มู่เฉียนซีดื่มอย่างมีความสุข แต่หลังจากดื่มเสร็จ นางก็รู้สึกว่าในหัวของนางนั้นว่างเปล่า
เกิดอะไรขึ้น ? ยาที่จะต้องได้ผลดีกลับไม่ได้ผลเสียแล้วรึ ?
แย่แล้ว!
เมื่อเห็นมู่เฉียนซีจะกระโดดลงจากกำแพงเมืองไปอย่างโซซัดโซเซ จิ่วเยี่ยรีบช้อนร่างนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดและพานางลงไปด้านล่าง
ดวงตาดำที่ดูสดใสเปลี่ยนสีไป ทันใดนั้นมู่เฉียนซีใช้แรงผลักจิ่วเยี่ยออก เพียงผลักจิ่วเยี่ยออกไปนั้นยังไม่พอ มู่เฉียนซียังดันร่างเขาจนแผ่นหลังของเขาไปชนชิดติดอยู่กับกำแพงเมือง
เวลานี้ในหัวของมู่เฉียนซีนั้นปลดปล่อยทุกสิ่งออกมา นางยื่นมือออกมาบีบสองข้างแก้มของจิ่วเยี่ยก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “จิ่วเยี่ย เจ้าช่างบัดซบยิ่งนัก เจ้าชอบทำหน้าตาเย็นชาและจริงจัง เจ้าทำอะไรให้มันดี ๆ สักหน่อยไม่ได้เลยรึ ? ดีแต่แกล้งดีแต่รังแกข้า”
“เจ้าคิดจริงรึว่าข้านั้นรังแกได้ง่าย ข้าสามารถจดจำเรื่องความแค้นได้ดีอย่างยิ่ง รอข้าฝึกฝนจนแข็งแกร่งกว่าเจ้าได้ก่อนเถอะ ข้าจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกกลับมาให้หมดเป็นแน่”
จิ่วเยี่ยนั้นไม่ใช่ผู้ที่ขาดทุน และยังชอบที่จะเพิ่มจำนวนหนี้ที่ต้องชดใช้อย่างมากมายหลายเท่า
เพียงแต่ว่าตอนนี้จิ่วเยี่ยนั้นแข็งแกร่งกว่านางมาก นางไม่สามารถที่จะต่อกรด้วยได้ แต่การล้างแค้นแม้ผ่านไปสิบปีก็ยังไม่สาย
จิ่วเยี่ยมองสตรีผู้ดุดันที่อยู่ตรงหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง จากนั้นมู่เฉียนซีก็เข้ามาโอบเขาไว้ นางทั้งกัดทั้งขบริมฝีปากบาง ๆ นั้น…
— แควก! —
มู่เฉียนซีฉีกเสื้อผ้าของจิ่วเยี่ยขาดออกอย่างรุนแรง
ที่ตรงกำแพงเมืองมีแสงจันทร์สาดส่องลงมา มู่เฉียนซีพัวพันอยู่อย่างไม่ลดละ และจิ่วเยี่ยเองก็ใจเย็นกับสตรีที่เมามายผู้นี้เป็นพิเศษ
เมื่อ ‘การพัวพัน’ ทวีความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทหารยามจึงรู้สึกถึงการเคลื่นไหวที่ด้านบนกำแพง เขาเดินขึ้นมากล่าวว่า “ใครอยู่ตรงนั้น ?”
ทว่าทันใดนั้น ทหารยามได้มองเห็นดวงตาที่น่ากลัวประหนึ่งสามารถเผาผลาญดวงวิญญาณของมนุษย์ได้ของจิ่วเยี่ย แต่จากนั้นมู่เฉียนซีก็หันหน้ามา นางกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่ามารบกวนความสุขของข้า แล้วก็อย่าได้มาจ้องมองข้า มิเช่นนั้นแล้วข้าจะใช้พิษทำให้เจ้าตาบอดไม่รู้ตัว!”
มู่เฉียนซีบดบังประกายจากร่างของจิ่วเยี่ยเอาไว้ไม่ให้สาดส่องออกไป
“คุณชาย… คุณชายมู่ซี…” ทหารยามผู้นั้นอดไม่ได้ที่จะขยี้ตาตนเอง
เขารีบถอยออกไปจากตรงนั้น บรรยากาศกดดันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ผู้ใดเล่าที่จะกล้าไปขัดจังหวะ ตอนนี้คุณชายมู่นั้นเป็นคนมีชื่อแห่งเมืองฉู่ หากว่าพวกนักผจญภัยอิสระบางคนรู้เข้าว่าเขาไปกวนใจคุณชายมู่ คุณชายมู่จะต้องทำให้เขาอยู่อย่างยากลำบากเป็นแน่
นิ้วมือที่เรียวยาวลื่นไหลลงมาตามใบหน้าของจิ่วเยี่ย มู่เฉียนซียิ้มร้ายก่อนจะกล่าวว่า “เราต่อกันเถอะ อืม…”
หางเสียงสุดท้ายของประโยคนั้นที่ลากยาว ช่างแฝงไปด้วยความมีเสน่ห์อย่างหาที่สุดมิได้ ทำให้ดวงตาที่เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งทั้งคู่ของจิ่วเยี่ยมีประกายไฟลุกโชนขึ้น
ทว่ามู่เฉียนซีนางเมามาก เผลอหลับใหลไปจนได้
เงาร่างสีดำกอดหญิงสาวที่หลับสนิทเอาไว้อย่างแนบแน่น
ในตอนนี้เอง จิ่วเยี่ยรู้สึกอยากจะโยนสตรีสมควรตายที่อยู่ในอ้อมแขนเขานี้ลงจากกำแพงไป นางนั้นรู้จักเพียงแค่จุดไฟ ทว่าไม่เคยที่จะรู้จักดับไฟเอา เสียเลย
แม้ในใจของเขาจะคิดเช่นนั้น แต่เขากลับกอดนางเอาไว้แน่นและทำร้ายนางไม่ลงเลยแม้สักนิดเดียว
ร่างสีดำพุ่งลงมาจากกำแพงเมือง พามู่เฉียนซีที่หลับไปอย่างเมามายกลับไปที่โรงเตี๊ยม
…
วันต่อมา มู่เฉียนซีนั้นได้ตื่นขึ้นมาแล้ว นางตื่นขึ้นมานานแล้วทว่านางรู้สึกว่าข้างกายของตนเองมีร่างอยู่ร่างหนึ่ง นางจึงไม่กล้าลืมตาขึ้นมา
นางไม่เข้าใจเลยว่าสุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนางกันแน่ นางใส่ยาแก้เมาลงไปแล้วแท้ ๆ เหตุใดนางถึงยังเมาหลับไปเช่นนี้ได้ ?
ทว่าถึงดื่มจนเมามายก็ช่างมัน และถึงจะเอาความคับข้องในใจระเบิดออกมาใส่เขาก็ช่าง แต่เมื่อคืนนี้บนกำแพงเมืองนางกับเยี่ยอ๋องเกือบที่จะ อืม…
นางเล่นใหญ่เข้าเสียแล้ว ต่อจากนี้ไปเยี่ยอ๋องคงจะต้องคิดบัญชีเป็นร้อยเท่าพันเท่าแน่ ๆ!
เวลานี้ลำบากใจอย่างมาก ต้องยอมที่จะหลับต่อไม่ตื่นขึ้นมา มู่เฉียนซีนั้นไม่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับจิ่วเยี่ย ในที่สุดนางเลือกที่จะแกล้งหลับต่อไป
แน่นอนว่าจิ่วเยี่ยนั้นรู้แล้วว่ามู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาแล้ว เขากล่าวขึ้นด้วยเสียงขรึม “เหล้านั้นเป็นข้าที่เลี้ยงเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรลงไปกับข้า ข้าก็จะไม่ขอให้เจ้าชดใช้หรือทดแทนอะไร”
มู่เฉียนซีลืมตาขึ้นทันที นางขยับกายเข้าไปกอดจิ่วเยี่ยอย่างปีติยินดี
“จริงรึ ? โอ้จิ่วเยี่ย… ข้านั้นพบว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล”
‘ฮู้ว! โล่งใจดีแท้’ มู่เฉียนซีคิด
ทั้งสองมองหน้ามองตากัน ทว่าในตอนนี้มู่เฉียนซีกลับรู้สึกว่าจิ่วเยี่ยนั้นอันตรายมาก
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ไร้เหตุผลมาโดยตลอดรึ ?” จิ่วเยี่ยกล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น
มู่เฉียนซียิ้มและกล่าวแก้เขินอาย “ไม่ ๆ ๆ คือ… เจ้า… เอ่อ เป็นบางครั้ง บางครั้งบางคราวเท่านั้น…”
“ในเมื่อเจ้ากล่าวออกมาว่าข้านั้นไม่มีเหตุผลในบางครั้งบางคราว เช่นนั้นก็…”
— ปึบ! —
สถานการณ์ผลิกผัน จิ่วเยี่ยเริ่มการทวงหนี้อย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมา
มู่เฉียนซีอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา เหตุใดเมื่อนางตื่นเต้นดีใจ กลับไปทำให้เชื้อพระวงศ์ผู้โหดร้ายผู้นี้กริ้วขึ้นมาได้ ?!
…
หลังจากที่การอาละวาดของสัตว์วิญญาณจบลง ประตูทางทิศตะวันตกของเมืองฉู่ก็เปิดออก ต่อมานักผจญภัยก็ได้ทยอยเข้าไปที่เทือกเขาชีชง
มู่เฉียนซีเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย จากนั้นนางไปกล่าวลากับเถ้าแก่และนักผจญภัยอิสระ
พวกเขาตะลึงงัน “ว่าอย่างไรนะเจ้าหนุ่ม ? เจ้าจะเข้าไปในเทือกเขาชีชงเพียงผู้เดียวรึ ?”
“ไม่ได้! นั่นมันอันตรายเกินไปแล้ว กลุ่มของพวกเรานั้นค่อนข้างคุ้นเคยกับเทือกเขาชีชง ข้าจะนำทางให้เอง”
มู่เฉียนซีรีบกล่าว “อย่าเลย ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะเข้าไปในตอนกลางของเทือกเขาชีชง ข้าประสงค์ที่จะไปฝึกด้วยตัวคนเดียวเพื่อเพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ขอบคุณพี่ใหญ่ทุกท่านที่หวังดี ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรข้าก็จะเข้าไปคนเดียว”
มู่เฉียนซีตัดสินใจแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก แต่พวกเขาดึงมู่เฉียนซีไปสนทนาถึงประสบการณ์ในการผจญภัยมากมาย เช่นสถานที่ใดที่ค่อนข้างปลอดภัย เมื่อเจอสถานการณ์ในแบบต่าง ๆ ต้องจัดการเช่นไร และอื่น ๆ อีกมากมาย…
จากนั้นก็ได้ส่งมอบแผนที่ส่วนบุคคลให้นางจำนวนไม่น้อย
หลังจากที่ได้สิ่งของเหล่านี้แล้ว มู่เฉียนซีก็ออกจากประตูตะวันตกไป ย่างเท้าก้าวเข้าสู่เส้นทางไปยังเทือกเขาชีชงและเริ่มการฝึกฝนของตนเอง
“ท่านผู้นำกลุ่มขอรับ เจ้าเด็กหนุ่มนั่นมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาชีชง มีเพียงเขาคนเดียว”
แน่นอนว่าหลังจากที่มู่เฉียนซีได้เข้าสู่เทือกเขาชีชง ก็มีคนไปรายงานยังฐานที่พักของพวกหลางเทียน
หลางเทียนกล่าว “พวกเจ้าทุกคนเตรียมตัวไปยังเทือกเขาชีชงประเดี๋ยวนี้เลย”
เจ้าเด็กนั่นสมควรตายนัก เขารนหาที่ตาย ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำให้กลุ่มนักผจญภัยของเขาพ่ายแพ้ให้แก่นักผจญภัยอิสระ อีกทั้งยังคว้ารางวัลพิเศษในการแข่งขันล่าสัตว์ครั้งนี้ไปอีก
ท่านเจ้าเมืองต้องมอบสมบัติชั้นดีให้เจ้าหนุ่มนั่นอย่างแน่นอน พวกเขาจะยอมพลาดมันไปได้อย่างไร ?
ไม่นานนักหลังจากที่มู่เฉียนซีจากไป นักผจญภัยกลุ่มย่อยของหลางเทียนก็ได้เข้าไปยังตอนกลางของเทือกเขาชีชง
สัตว์วิญญาณที่อยู่รอบนอกของเทือกเขาชีชงไม่ได้สร้างอันตรายอันใดให้แก่มู่เฉียนซี ตลอดทางมานั้นนับว่าสงบราบรื่นเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเมื่องนางเดินต่อไป ก็พบว่าตนเองได้ถูกผู้อื่นโจมตีเข้าเสียแล้ว กลิ่นอายแห่งความเย็นยะเยือกนั้นคุ้นชินมาก
มู่เฉียนซีกำลังหนีเข้าไปที่ด้านในของเทือกเขาชีชง หลางเทียนคิดทันทีว่าเวลานี้เป็นโอกาสลงมือที่ดี เพราะรอบด้านนั้นไม่มีใครอยู่เลย
หลางเทียนออกคำสั่ง “ลงมือ!”
ในครานี้ ส่วนมากแล้วหลางเทียนพามาแต่พวกที่ฝีมือดี นอกจากหลางเทียนกับเจ้าบ้าแล้ว ผู้อื่นล้วนแต่เป็นระดับขั้นปรมาจารย์ภูตทั้งสิ้น
แต่ทว่าสถานการณ์เช่นนี้มิอาจที่จะทำให้มู่เฉียนซีตกใจกลัวได้ มู่เฉียนซีเหลือบมองไปทางพวกเขา นางแสยะยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น “ผู้นำกลุ่มหลางเทียนฮุยหลาง บังเอิญเสียจริงที่ได้มาพบพวกเจ้าที่นี่อีก”
หลางเทียนกล่าวอย่างดุร้าย “เจ้าหนุ่ม ช่างบังเอิญจริงแท้”
มู่เฉียนซี “ข้ารู้ความลับมาอย่างหนึ่ง พวกเจ้าคงอยากจะรู้มาก ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ตอนนี้เอาหรือไม่ ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าจะเล่นตุกติกอะไร แต่จะกล่าวอะไรก็กล่าวมาเลย”
.