ตอนที่ 168

Black Tech Internet Cafe System

“เพิ่มตอนวันเสาร์หน้าหรอ?” ทุกคนร้องเหมือนจะขาดใจ อยู๋ๆ ในหัวของพวกเขาก็ว่างเปล่าอีกครั้ง

 

“ข้าคิดว่าละครจะเพิ่มพรุ่งนี้ แต่เจ้าของร้านบอกว่าเราต้องรออาทิตย์หน้า!”

 

“นี่เจ้าหนู! เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” นาหลันฮงวูหันไปจ้องหน้าฟางฉีตาเขม็ง

 

“ท่าน! ข้าคิดว่าจะมีตอนใหม่มาพรุ่งนี้เสียอีก!” ตงชิงลี่พูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง

 

“ทำไมเจ้าจ้องหน้าข้าแบบนั้น เจ้าไม่กลับไปอ่านนิยายหรอ?” ฟางฉียืนขึ้น “ที่หนังสือนักรบแห่งสวรรค์ยังลงขายแค่เดือนละตอน ทำไมของข้ารอแค่สัปดาห์เดียวมีปัญหาละ”

 

“แต่ละเล่มมีเน ื้อหามากมาย! แต่เจ้าปล่อยแค่หกตอนเท่านั้น!” ตงชิงลี่โต้

 

“นั่นไงข้าถึงไม่เพิ่มเดินละตอนสองตอนไง” ฟางฉีพูดอย่างมีเหตุผล

 

ทุกคนเงียบ ..

 

“ถ้าเจ้ากล้าที่จะเพิ่มเดือนละตอน ข้าจะจ้างคนมาตีเจ้า!” ตงชิงลี่กัดฟันยิ้ม แต่ในใจเธออยากจะบีบคอฟางฉีให้ตายไปซะ

 

ณ ร้านศาลาลมและพระจันทร์

 

เจียงซิงเฮกำลังกำกับเด็กเสิร์ฟในร้านเกี่ยวกับอาหารเช้าของตงชิงลี่ เนื่องจากเธอรีบออกจากร้านไปตั้งแต่ก่อนมื้ออาหารเช้าและจะไม่กลับมาจนถึงเที่ยงคืน

 

เธอบอกว่าเธออยู่ที่ร้านต้นกำเนิดคาเฟ่อินเตอร์เน็ต ข้าสงสัยว่าที่นั่นไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาตของเราแล้วหรอ? เมื่อนึกย้อนไปถึงการยกเลิกการคว่ำบาตรร้านแห่งนี้เจียงซิงเฮรู้สึกใจไม่ดี ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

 

 

“ท่านเพิ่มพรุ่งนี้เลยไม่ได้หรอ” เฟงหัวและยูซินทำหน้าตาน่าสงสาร พวกเธอรู้สึกตื่นเต้นมากหากมันเป็นจริงอย่างที่พวกเธอขอ!

 

เมื่อคิดว่าต้องรอถึงหนึ่งสัปดาห์แล้วใจแทบสลาย TT

 

“เจ้าต้องเพิ่มในวันพรุ่งนี้!” ซูเทียนจิที่นั่งถัดจากฟางฉีทางขวามือคว้าแขนข้างหนึ่งของเก้าอี้เขาแล้วจ้องหน้าด้วยสายตาที่แหลมคม

 

“ใช่! เจ้าต้องเพิ่มวันพรุ่งนี้!” นาหลันฮงวูที่นั่งอยู่เอามือกระแทกโต๊ะและยืนขึ้น

 

“การถ่ายทำต้องใช้ทุนและเวลา พวกท่านคิดว่าการสร้างละครมันเป็นเรื่องง่ายมากเลยหรือ? ทำไมพวกท่านไม่ไปบอกนักเขียนนิยายให้เขียนจบไปเลยทีเดียวก่อนที่จะนำมาเผยแพร่ละ”

 

ทุกคนเงียบ .. ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถที่จะก่อปัญหาที่นี่ได้

 

ตงชิงลี่ที่เคยขู่ว่าจะตีเขาในช่วงเวลาที่เธอโมโหเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าการก่อปัญหาไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับเงินทุน แต่พวกเขาเข้าใจดีว่าการผลิตต้องใช้เวลา

 

“ช่างมันเถอะ!” ซูเทียนจิถอนหายใจ เธอรู้สึกอยากฆ่าฟางฉีแทบแย่ แต่รู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์เธอโบกมือไปมา “กินของว่างกันดีกว่า ..”

 

“ท่านอาจารย์ พวกเราเพิ่งกินมันไปทั้งหมด ..” ยูซินเอ่ยเตือนเธอ

 

“ที่นี่ไม่มีสินค้าใหม่แล้วเรอะ?” ซูเทียนจิขมวดคิ้ว

 

จากนั้นเธอสตั้นเมื่อหันไปเห็นถ้วยบะหมี่ ขวดโค้กเปล่าพร้อมถ้วยฮาเก้นดาสที่ว่างเต็มโต๊ะ เธอทำหน้าเจื่อนเมื่อได้สติ เธอซัดทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว

 

เธอรู้สึกเหมือนว่าคาเฟ่นี้มีของว่างมากมายเต็มไปหมด นั่นมันเป็นเพียงภาพลวงตาหรอกหรือ?

 

“เรา ..” ตงชิงลี่ก็รู้สึกหิวเช่นกัน เธอกำลังจะชวนกิน แต่.. “เอ่อ ดูเหมือนว่าข้าก็ซัดไปไม่น้อยเลย”

 

องค์หญิงพร้อมองค์ชายทั้งสองและสาวกจากสามสำนักที่เพิ่งดูละครเสร็จเหลือบมองไปที่โต๊ะคอมของตัวเองและต่างพูดไม่ออก

 

“ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าสักวันเราจะไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าเดินทางกลับแน่” หลิวหยุนพูดอย่างหดหู่

 

“ฉันก็คิดเช่นนั่น” เซียวเลงยูพูดด้วยเสียงสลด “ต่อจากนี้ข้าจะงดของหว่าง!”

 

“ถูกต้อง!” ยิ่งซงซวนกล่าว “เรามาที่นี่เพื่อฝึกฝน!”

 

“ใครอยากเล่น Diablo? มารวมทีมกัน” องค์ชายห้าตะโกน

 

“ข้า!”

 

“ข้าด้วย ข้าเป็นนักเวทย์ระดับสี่ และได้เรียนรู้ทักษะอันแข็งแกร่งผ่านมาแล้ว”

 

“ข้าเป็นแอสซาซินระดับสาม ข้าร่วมด้วย”

 

เสียงผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ

 

“ไม่มีละครให้ดูงั้นก็เล่นเกมแทนละกัน”

 

“ท่านเรามาเล่น CS กันมั้ย?” ซูเทียนจิเอ่ยชวน เธอรู้สึกหมดหนทาง

 

“CS หรอ?” ฟางฉีตอบตกลง “ข้าจะเล่นกับพวกท่าน แต่อย่าว่ากันนะถ้าข้าได้ฆ่า”

 

“…” ซูเทียนจิ

 

“เราเอายังไงกันดี?” ตงชิงลี่และจางวันยูมองหน้ากัน

 

“งั้นเล่นเซียนกระบี่พิชิตมารกันเถอะ!”

 

“ได้! ลุย!”

 

 

ขณะเดียวกันนายกจางกับชายวัยกลางคนผู้มีสายตาอันแหลมคมรูปร่างผม เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้เป็นผู้คุ้มกันที่มีความแข็งแกร่งด้านเพาะปลูกอย่างดี

 

พวกเขานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์พร้อมด้วยถ้วยบะหมี่ขวดโค้กอันว่างเปล่าแถมถ้วยฮาเก้นดาส

 

นายกจางนั่งลูปเคราะและคร่ำครวญ “ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ข้าได้เล่นเกมและดูละคร ข้ารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ได้รับวิ่งทั่วร่างกาย ข้าละสงสัยจริงว่าทำไมข้าถึงรู้สึกเช่นนี้”

 

“ท่านจาง!” ชายวัยกลางคนเรียกเขาด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง

 

“ว่างไงท่านผู้คุมเบียน มีปัญหาอะไรรึ?” นายกจางหันไปถามเขา “ท่านละรู้สึกถึงความอบอุ่นในร่างกายบ้างมั้ย?”

 

“กระแสเลือดอุ่น?” เบียนนั่งคิดอยู่ครู่ “ความรู้สึกคล้ายกับกระแสน้ำอื่นไหลเวียนน่ะหรือ? ข้าว่ามันต้องเป็นเพราะ ..”

 

“ได้รับพลังภายใน?” นายกจางทำหน้านิ่ง

 

“ใช่แล้ว!” เบียนยิ่งตอบกลับ “มันเป็นสิ่งสำคัญทางจิตวิญญาณมันอาจรู้สึกได้ทั้งว่องไวและหนักหน่อง ท่านมีความรู้สึกแบบไหน?”

 

“ข้ารู้สึกหนัก!” นาจกจางตอบ

 

จากนั้นเขารู้สึกตัวสั่น “ฉัน .. กำลังได้รับการบ่มเพาะหรือ?”

 

“โปรดยื่นมือซ้ายของท่านออกมา” เบียนยิ่งจับมือเขาสัมผัสได้ถึงพลังฉีในตัวนายกจาง เขาเองเป็นนักรบที่ทรงพลังมากอยู่แล้ว แต่นายกจางเป็นแค่คนธรรมดาที่ไร้ความสามารถใด

 

แต่อย่างไรก็ตามคนทุกคนสามารถได้รับการบ่มเพาะให้เป็นนักรบได้ แต่สำหรับผู้ที่ไร้ความสามารถหรือความสามารถต่ำต้องใช้เวลาฝึกอย่างมาก

 

เมื่อเบียนยิ่งได้สัมผัสมือนายกจาง เขารู้สึกได้ถึงพลังภายในบริสุทธิ์ในระดับกลางที่เต้นอยู่ในร่างกายของนายก

 

“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านนายก ท่านได้รับพลังภายในอันบริสุทธิ์ แม้ว่ามันยังไม่มากมานนักแต่ท่านมีศักยภาพที่จะเป็นนักรบได้!” ผู้คุมเบียนยิ่งเอ่ย เขายิ้มด้วยความจริงใจ

 

ด้วยสภาพร่างกายของนายกจางเขาไม่สามารถที่จะเข้าร่วมการบ่มเพาะได้ ซึ่งเป็นเรื่องยากมากที่จะรับการฝึกฝน แต่เมื่อได้รับข่าวดี เขารู้สึกมีความหวังมากกว่าเดิม

 

“ข้าไม่มีความสามารถในด้านนี้เลย ข้าไม่ได้พยายามที่จะฝืนทำมันด้วยซ้ำแต่สองสามวันนี้ข้ารู้สึกร่างกายของข้าเปลี่ยนแปลงไปมาก” นายกจางกล่าวด้วยความภูมใจ “ข้าได้มันมาอย่างไร ..”

 

เบียนยิ่งชี้นิ้วไปที่คอมพิวเตอร์ “หรือมันอาจจะเป็นผลจากสิ่งประดิษฐ์ทางวิญญาณนี้”