ตอนที่ 303 ดื่มจนเมาอีกครั้ง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีดื่มอย่างมีความสุข แต่หลังจากดื่มเสร็จ นางก็รู้สึกว่าในหัวของนางนั้นว่างเปล่า

เกิดอะไรขึ้น ? ยาที่จะต้องได้ผลดีกลับไม่ได้ผลเสียแล้วรึ ?

แย่แล้ว!

เมื่อเห็นมู่เฉียนซีจะกระโดดลงจากกำแพงเมืองไปอย่างโซซัดโซเซ จิ่วเยี่ยรีบช้อนร่างนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดและพานางลงไปด้านล่าง

ดวงตาดำที่ดูสดใสเปลี่ยนสีไป ทันใดนั้นมู่เฉียนซีใช้แรงผลักจิ่วเยี่ยออก เพียงผลักจิ่วเยี่ยออกไปนั้นยังไม่พอ มู่เฉียนซียังดันร่างเขาจนแผ่นหลังของเขาไปชนชิดติดอยู่กับกำแพงเมือง

เวลานี้ในหัวของมู่เฉียนซีนั้นปลดปล่อยทุกสิ่งออกมา นางยื่นมือออกมาบีบสองข้างแก้มของจิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “จิ่วเยี่ย เจ้าช่างบัดซบยิ่งนัก เจ้าชอบทำหน้าตาเย็นชาและจริงจัง เจ้าทำอะไรให้มันดี ๆ สักหน่อยไม่ได้เลยรึ ? ดีแต่แกล้งดีแต่รังแกข้า”

“เจ้าคิดจริงรึว่าข้านั้นรังแกได้ง่าย ข้าสามารถจดจำเรื่องความแค้นได้ดีอย่างยิ่ง รอข้าฝึกฝนจนแข็งแกร่งกว่าเจ้าได้ก่อนเถอะ ข้าจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกกลับมาให้หมดเป็นแน่”

จิ่วเยี่ยนั้นไม่ใช่ผู้ที่ขาดทุน และยังชอบที่จะเพิ่มจำนวนหนี้ที่ต้องชดใช้อย่างมากมายหลายเท่า

เพียงแต่ว่าตอนนี้จิ่วเยี่ยนั้นแข็งแกร่งกว่านางมาก นางไม่สามารถที่จะต่อกรด้วยได้ แต่การล้างแค้นแม้ผ่านไปสิบปีก็ยังไม่สาย

จิ่วเยี่ยมองสตรีผู้ดุดันที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นมู่เฉียนซีก็เข้ามาโอบเขาไว้ นางทั้งกัดทั้งขบริมฝีปากบาง ๆ นั้น…

— แควก! —

มู่เฉียนซีฉีกเสื้อผ้าของจิ่วเยี่ยขาดออกอย่างรุนแรง

ที่ตรงกำแพงเมืองมีแสงจันทร์สาดส่องลงมา มู่เฉียนซีพัวพันอยู่อย่างไม่ลดละ และจิ่วเยี่ยเองก็ใจเย็นกับสตรีที่เมามายผู้นี้เป็นพิเศษ

เมื่อ ‘การพัวพัน’ ทวีความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทหารยามจึงรู้สึกถึงการเคลื่นไหวที่ด้านบนกำแพง เขาเดินขึ้นมากล่าวว่า “ใครอยู่ตรงนั้น ?”

ทว่าทันใดนั้น ทหารยามได้มองเห็นดวงตาที่น่ากลัวประหนึ่งสามารถเผาผลาญดวงวิญญาณของมนุษย์ได้ของจิ่วเยี่ย แต่จากนั้นมู่เฉียนซีก็หันหน้ามา นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่ามารบกวนความสุขของข้า แล้วก็อย่าได้มาจ้องมองข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าจะใช้พิษทำให้เจ้าตาบอดไม่รู้ตัว!”

มู่เฉียนซีบดบังประกายจากร่างของจิ่วเยี่ยเอาไว้ไม่ให้สาดส่องออกไป

“คุณชาย… คุณชายมู่ซี…” ทหารยามผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตนเอง

เขารีบถอยออกไปจากตรงนั้น บรรยากาศกดดันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ผู้ใดเล่าที่จะกล้าไปขัดจังหวะ ตอนนี้คุณชายมู่นั้นเป็นคนมีชื่อแห่งเมืองฉู่ หากว่าพวกนักผจญภัยอิสระบางคนรู้เข้าว่าเขาไปกวนใจคุณชายมู่  คุณชายมู่จะต้องทำให้เขาอยู่อย่างยากลำบากเป็นแน่

นิ้วมือที่เรียวยาวลื่นไหลลงมาตามใบหน้าของจิ่วเยี่ย มู่เฉียนซียิ้มร้ายก่อนจะกล่าวว่า “เราต่อกันเถอะ อืม…”

หางเสียงสุดท้ายของประโยคนั้นที่ลากยาว ช่างแฝงไปด้วยความมีเสน่ห์อย่างหาที่สุดมิได้ ทำให้ดวงตาที่เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งทั้งคู่ของจิ่วเยี่ยมีประกายไฟลุกโชนขึ้น

ทว่ามู่เฉียนซีนางเมามาก เผลอหลับใหลไปจนได้

เงาร่างสีดำกอดหญิงสาวที่หลับสนิทเอาไว้อย่างแนบแน่น

ในตอนนี้เอง จิ่วเยี่ยรู้สึกอยากจะโยนสตรีสมควรตายที่อยู่ในอ้อมแขนเขานี้ลงจากกำแพงไป นางนั้นรู้จักเพียงแค่จุดไฟ ทว่าไม่เคยที่จะรู้จักดับไฟเอา เสียเลย

แม้ในใจของเขาจะคิดเช่นนั้น แต่เขากลับกอดนางเอาไว้แน่นและทำร้ายนางไม่ลงเลยแม้สักนิดเดียว

ร่างสีดำพุ่งลงมาจากกำแพงเมือง พามู่เฉียนซีที่หลับไปอย่างเมามายกลับไปที่โรงเตี๊ยม

วันต่อมา มู่เฉียนซีนั้นได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นางตื่นขึ้นมานานแล้วทว่านางรู้สึกว่าข้างกายของตนเองมีร่างอยู่ร่างหนึ่ง นางจึงไม่กล้าลืมตาขึ้นมา

นางไม่เข้าใจเลยว่าสุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกันแน่ นางใส่ยาแก้เมาลงไปแล้วแท้ ๆ เหตุใดนางถึงยังเมาหลับไปเช่นนี้ได้ ?

ทว่าถึงดื่มจนเมามายก็ช่างมัน และถึงจะเอาความคับข้องในใจระเบิดออกมาใส่เขาก็ช่าง แต่เมื่อคืนนี้บนกำแพงเมืองนางกับเยี่ยอ๋องเกือบที่จะ   อืม…

นางเล่นใหญ่เข้าเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปเยี่ยอ๋องคงจะต้องคิดบัญชีเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่ ๆ!

เวลานี้ลำบากใจอย่างมาก ต้องยอมที่จะหลับต่อไม่ตื่นขึ้นมา มู่เฉียนซีนั้นไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ย ในที่สุดนางเลือกที่จะแกล้งหลับต่อไป

แน่นอนว่าจิ่วเยี่ยนั้นรู้แล้วว่ามู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาแล้ว เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงขรึม “เหล้านั้นเป็นข้าที่เลี้ยงเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไปกับข้า ข้าก็จะไม่ขอให้เจ้าชดใช้หรือทดแทนอะไร”

มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นทันที นางขยับกายเข้าไปกอดจิ่วเยี่ยอย่างปีติยินดี

“จริงรึ ?   โอ้จิ่วเยี่ย… ข้านั้นพบว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล”

‘ฮู้ว! โล่งใจดีแท้’ มู่เฉียนซีคิด

ทั้งสองมองหน้ามองตากัน ทว่าในตอนนี้มู่เฉียนซีกลับรู้สึกว่าจิ่วเยี่ยนั้นอันตรายมาก

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ไร้เหตุผลมาโดยตลอดรึ ?” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น

มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวแก้เขินอาย “ไม่ ๆ ๆ คือ… เจ้า… เอ่อ เป็นบางครั้ง บางครั้งบางคราวเท่านั้น…”

“ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาว่าข้านั้นไม่มีเหตุผลในบางครั้งบางคราว เช่นนั้นก็…”

— ปึบ! —

สถานการณ์ผลิกผัน จิ่วเยี่ยเริ่มการทวงหนี้อย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมา

มู่เฉียนซีอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เหตุใดเมื่อนางตื่นเต้นดีใจ กลับไปทำให้เชื้อพระวงศ์ผู้โหดร้ายผู้นี้กริ้วขึ้นมาได้ ?!

หลังจากที่การอาละวาดของสัตว์วิญญาณจบลง ประตูทางทิศตะวันตกของเมืองฉู่ก็เปิดออก ต่อมานักผจญภัยก็ได้ทยอยเข้าไปที่เทือกเขาชีชง

มู่เฉียนซีเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นนางไปกล่าวลากับเถ้าแก่และนักผจญภัยอิสระ

พวกเขาตะลึงงัน “ว่าอย่างไรนะเจ้าหนุ่ม ? เจ้าจะเข้าไปในเทือกเขาชีชงเพียงผู้เดียวรึ ?”

“ไม่ได้! นั่นมันอันตรายเกินไปแล้ว กลุ่มของพวกเรานั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับเทือกเขาชีชง ข้าจะนำทางให้เอง”

มู่เฉียนซีรีบกล่าว “อย่าเลย ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะเข้าไปในตอนกลางของเทือกเขาชีชง ข้าประสงค์ที่จะไปฝึกด้วยตัวคนเดียวเพื่อเพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ขอบคุณพี่ใหญ่ทุกท่านที่หวังดี ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรข้าก็จะเข้าไปคนเดียว”

มู่เฉียนซีตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก แต่พวกเขาดึงมู่เฉียนซีไปสนทนาถึงประสบการณ์ในการผจญภัยมากมาย เช่นสถานที่ใดที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเจอสถานการณ์ในแบบต่าง ๆ ต้องจัดการเช่นไร และอื่น ๆ อีกมากมาย…

จากนั้นก็ได้ส่งมอบแผนที่ส่วนบุคคลให้นางจำนวนไม่น้อย

หลังจากที่ได้สิ่งของเหล่านี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ออกจากประตูตะวันตกไป ย่างเท้าก้าวเข้าสู่เส้นทางไปยังเทือกเขาชีชงและเริ่มการฝึกฝนของตนเอง

“ท่านผู้นำกลุ่มขอรับ เจ้าเด็กหนุ่มนั่นมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาชีชง มีเพียงเขาคนเดียว”

แน่นอนว่าหลังจากที่มู่เฉียนซีได้เข้าสู่เทือกเขาชีชง ก็มีคนไปรายงานยังฐานที่พักของพวกหลางเทียน

หลางเทียนกล่าว “พวกเจ้าทุกคนเตรียมตัวไปยังเทือกเขาชีชงประเดี๋ยวนี้เลย”

เจ้าเด็กนั่นสมควรตายนัก เขารนหาที่ตาย ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้กลุ่มนักผจญภัยของเขาพ่ายแพ้ให้แก่นักผจญภัยอิสระ อีกทั้งยังคว้ารางวัลพิเศษในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ไปอีก

ท่านเจ้าเมืองต้องมอบสมบัติชั้นดีให้เจ้าหนุ่มนั่นอย่างแน่นอน พวกเขาจะยอมพลาดมันไปได้อย่างไร ?

ไม่นานนักหลังจากที่มู่เฉียนซีจากไป นักผจญภัยกลุ่มย่อยของหลางเทียนก็ได้เข้าไปยังตอนกลางของเทือกเขาชีชง

สัตว์วิญญาณที่อยู่รอบนอกของเทือกเขาชีชงไม่ได้สร้างอันตรายอันใดให้แก่มู่เฉียนซี ตลอดทางมานั้นนับว่าสงบราบรื่นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเมื่องนางเดินต่อไป ก็พบว่าตนเองได้ถูกผู้อื่นโจมตีเข้าเสียแล้ว กลิ่นอายแห่งความเย็นยะเยือกนั้นคุ้นชินมาก

มู่เฉียนซีกำลังหนีเข้าไปที่ด้านในของเทือกเขาชีชง  หลางเทียนคิดทันทีว่าเวลานี้เป็นโอกาสลงมือที่ดี เพราะรอบด้านนั้นไม่มีใครอยู่เลย

หลางเทียนออกคำสั่ง “ลงมือ!”

ในครานี้ ส่วนมากแล้วหลางเทียนพามาแต่พวกที่ฝีมือดี นอกจากหลางเทียนกับเจ้าบ้าแล้ว ผู้อื่นล้วนแต่เป็นระดับขั้นปรมาจารย์ภูตทั้งสิ้น

แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้มิอาจที่จะทำให้มู่เฉียนซีตกใจกลัวได้ มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางพวกเขา นางแสยะยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น “ผู้นำกลุ่มหลางเทียนฮุยหลาง บังเอิญเสียจริงที่ได้มาพบพวกเจ้าที่นี่อีก”

หลางเทียนกล่าวอย่างดุร้าย “เจ้าหนุ่ม ช่างบังเอิญจริงแท้”

มู่เฉียนซี “ข้ารู้ความลับมาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าคงอยากจะรู้มาก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ตอนนี้เอาหรือไม่ ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะเล่นตุกติกอะไร แต่จะกล่าวอะไรก็กล่าวมาเลย”

.