ทหารเฝ้าประตูมาแล้วทั้งคืน พวกเขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งคู่สบตากัน
“เจ้าคิดว่าฉินอ๋องเป็นคนทำหรือท่านแม่ทัพเฉินเป็นคนทำ”
“เจ้าไม่ได้ยินเสียงข้างในหรือไง ไม่มีเสียงเงียบเลยทั้งคืน ข้าเดาว่าฉินอ๋องกับท่านแม่ทัพเฉิน——จัดการคนละทีมั้ง”
แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะฮ่าๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็พอจะเดาออกบ้าง เมื่อคืนเรื่องที่มีคนสั่งให้ทิ้งตะบันไฟ ก็คงเป็นผู้ตรวจราชการเหลียงนั่นแหละที่เป็นคนทำ นางถามเพิ่ม ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนนี้ เหลียงป๋อคุนรอฉินอ๋องอยู่ด้านล่างอยู่นาน แต่ไม่เห็นฉินอ๋องลงมาสักที คนในกองทัพเริ่มโหวกเหวกขึ้นมา เพราะกลัวว่าฉินอ๋องจะประสบภัยอันตราย ไม่ควรนิ่งเฉยอยู่ตรงนี้อีกต่อไป
เขารู้ดีว่าเฉินจ้าวไม่ยอมแน่ ก็เลยฉวยโอกาสตอนที่เฉินจ้าวไม่ทันระวัง ส่งลูกน้องขึ้นไปแล้วแอบทิ้งตะบันไฟเพื่อทำเป็นชนวนระเบิด โดยให้เหตุผลว่าจะขึ้นไปช่วยคน
ช่วยคน? ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่ว์ปายอมพลีชีพ คงถูกผู้ตรวจการเหลียงฆ่าตายไปตั้งนานแล้ว
ชุดทหารของเฉินจ้าวยังไม่ทันถอดออก เขายังคงนั่งอยู่ตรงเก้าอี้พนักผิง แม้ได้ข่าวว่านางรอดพ้นจากอันตรายแล้ว ก็เพิ่งจะรู้สึกโล่งอกจริงๆ ก็ตอนที่เห็นนาง เขายืนขึ้นและเดินไปต้อนรับ คุกเข่าลงพรวด “เพราะข้าทำให้พระชายาต้องตกอยู่ในอันตราย! โปรดลงโทษข้าด้วยเถิด!”
อวิ๋นหว่นชิ่นถึงกับตกใจ นางวางถาดน้ำชาลงที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว และพยุงตัวเขาขึ้นมา “เพราะข้าหลอกล่อบังคับให้พี่ใหญ่พาข้ามาที่นี่ จะลงโทษได้อย่างไรกัน! ลุกขึ้นเถิด! จะกล่าวโทษใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พี่ใหญ่!” ชายหนุ่มสวมใส่ชุดทหารที่หนักอึ้งจนนางดึงขึ้นไม่ไหว นางจึงหันหน้าไปหาคนบางคนที่นั่งนิ่งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านอ๋องสามพูดอะไรหน่อยสิเพคะ…”
ซย่าโหวซื่อถิงผู้มีใบหน้าไร้สีเลือด เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “อ๋อ ท่านแม่ทัพลุกขึ้นเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยโล่งอกไปที นางยิ้มและกล่าวว่า “เห็นไหมเล่า ท่านอ๋องสามยังไม่ว่าอะไรเลย พี่ใหญ่รีบลุกขึ้นเถิด”
เฉินจ้าวจึงลุกขึ้น แต่ไม่ทันไร อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่ามีบางอย่าง ผ่านหน้านางไปอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน ซึ่งสิ่งนั้นก็คือซย่าโหวซื่อถิงได้ลุกขึ้นและเดินถึงมาตรงนี้แล้ว เขาใช้หมัดเร็วชกเข้าที่อกของเฉินจ้าว!
ในเมื่อคิดบัญชีกับคนนอกเสร็จแล้ว ถึงเวลาคิดบัญชีกับคนในบ้างล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อหนุ่มนี่ นางจะตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร
หมัดนี้รุนแรงแค่ไหนอวิ๋นหว่านชิ่นไม่รู้หรอก นางรู้แค่ว่ารูปร่างสูงใหญ่ของเฉินจ้าว พอถูกหมัดนี้ชกเข้าไปก็ถึงกับถอยหลังไปหลายก้าวทีเดียว จนโต๊ะ เก้าอี้ โต๊ะน้ำชาที่ถูกเขาชนก็เซไปเซมา หากไม่ใช่คนที่ฝึกทักษะการต่อสู้และหยุดเท้าเอาไว้ได้ก่อน ก็คงล้มลงไม่เป็นท่าแน่ๆ!
ตาคนนี้นี่ คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกะทันหันแบบนี้เลยหรือไง! อวิ๋นหว่านชิ่นแอบโกรธ นางถลนตาใส่เขาหนึ่งที
องครักษ์ที่อยู่ข้างนอกได้ยินการเคลื่อนไหวข้างใน พวกเขากลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น จึงผลักประตูเข้าไป เห็นแต่เฉินจ้าวกุมหน้าอกเอาไว้ ส่วนเก้าอี้ล้มอยู่ที่พื้น ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาถึงกับตกใจ จัดการผู้ตรวจราชการเหลียงมาทั้งคืนแล้ว เหตุใดสองคนนี้ถึงทะเลาะกันเองเสียงอย่างนั้น ทั้งคู่อ้ำอึ้ง “เกิด…อะไรขึ้นขอรับ ท่านอ๋อง”
“ไม่มีอะไร” ฉินอ๋องตอบ เขาสะบัดแขนเสื้อและหันหลังกลับไปนั่งที่เดิมพร้อมกับสีหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มียุงเกาะอยู่ที่เสื้อของท่านแม่ทัพเฉิน ข้าช่วยปัดออกน่ะ”
เฉินจ้าวนวดอกไปมา รู้ว่าตัวเองมีความผิด ถึงจะโดนชกแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงหันไปเก็บโต๊ะและเก้าอี้ขึ้นมา และสั่งให้องครักษ์สองคนออกไป “ใช่ ออกไปเถอะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกไม่พอใจที่เห็นเขารังแกเฉินจ้าวแบบนี้ เขาใช้ตำแหน่งกดขี่ผู้อื่น เฉินจ้าวไม่มีสิทธิ์ตอบโต้เลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากเชิญองรักษ์สองคนออกไปจนประตูปิดสนิท นางทนไม่ไหวอีกต่อไป “ข้าบอกแล้วว่าข้าใช้ทุกวิถีทางบีบบังคับให้ท่านแม่ทัพเฉินพาข้ามาที่นี่ นี่ท่านอ๋องทำอะไรลงไป”
เดิมทีท่านอ๋องโกรธเฉินจ้าวเพียงแค่สามส่วน แต่พอเห็นนางปกป้องเฉินจ้าว ความโกรธก็เพิ่มขึ้นมาอีกเจ็ดส่วน ตอนนี้หน้าเขาชาไปหมดแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลาเริ่มขมวดคิ้ว ส่วนท่าทางคือคนที่ทำอะไรไม่ได้ เขาหันหน้าไปทางเฉินจ้าว “ไหนเจ้าลองพูดมา ข้าทำอะไรเจ้างั้นรึ”
เฉินจ้าวอ้ำอึ้ง กลัวว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันเพราะตน เขาจึงขยี้ที่อกและตอบว่า “ไม่เลยขอรับ เพียงตบยุง”
ซย่าโหวซื่อถิงจึงหันหน้าไปหาอวิ๋นหว่านชิ่น “เห็นหรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นเพิ่งเคยเห็นเขาไร้เหตุผลเช่นนี้ เมื่อเห็นเฉินจ้าวยอมให้เขาอีกครั้ง นางยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม “ข้าช่างอยากเห็นยิ่งนัก ในฤดูหนาวเช่นนี้ที่ไหนจะมียุง! คนตบยุง ตบจนกระดูกผู้อื่นแทบจะหักแล้วกระมัง ใช้ตำแหน่งกดขี่ผู้อื่น คิดว่าเก่งแค่ไหนกันเชียว”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่เคยคิดว่าการใช้ตำแหน่งกดขี่ผู้อื่นเป็นเรื่องที่เก่งกาจ แต่วันนี้ เขาไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นพี่ชายของเพื่อนสนิทของอวิ๋นหว่านชิ่น ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก เป็นเด็กชายเด็กหญิงที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เยาว์วัยละก็ อาจเป็นไปได้ว่าเขาจะฆ่าเขาให้ตายเสียตอนนี้เลย
แต่แล้วซย่าโหวซื่อถิงก็ต้องเก็บความโกรธนี้เอาไว้ก่อน “ถ้ามันเก่งจริง เจ้าก็ให้มันมากดขี่ข้าสิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเฉินจ้าวยังจับหน้าอกอยู่ ก็เลยรู้ว่าคงเจ็บอยู่ไม่น้อย นางไม่อยากเถียงกับเขาอีกต่อไป นางหันไปรินชาร้อนและยื่นให้ “พี่ใหญ่นั่งดื่มน้ำก่อน”
เฉินจ้าวรับแก้วน้ำชามา และเหลือบมองคนที่นั่งอยู่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ซย่าโหวซื่อถิงรู้สึกว่า สายตาเมื่อครู่เต็มไปด้วยการโอ้อวด ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นคนชกใส่เขา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนโดนเขาชกเข้าที่อก มันจุกไปหมด เสียงลมหายใจดังฟึดฟัด เขาหันไปมองอีกครั้ง ครั้งนี้ ในสายตาของเขาเต็มไปด้วยการข่มขู่ เขายังไม่ได้ดื่มเลย คนอื่นก็อย่าคิดว่าจะได้ดื่ม
อวิ๋นหว่านชิ่นมองและบึนปากใส่ เชื่อเขาเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเอาความโกรธเด็กๆ แบบนี้มาจากไหนกัน ช่างน่าเบื่อสิ้นดี นางรินน้ำชาและเดินเข้าไปหา “ท่านอ๋องดื่มน้ำด้วยสิเพคะ พักเสียหน่อยเถอะ หารือกันทั้งคืนแล้ว แล้วยังใช้แรงไปอีก คงเหนื่อยแล้วล่ะเพคะ”
ใบหน้าอันมึนตึงของซย่าโหวซื่อถิงเริ่มคลายออก เขายกน้ำชาขึ้นอย่างผู้ชนะ ยกขึ้นดมกลิ่นชาตามสัญลักษณ์
เฉินจ้าวจิบน้ำชา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองอวิ๋นหว่านชิ่น และถามออกไปแบบลอยๆ “ใส่พุทราในน้ำชารึ?”
“เปล่า เป็นชาเขียวทั่วๆ ไป” อวิ๋นหว่านชิ่นตอบ
“งั้นหรือ ข้าได้กลิ่นเปรี้ยวลอยอยู่เต็มห้อง นึกว่าใส่พุทราเข้าไปซะอีก” เฉินจ้าววางถ้วยน้ำชาลง จากนั้นลุกขึ้นยืน สองมือยกขึ้นระดับอกทำท่าคำนับ อมยิ้มและกล่าวว่า “ข้าน้อยขอตัวไปจัดการเรื่องที่เหลือก่อนขอรับ ไม่รบกวนเวลาของท่านทั้งสองแล้ว”
“ข้อดีของท่านแม่ทัพเฉินก็คือรู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดี” สำหรับเรื่องที่เขาแอบบอกเป็นนัยว่าเขาหึงหวง ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพราะอยากจะไล่ออกไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่อวิ๋นหว่านชิ่นอยู่ตรงนี้ จึงพูดตรงๆ ไม่ได้ ในเมื่อเขารู้ตัวเองดี ก็แปลว่าไปได้ไกลแค่ไหน ก็ไปเสียจะดีกว่า
เฉินจ้าวเดินมาถึงหน้าประตู เขาหันกลับไป และแอบชกเข้าที่อกหนึ่งทีพร้อมกับพูดว่า “หมัดนี้ข้าจะเหลือไว้ให้ท่านอ๋อง หากท่านไม่ดูแลน้องสาวข้าให้ดี ข้าจะเอาคืนท่านทีเดียว”
ประตูถูกเปิดออก จากนั้นก็ถูกปิดลง เฉินจ้าวเรียกองครักษ์สองคนที่อยู่หน้าประตูไปด้วย ห้องโถงทั้งด้านในและด้านนอกเงียบสงบ
อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บแก้วน้ำชาของเฉินจ้าวไว้อย่างเป็นระเบียบ กะว่าเดี๋ยวออกไปจะได้ยกออกไปง่ายๆ นางเก็บกวาดอยู่ดีๆ ก็อดใจไม่ไหว “ครั้งนี้ ท่านอ๋องอย่าได้ถือโทษโกรธพี่เฉินเลยนะเจ้าคะ ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาคว้าเอวและเอามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็วปานพายุ
เรียกซะสนิทเชียวนะ คำก็พี่สองคำก็พี่ คนที่ได้ยินรู้สึกรำคาญยิ่งนัก ใช้การปฏิบัติยับยั้งการเรียกขานที่สนิทสนมมากเกินไปของนางก็แล้วกัน
เพล้ง แก้วน้ำในมือตกลงที่โต๊ะน้ำชาจนแตกหักเสียงดัง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังหลังจากที่ได้พบกันอีกครั้ง พวกเขามีเวลามากพอที่จะใกล้ชิดและมองซึ่งกันและกัน แต่ไม่รู้ทำไม ต่างคนต่างพูดอะไรไม่ออกเลย