีนำแผนที่วางกลับเข้าไปในกล่อง นางกล่าวขึ้นว่า “ข้าเชื่อในสายตาของท่านเจ้าเมือง วันนี้ข้าได้แผนที่นี้มา ถือว่าข้ามีจุดมุ่งหมายเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ส่วนจะหามันเจอหรือไม่นั้น ก็ต้องดูกันที่โชคของข้าแล้ว”

เจ้าเมืองยิ้ม กล่าวว่า “ขอให้เจ้าโชคดี”

มู่เฉียนซี “ขอบคุณท่านเจ้าเมือง”

มู่เฉียนซีเพิ่งจะออกมาจากห้องตำราของจวนเจ้าเมือง ก็ได้ถูกจิ่วเยี่ยพาตัวไปอีกครา!

ค่ำคืนนี้พระจันทร์แห่งเมืองฉู่ช่างดูว่างเปล่าเสียนี่กระไร

“นี่มิใช่ทางกลับไปโรงเตี๊ยม เจ้าจะพาข้าไปที่ใดรึจิ่วเยี่ย ?” มู่เฉียนซีขมวดคิ้วถามขึ้น

จิ่วเยี่ย  “ไปกำแพงเมือง”

กลิ่นคาวโลหิตที่ติดอยู่บนกำแพงเมืองจางลงไปแล้วไม่น้อย แสงจันทร์สาดประกายสีเงินส่องลงบนกำแพงเมือง ช่างดูราวกับมังกรสีเงินที่นอนเกียจคร้านอยู่บนขอบของเทือกเขาชีชง

จิ่วเยี่ยโบกมือ จากนั้นเหล้าหลายไหปรากฏขึ้นมา “ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้า”

มู่เฉียนซีชะงักงัน “นั่น… ช่างมันเถอะ ข้ากลับก่อนแล้วกัน”

นางนั้นยังไม่ลืมคราก่อนที่นางดื่มจนเมาแล้วได้ทำอะไรลงไปบ้าง มาวันนี้หากดื่มจนเมาอีกครา เกรงว่านางคง…

“อย่าไป เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า ห้ามปฏิเสธข้า!” จิ่วเยี่ยกล่าวอย่างเผด็จการ

มู่เฉียนซีไร้ซึ่งทางเลือก นางกล่าวอย่างจำใจ “ได้ เช่นนั้นข้าเสี่ยงชีวิตอยู่เป็นเพื่อนเจ้าก็ได้”

“แต่ขอเวลาข้าสักหน่อย” หลังจากกล่าวไปเช่นนี้ มู่เฉียนซีนางวิ่งไปหลบที่มุมหนึ่ง พร้อมจัดยาชุดเล็กให้ตนเองหนึ่งขวด

ครานี้นางจะไม่ยอมปล่อยให้ตนเองเมาไร้สติอย่างแน่นอน ถ้าหากว่านางไปทำเช่นนั้นกับเยี่ยอ๋องอีกครา ชีวิตนางคงจะต้อง…

นางคงจะต้องชดใช้ให้เขาไปทั้งชีวิตถึงจะหมดสิ้นต่อกัน! มู่เฉียนซีกระโดดขึ้นไปบนกำแพงแล้วกวักมือเรียกจิ่วเยี่ยอย่างโอหัง

“จิ่วเยี่ย ๆ มาเถอะ เจ้าเอาเหล้ามาเลย วันนี้ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนเจ้าเอง เจ้ากับข้าจงเมาให้เต็มที่ ฮ่า ๆ ๆ”

จิ่วเยี่ยยิ้มมุมปาก เขายกมือขึ้น ทันใดนั้นไหเหล้าก็ได้ลอยลื่นไปกลางอากาศ ลอยไปทางมือของมู่เฉียนซี

มู่เฉียนซีเปิดฝาดินที่ปากไหออกแล้วเทยาลงไปในนั้น

ด้วยยาป้องกันอาการมึนเมาชนิดพิเศษของนาง เหล้านี้วางใจได้เลย เมื่อดื่มเข้าไป มันจะเหมือนเช่นดื่มน้ำเปล่า

นางไม่กลัวเมา!

ทว่าเมื่อตอนที่นางลอบใส่ยานั้นลงไป นางไม่ได้สังเกตเลยว่ายาถูกทำให้แยกตัวออก จากนั้นมันก็ได้หายไป

ความแข็งแกร่งของทั้งสองแตกต่างกันอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้กันเพียงนี้  การที่จิ่วเยี่ยลอบทำลายยาของนาง นางก็ยังไม่อาจรู้ตัว

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้นอย่างมั่นใจเต็มที่ “จิ่วเยี่ยมาดื่มเถอะ  เอ้า! แด่การที่เจ้ากับข้าจะเข้าไปฝึกที่เทือกเขาชีชง  มา ชนกันสักจอกมา!”

เงาร่างสีดำขยับอย่างฉับไว จิ่วเยี่ยมาอยู่ข้างกายของมู่เฉียนซีก่อนจะกล่าวเสียงพึงพอใจ “ชน”

— กึก! —

ลำคอเรียวระหงราวกับคอห่านขยับเล็กน้อยรับกับจังหวะกลืนเหล้า  มู่เฉียนซีสะบัดมือ นางกระดกดื่มเข้าไปอีกครั้งด้วยท่วงท่าเป็นธรรมชาติ

การเคลื่อนไหวของจิ่วเยี่ยเองก็ดูสง่างามไม่น้อยหน้า  เมื่อเขามองไปยังด้านข้างใบหน้าของสตรีตรงหน้าเขา ดวงตาสีฟ้าที่ดูเยือกเย็น  นานเข้าก็มองนางอย่างลึกซึ้ง

.