ตอนที่ 392 แต่งงานจดทะเบียน!

แต่งเข้า!

เรื่องนี้ถือเป็นการดูหมิ่นอย่างมากไม่ว่าสำหรับผู้ชายคนไหน!

เย่เฉินเคยแต่งเข้าตระกูลหวังสามปี จึงรู้ดีอย่างยิ่งว่าการเป็นเขยที่แต่งเข้าจะโดนดูถูกเหยียดหยามขนาดไหน!

คุณอาของซูมู่ชิงหัวเราะ “พี่สะใภ้นี่ความคิดดีจริงๆ ก็น่าจะให้ตระกูลเย่ที่แสนจะสูงส่งแต่งเข้าตระกูลซูของเรา ฮ่าๆ ดูพวกเขาว่าจะกล้าดูถูกเราอีกไหม อีกอย่างพ่อหนุ่มนี่หน้าตาหล่อเหลอเอาการเลย ภาพลักษณ์เหมาะจะเป็นแมงดาดีนะ ฮ่าๆ”

ถ้าไม่มีประสบการณ์ที่เคยแต่งเข้าเมื่อสามปีก่อน บางทีตอนนี้เย่เฉินอาจจะหัวเสียไปแล้ว

แต่ว่าเย่เฉินในตอนนี้สงบนิ่งอย่างมาก กระทั่งภรรยาที่ใจโลเลอย่าหวังเจียเหยา เขายังเคยแต่งงานด้วยเลย หรือว่าแม่ยายอย่างซูหลานเขาเองก็เคยรับใช้คนอย่างนั้นมาตั้งสามปี

ซูมู่ชิงและจางเชี่ยนจือก็น่าจะดีกว่าสองคนแม่ลูกนั่นล่ะมั้ง?

เย่เฉินหันมองจางเชี่ยนจือ “ได้ครับ ผมยินดีแต่งเข้าตระกูลซู!”

“แปะ! แปะ! แปะ!”

ซูมู่ชิงปรบมือแพลางยิ้มร่า “พี่ครับ พี่นี่สุดยอดจริงๆ สมแล้วที่เป็นสาวชาวเมืองหลวง ต้องเจ๋งแบบนี้สิครับ คนอื่นอยากแต่งออก แต่พี่เอาผู้ชายเข้าบ้านเรามาได้! ผมอยากจะบอกทุกคนที่ผมรู้จัก ให้พวกเขามาร่วมงานแต่ง มาดูว่าคนตระกูลซูเราเอาผู้ชายแต่งเข้ามาได้ยังไง ฮ่าๆ”

“ใครก็ได้”

ซูมู่หลินเรียก ลูกน้องของพวกตระกูลซูก็ประคองเขาขึ้นมานั่งบนรถเข็น ดูแล้วเขาคงกะจะไปแล้ว

ตอนที่ลูกน้องเข็นเขาเดินผ่านเย่เฉิน ซูมู่ชิงที่นั่งบนรถเข็นก็กล่าวกับเย่เฉิน “วันนี้ทำได้ดีนี่ ขาดเงินก็มาเอาที่ฉัน”

พูดจบลูกน้องเขาก็เข็นรถเข็นชิงออกจากบ้านไป

ซูมู่เสวี่ยก็ผุดลุกขึ้นแล้วคัดค้าน “แต่งเข้าไม่ได้ พี่เฉิงเจี๋ยเขาหมั้นหมายกับพี่มู่ชิงแล้วนะคะ คนทั้งเมืองหลวงรู้กันหมด อีกทั้งเราก็รับเงินสินสอดมาแล้วด้วย ถ้าเราเปลี่ยนงานแต่งงานแบบนี้แล้วให้มู่ชิงแต่งออกไปกับ ไม่สิไม่ใช่แต่งออก แต่แต่งผู้ชายเข้ามา แล้วคนตระกูลหลี่จะคิดยังไง?”

ในตอนนี้เองซูเจิ้นหางก็เปิดปากเอ่ย “มู่เสวี่ย เธอคิดมากไป ตอนนี้ตระกูลหลี่เองก็ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ต่อให้เราไม่ยกเลิกงานแต่งงาน เขาก็ไม่แต่งงานกับมู่ชิง ฉันจะไปให้คำตอบหลี่อี้อวี่เอง เรื่องนี้ทุกคนไม่ต้องสนใจ”

ซูมู่เสวี่ยเห็นคุณปู่เหมือนจะเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ก็รู้ว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์ แต่หล่อนก็ไม่อยากให้เย่เฉินแต่งเข้าตระกูลซูอยู่ดี

ซูมู่เสวี่ยเม้มปาก “ไม่ว่าอย่างไรหนูก็ไม่เรียกเขาว่าพี่เขย!”

ซูมู่ชิวเปิดปากเอ่ย “เหมือนกัน”

พูดจบทั้งสองคนก็เดินออกไปด้วยกัน

ซูเจิ้นหางยิ้ม “เย่เฉินเอ๊ย ดูแล้วเธอไม่ค่อยเป็นที่ต้อนรับของบ้านเราเลยนะ”

เย่เฉินยิ้มขมขื่น ตนเองทำแบบนั้นกับพวกเขา จะให้คนอื่นต้อนรับตนเองก็แปลกแล้ว

ซูเจิ้นหางถึงไม่สนใจว่าลูกหลานจะเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่ เขามองการณ์ไกลไปกว่านั้น สิ่งที่เขาสนใจก็คือความลับของตระกูลเย่ รวมไปถึงความช่วยเหลือจากตระกูลเย่ที่ตระกูลซูจะได้รับหลังจากการแต่งงาน

ซูเจิ้นหางยินดีอย่างมาก “หมิงเจ๋อเอ้ย”

และในเวลานี้เองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จางเชี่ยนจือก็ลุกขึ้นยืน

เขาก็คือซูหมิงเจ๋อพ่อของซูมู่ชิง

“พ่อครับ มีอะไรไหมครับ?”

ซูหมิงเจ๋อไม่ออกความเห็นเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ เพราะเขารู้ว่ามีบิดาอยู่ตนเองพูดอะไรไปก็ไร้ประโยชน์ บ้านหลังนี้ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับบิดาของเขาทั้งสิ้น

ซูหมิงเจ๋อเป็นคนธรรมดา แถมยังไม่ละโมบโลภมากด้วย ไม่เหมือนหลี่อี้อวี่ บิดาหลี่เฉิงเจี๋ย ดังนั้นตระกูลหลี่ถึงได้กล้าเสียมารยาทกับซือซือและซูมู่ชิง

ซูเจิ้นหางกล่าวต่อ “ถึงแม้ว่าจะจัดงานในวันเดิมคือวันที่ 1 เมษายน ก่อนนี้ผู้หญิงบ้านเราแต่งไปบ้านฝ่ายชายเลยไม่ต้องจัดงานแต่ง แต่ตอนนี้เราจะแต่งเขยเข้ามาแทน เราจะต้องเป็นฝ่ายจัดงานแต่งงงานแทน”

ซูหมิงเจ๋อกล่าว “พ่อครับ ผมรู้แล้ว ผมจะไปจองที่จัดงาน ส่งการ์ดเชิญ เชิญแขก”

ซูเจิ้นหางพยักหน้ารับ “งานแต่งงานครั้งนี้ เราต้องจัดให้มันยิ่งใหญ่! ไม่ต้องจัดเล็กๆ จะสิ้นเปลืองก็ไม่เป็นไร เชิญคนมาเยอะๆ ก็ได้เลย ระดับของแขกไม่ต้องสูงส่งนักหนา เอาแค่รู้จักกันและยอมมา ให้พวกเขามากันอีกเยอะๆ ก็แค่มีจานชามเยอะขึ้นมาอีกชุดเท่านั้นเอง”

ซูหมิงเจ๋อกล่าว “ครับ ผมรู้แล้ว”

จากนั้นซูเจิ้นหางก็หันมองเย่เฉิน “เย่เฉิน พี่น้องแปดร้อยคนที่เดินทางมาไกลของนาย ฉันใอนุญาตให้พวกเขาร่วมงานได้ แต่ว่านายควรจะต้องเชิญญาติมาสักหน่อยล่ะมั้ง? อย่างไรเสียนายก็เป็นผู้ชาย ถึงจะแต่งเข้าแต่ก็คงไม่ถึงขั้นที่ว่าจะไม่มีใครมาสักคนใช่ไหม?”

เย่เฉินตอบ “ผมจะโทรหาพ่อแม่แล้วก็พี่ชายสองคน จะพยายามบอกให้พวกเขามาร่วมงาน”

ซูเจิ้นหางพยักหน้ารับอย่างดีอกดีใจ “ดีนี่ๆ ฉันเองก็อยากจะดื่มเหล้ากับคนในครอบครัวนายหน่อย! คุณสบายใจเถอะนะ ในเมื่อเธอแต่งงานกับหลานสาวฉัน เป็นคนในครอบครัวของฉัน คนในครอบครัวเธอไม่ว่าใครมา ฉันซูเจิ้นหางเองก็จะเห็นเขาเป็นญาติ อีกทั้งฉันยังกล้ารับรองความปลอดภัยของพวกเขาให้ด้วยถ้าพวกเขามาที่เมืองหลวง”

เย่เฉินกล่าว “ขอบคุณครับ”

ซูเจิ้นหางกล่าวต่อ “วันมะรืนก็จะเป็นวันแต่งงานแล้ว ดีที่สองคนนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนกัน เย่เฉิน เธอไปจดทะเบียนกับซูมู่ชิงก่อนเถอะไป”

ในเมื่อตัดสินใจว่าจะแต่งงานกัน ก็ควรต้องไปจดทะเบียนกันก่อนงานแต่งงาน

เย่เฉินจับมือของซูมู่ชิงแล้วถาม “คุณ…ยินดีจะจดทะเบียนกับผมไหม”

หญิงสาวยิ้มด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข “ฉันยินดีค่ะ”

“ครับ งั้นเราขอตัวไปจดทะเบียนก่อนนะครับ” เย่เฉินหันมองซูเจิ้นหาง

สีหน้าซูเจิ้นหางไม่พอใจ “ยังจะเรียกท่านซูอีก เปลี่ยนสรรพนามสิ!”

“คุณซู”

เย่เฉินยังไม่เรียกเขาว่าคุณปู่ตรงๆ

ซูเจิ้นหางยิ้มแล้วโบกมือ จากนั้นก็ไม่บังคับอะไรเขาอีก “ไปเถอะ ไปเถอะ”

จนผู้อ่อนวัยกว่าสองนั้นเดินไป ซูเจิ้นหางก็หันไปกล่าวกับหลวี่ปู้ที่อยู่ข้างตัว “เสี่ยวปู้เอ้ย เธอก็อย่าเพิ่งไปไหนล่ะ ร่วมงานแต่งก่อน”

“ครับ”

“อืมดี ตอนนี้ไปเดินเล่นในสวนเป็นเพื่อนฉันหน่อย”

ทั้งสองคนเดินทางมาถึงสวนดอกไม้ด้านหลังเรือนสี่ประสาน แล้วหลวี่ปู้ก็กล่าวอย่างงงๆ ว่า “นายท่านครับ คุณหนูซูแต่งงานกับเย่เฉินแล้วทำไมคุณถึงต้องดีใจขนาดนี้ครับ?”

ซูเจิ้นหางยิ้ม ชายชราแหงนหน้ามองแสงอาทิตย์ที่ทอแสงแยงตาแล้วกล่าว “ถ้าหากว่าวันไหนได้รู้ความลับของตระกูลเย่แล้ว เธอน่าจะดีใจกว่าฉันอีก”

หลวี่ปู้สงสัย “ตระกูลเย่…มีความลับอะไรกันแน่ครับ?”

ซูเจิ้นหางส่ายหน้า“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง? ความลับเรื่องนี้ต้องรอให้มู่ชิงหลานสาวมาบอกก่อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะพยายามให้ตัวเองมีชีวิตยืนยาว ยืนยาวไปจนถึงวันที่ซูมู่ชิงเจอความลับของตระกูลเย่!”

หลวี่ปู้ถึงได้เข้าใจว่า เป้าหมายที่แท้จริงที่เจ้านายของเขายอมให้หลานสาวตนเองแต่งงานกับเย่เฉิน ไม่ใช่แค่สนับสนุนความรักของหลานสาวเพียงเท่านั้น

แต่ซูมู่ชิงยังเป็นหมากตัวหนึ่งในกระดานซูเจิ้นหาง!

……

เย่เฉินและซูมู่ชิงขับรถ Cadillac ที่ไม่รู้ว่าเป็นของใครออกมาจากบ้านซูเจิ้นหาง

ไม่นานนักก็ไปเจอรถของซีกวาที่จุดพักรถ

ซีกวาเดินลงมาจากรถเมื่อเห็นเย่เฉินปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนก็ยิ้ม “คุณชาย นี่คุณชายจะไปไหนครับ?”

เย่เฉินกล่าว“สำนักงานกิจการพลเรือน”

ซีกวาตกตะลึง “สำนักงานกิจการพลเรีอนเหรอครับ? คุณชายไปทำอะไรที่นั่น”

เย่เฉินกุมมือซูมู่ชิงแล้วกล่าว “ฉันแต่งงานกับซูมู่ชิงแล้ว ต่อไปซูมู่ชิงเองก็จะเป็นเจ้านายของนายเหมือนกัน!”