ตอนที่ 168.1 หึงหวง (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ในหัวเหมือนมีประกายไฟแวบขึ้นมา แล้วแผ่นหลังของนางก็ขนลุกซู่ หรือว่า… 

 

 

นี่มันเกี่ยวพันในวงกว้างมาก 

 

 

หากถูกเปิดเผย เหล่าผู้สูงศักดิ์ที่มีตำแหน่ง ฐานะแบบที่คนธรรมดาแทบเอื้อมไม่ถึงก็อาจพังทลายลงเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ 

 

 

นางดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางจ้องหน้าหลี่ว์ปาและถามออกไปว่า “เหตุใดพี่หลี่ว์ถึงเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้” 

 

 

หลี่ว์ปายิ้มมุมปากและตอบว่า “แม้ว่าข้าเป็นคนสะเพร่า แต่ข้าก็มองออกว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา วันใดที่ทางการตัดสินลงโทษกลุ่มโพกผ้าเหลือง ข้าหวังว่าฝ่าบาทจะทรงรับรู้ว่ากลุ่มโพกผ้าเหลือง หาได้ก่อเรื่องโดยไร้เหตุ ทั้งหมดล้วนมีสาเหตุ และหวังว่าจะลดโทษพี่น้องของข้าจากหนักเป็นเบา เพียงแต่ว่าเขาคนนั้นมีตำแหน่งสูง คำพูดของข้า คงไม่มีใครเชื่อ หนึ่งประโยคของฉินอ๋องเทียบเท่าร้อยประโยคของข้า และที่ข้าบอกเจ้าในวันนี้ ก็เพื่อให้ฉินอ๋องเป็นพยานให้ข้าเมื่อเวลานั้นมาถึง” 

 

 

เมื่อครู่นี้อวิ๋นหว่านชิ่นนึกว่าเขาจะคิดไม่ตก พอได้ยินเช่นนี้ ก็โล่งอกไปที แล้วเขาก็หันหลังไปหาฉินอ๋อง “สิ่งที่ฉินอ๋องพูดเมื่อตอนที่อยู่ด้านล่าง หากยอมจำนน โทษของครอบครัวจากหนักจะกลายเป็นเบา เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ขอรับ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงตอบด้วยสายตานิ่ง “ถูกต้อง” 

 

 

หลี่ว์ปาถอยหลังสองสามก้าว นัยน์ตาแน่วแน่มากขึ้นกว่าเดิม “หากข้าไม่เพียงแต่ยอมจำนน แต่ยังช่วยทางการได้ด้วยล่ะ” 

 

 

ตาของอวิ๋นหว่านชิ่นเริ่มกระตุก ความว้าวุ่นเมื่อครู่นี้พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง นางเดินเข้าไปดึงแขนของหลี่ว์ปา “พี่หลี่ว์——” 

 

 

หลี่ว์ปามองหน้าฉินอ๋อง และรอคำตอบอย่างไม่ละสายตา 

 

 

“ความผิดติดตัวแต่ทำผลงานได้ ตัดสินจากสถานการณ์ ความผิดถึงขั้นระวางโทษประหารชีวิต จากประหารซึ่งหน้าลดเป็นประหารหลังใบไม้ร่วง ความผิดระวางโทษประหารชีวิตลดหนึ่งขั้น ลดระดับเป็นโทษตลอดชีวิต ความผิดต้องโทษตลอดชีวิตลดสองขั้น ลดการเนรเทศเป็นการจำคุก ครอบครัวมิต้องรับโทษ” ซย่าโหวซื่อถิงกล่าว 

 

 

หลี่ว์ปายิ้มและกล่าวว่า “ดี ดี! หากข้าทำผลงาน ข้าไม่ขอลดโทษ ขอเพียงผลงานของข้าตกเป็นของน้องสาว ให้นางไม่ต้องรับโทษก็พอแล้ว” 

 

 

พอพูดจบ เขาเดินไปหาซานอิงที่อยู่ตรงหน้าและตะโกนออกไปว่า “ข้าพูดจบแล้ว!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกใจว้าวุ่น และห้ามเขาไม่ได้เลย นางเดินไปอยู่ข้างๆ ซย่าโหวซื่อถิง กำลังจะเอ่ยปากพูด แต่กลับถูกเขากุมมือเอาไว้ 

 

 

เหมือนว่าเขาจะเดาบางอย่างออก เมื่อเห็นหลี่ว์ปาเดินไปข้างหน้าช้าๆ อย่างไม่มีอะไรน่าสงสัย ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งชัดเจน เขากุมมือของอวิ๋นหว่านชิ่นเอาไว้แน่น ดวงตาคู่นั้นที่จับจ้องอยู่ มันแน่วแน่ยิ่งกว่าทุกๆ วัน 

 

 

ซานอิงหัวเราะด้วยความเยาะเย้ยและตอบกลับว่า “กล่าวคำรักหวานเสร็จแล้วรึ? หากตายก็คงตายตาหลับแล้วสิ! อย่าหาว่าข้าแยกพวกเจ้าออกอย่างไม่เป็นธรรมเลยนะ! ไป! จับฉินอ๋องกับนังเด็กนั่นมา!” 

 

 

“หลับตา? เหตุใดข้าต้องหลับตาด้วย?” ทันใดนั้นหลี่ว์ปาใช้แขนที่แข็งแรงดึงตัวซานอิงมาและรัดคอเอาไว้ เขาไม่แม้แต่จะหันหัวกลับ “เด็กโง่ ยังไม่รีบหนีอีก!” 

 

 

ซานอิงเห็นว่าเขาไม่มีแม้แต่อาวุธ แล้วยังเห็นเขาพูดไปยิ้มไป จนลืมระวังตัว เพียงครู่เดียวก็ถูกเขารัดตัวเอาไว้ แม้จะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็กล่าวออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่เยือกเย็นว่า 

 

 

“คิดว่าจับข้าได้ แล้วพวกเจ้าจะหนีพ้นรึ” 

 

 

ผู้เฒ่าเถียนและพวกเริ่มเสียงดังโหวกเหวก “หลี่ว์ปา เจ้ากล้าดียังไง!” ทุกคนวิ่งเข้าไปล้อมเอาไว้ และจะฉวยโอกาสฆ่าเขาให้ตายเสียทีนี่ 

 

 

หลี่ว์ปาเปิดเสื้อออกหนึ่งข้าง สิ่งที่แขวนอยู่ข้างในปรากฏแก่สายตาทุกคน “หลีกทางลงเขาซะ” 

 

 

ตรงเอว มีดินปืนหลายอันถูกมัดรวมไว้ด้วยเชือก 

 

 

เป็นระเบิดที่ซานอิงสั่งให้เตรียมไว้ก่อนขึ้นเขา เมื่อตอนที่วางทุ่นระเบิด หลี่ว์ปาแอบขโมยมาสองสามอันเผื่อต้องใช้ 

 

 

เหล่าโจรป่าตะลึงงัน และทำได้เพียงหลีกทางและถอยหลังตามคำสั่ง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแทบหยุดหายใจ นางเดินไปข้างหน้าสองก้าวและตะโกนว่า “พี่หลี่ว์!” 

 

 

แต่กลับได้ยินเสียงของหลี่ว์ปาตอบกลับมาว่า “ข้าจะตามไปภายหลัง!” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่กล้ารอช้า เขาจับมือนางเอาไว้แล้วลงเขาทันทีพร้อมกับซือเหยาอัน 

 

 

สองมือคลายออกทันทีที่ลงมาถึงด้านล่าง 

 

 

เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหากับการลงโทษที่ไม่อาจคาดคิด สถานะของอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่สามารถเปิดเผยต่อหน้าเหล่าทหารของทางการได้ 

 

 

เพราะท้ายที่สุดแล้วการเดินทางมาเยี่ยนหยางครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ 

 

 

อย่างน้อย ก่อนกลับไปถึงจวนอ๋องในเมืองหลวง นางเป็นได้แค่บ่าวใช้ในค่ายบัญชาการเท่านั้น 

 

 

ในช่วงเวลาที่สองนิ้วแตะกัน นางได้ยินเขากล่าวทิ้งไว้หนึ่งประโยค ซึ่งพูดด้วยความรวดเร็วว่า “เมื่อกลับถึงค่าย มาหาข้าที่ห้อง…” พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแต่แผ่นหลังของเขาแล้ว ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เหล่าทหารที่อยู่ที่ราบภูเขาซีเป่ยเดินเข้ามาพร้อมกับไฟ เมื่อเห็นฉินอ๋องและคนอื่นๆ กลับมาอย่างปลอดภัย ต่างก็ยินดีและเข้าไปต้อนรับ “ท่านอ๋อง เป็นอะไรหรือไม่ขอรับ!” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้ตอบ เขามองขึ้นไปบนเขา และดันตัวคนที่พาลงมาด้วยให้กับซือเหยาอัน “กลับค่ายบัญชาการ” ซือเหยาอันพาอวิ๋นหว่านชิ่นไปยังม้าขาวตัวหนึ่ง กำลังจะพยุงนางขึ้นบนอานม้า แต่แล้วก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงของท่านอ๋องสามที่ออกคำสั่งว่า “ขึ้นเขา ปราบโจร!” 

 

 

เสียงยังไม่ทันสิ้น เสียงระเบิดโบ้มที่ดังสนั่นบนเขาก็ดังขึ้น จากนั้นแสงไฟก็เปล่งประกายออกมา 

 

 

เสียงดังสนั่นสะท้านไปทั่วฟ้าและแผ่นดิน หูของคนที่อยู่ด้านล่างแทบจะรับแรงกระแทกนั้นไม่ไหว จนรู้สึกหูหนวกไปพักใหญ่ ทุกคนยืนนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว! 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย นางผลักซือเหยาอันออก อยากวิ่งไปดูใกล้ๆ แต่ถูกแขนคู่หนึ่งเกี่ยวเอาไว้ตรงเอว 

 

 

ต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาบนขอบหน้าผาหักเพราะแรงระเบิด กิ่งไม้และใบไม้ร่วงหล่นลงมาทีละต้น และยังมีเศษหินขนาดเล็กใหญ่กลิ้งลงมาตามความลาดชัน—— 

 

 

แม้ห่างไกลพอควร แต่ซย่าโหวซื่อถิงก็กังวลว่านางจะได้รับบาดเจ็บ จึงจับตัวนางเอาไว้จากด้านหลัง อวิ๋นหว่านชิ่นมองขึ้นไปข้างบน ภายในใจเพิ่งสงบได้ไม่นาน แล้วดวงตาก็เริ่มร้อนอีกครั้ง คล้ายว่ามีบางอย่างกำลังไหลออกมา “พี่หลี่ว์” 

 

 

เพื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์ เขาเตรียมตัวตายไว้แต่แรกแล้วสินะ 

 

 

มีเพียงตายไปพร้อมกับโจรป่าเท่านั้น ถึงจะนับว่ามีความผิดติดตัวแต่ได้สร้างผลงาน! 

 

 

“แย่แล้วขอรับท่านอ๋อง เหมือนว่าจะเกิดระเบิด!” มีทหารกลับมารายงาน 

 

 

แต่ฉินอ๋องกับใต้เท้าซือไม่ได้ตกใจมากนัก เหมือนรู้ตั้งแต่แรกแล้ว สีหน้าไม่ได้ดีเท่าไหร่ แม่นางชิ่งเอ๋อร์ที่เพิ่งถูกช่วยเอาไว้แย่ยิ่งกว่า 

 

 

ทุกคนมองบนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังกลับ 

 

 

เหล่าทหารมองดูใต้เท้าซือพยุงแม่นางชิ่งเอ๋อร์ขึ้นบนม้า ส่วนฉินอ๋องก็หยิบอานม้าและขึ้นม้าตาม ใบหน้าที่เย็นชา กับน้ำเสียงที่บ่งบอกความเป็นตัวเขา “ส่งทหารขึ้นไป นับจำนวนคนตาย ระวังนักโทษหนีรอดไปได้! ส่วนที่เหลือ ตามข้ากลับค่ายบัญชาการ! ให้เหลียงป๋อคุนไสหัวกลับไปกับข้าด้วย!” 

 

 

ด้วยแรงของลม เพียงค่ำคืนเดียว ภูเขาก็ถูกไฟเผาไหม้และแผ่ไปอย่างกว้างขวาง 

 

 

ทหารขึ้นไปถึงเพียงครึ่งทาง ก็ต้องพากันลงมาก่อน เพราะไฟลุกแรงมาก 

 

 

เมื่อเป็นเช่นนั้น คงทำได้เพียงรอให้ขอบฟ้าเริ่มสว่าง แล้วค่อยขึ้นไปใหม่ 

 

 

เมื่อถึงยามรุ่งอรุณ ทหารก็ตรวจนับเสร็จสิ้น มีทั้งหมด 69 ศพ ต่างถูกไฟเผาจนผิวนั้นไหม้เกรียม แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร 

 

 

พวกคนที่เข้าป่าไปเป็นโจรไม่ใช่พลเมืองที่ดี ยกเว้นคนมีชื่อเสียงไม่กี่คนที่ลงบันทึกกับทางการไว้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่มีบัตรประจำตัว ทำให้ยิ่งยากต่อการแยกแยะ เหล่าทหารทำการขุดหลุมขนาดใหญ่บริเวณตีนเขา และฝังศพรวมกันไว้ในหลุม ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติตามปกติของทหาร กว่าจะฝังเสร็จก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน จากนั้นจึงเดินทางกลับไปรายงานที่ค่ายบัญชาการ 

 

 

ในห้องพักคนใช้ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นที่กลับมาถึงก่อน นอนไม่หลับทั้งคืน 

 

 

เดิมทีซือเหยาอันว่าจะคุยกับป้าอู๋ ให้หาห้องส่วนตัวให้นาง แต่อวิ๋นหว่านชิ่นปฏิเสธ