ช่างเถอะ แค่นางปลอดภัยก็ดีกว่าสิ่งอื่นใด
ภายในห้อง เหลือเพียงเสียงลมหายใจของชายหญิงคู่นี้
แล้ว——อวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกว่ามือของเขาวางอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องเท่าไหร่ นางขัดขืนเบาๆ และพูดเสียงเบาว่า “ระวังคนอื่นเห็นเพคะ”
ชายหนุ่มก้มศีรษะลง ริมฝีปากแนบอยู่ที่หูสีชมพูของนาง ถูไถอยู่บริเวณนั้นอย่างแผ่วเบา เสียงที่เปล่งออกมาเร่าร้อนแหบซ่าราวกับถูกไฟเผา เขารัดสองแขนของนางไว้ในอ้อมแขน “ขอกอดเพียงครู่เดียว ครู่เดียวเท่านั้น” แล้วเขาก็สูดดมหลังหูของนางเบาๆ กลิ่นตัวอันหอมหวานของนางไหลเวียนอยู่รอบจมูกของเขา
ก็ควรจะรู้ว่าเป็นนางตั้งแต่แรกแล้ว จะมีใครมีกลิ่นตัวหอมแบบนางอีก แถมยังขับไล่สาดส่งนางตั้งหลายครั้ง
แล้วยัง——
เขานึกบางอย่างขึ้นได้ เขาจับแขนเรียวยาวของนางและพับแขนเสื้อขึ้น วันนั้นเขาทำนางล้มที่ริมสระกับห้องนอนถึงสองครั้ง แต่พอเห็นแขนของนางขาวเหมือนหิมะ และเรียบเนียนไร้รอยแผล เขาก็รู้สึกโล่งใจ แต่พอเหลือบไปเห็นเล็บบนนิ้วเรียวยาวของนางที่ยังบวมไม่หายดี ก็ทำให้นึกถึงห้องทรมานขึ้นมา นางคงเจ็บไม่น้อย ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกต แต่พอได้เห็น ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงไม่พอใจว่า “เหลียงป๋อคุน คงยังไม่เข็ด”
อวิ๋นหว่านชิ่นเรียกเขา และพูดถึงผู้ตรวจราชการเหลียง นางถามออกไปอย่างเบาๆ ว่า “เรื่องที่ผู้ตรวจราชการเหลียงระเบิดภูเขาเมื่อคืน ท่านอ๋องสงสัยไหมเพคะ ข้ารู้สึกว่า เขาไม่ได้ทำไปเพราะอยากช่วยท่านอ๋อง แต่อยากฉวยโอกาสกำจัดท่านอ๋อง”
แขนที่ตรงเอวคลายออก แล้วก็รัดแน่นอีกครั้ง
ทั้งคู่มีความสงสัยเหมือนกันโดยไม่ได้ปรึกษากันมาก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกได้ว่าเขาสงสัยผู้ตรวจราชการเหลียงเหมือนกัน จึงถามออกไปว่า “ถ้าเขาฉวยโอกาสกำจัดท่านอ๋องจริง เหตุใดถึงไม่กล่าวโทษและจับเขาทันทีล่ะเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงหมุนตัวนางกลับมาและจ้องหน้านางเอาไว้ ใบหน้าใบนี้ ยังคงเป็นใบหน้าอันหยาบกร้าน แต่ดวงตาที่ส่องประกายแวววาวคู่นั้น ยังคงเป็นดั่งท่าเรือที่เงียบสงบของเขา เขาตอบนางว่า “ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ก็ไม่ควรแหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อวานเพิ่งเกิดเรื่องวุ่นวาย ต่อให้กล่าวหาความผิด เขาก็แก้ตัวได้ว่า เขาตัดสินใจกระทำเช่นนั้นโดยพิจารณาจากสถานการณ์ อย่างมากก็แค่เป็นการตัดสินใจผิดพลาด มีเหตุผลให้อ้างถึงทุกทาง” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นเสียงก็เปล่งออกมาดังฟังชัดว่า “ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของข้า โดนคนอื่นทำร้ายน้อยครั้งหรือ เหลียงป๋อคุนน่ะหรือ ไม่อยู่ในอันดับนั้นของข้าหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงสิ่งที่หลี่ว์ปาพูด กำลังจะเอ่ยปาก แต่เขายกมือขึ้นและลูบที่หัวของนางเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร เจ้ามิต้องเป็นห่วง”
น้ำเสียงนี้ถือว่านุ่มนวลพอควร แต่ก็แอบแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม และไม่ต้องการให้นางวิจารณ์เรื่องนี้อีก
เมื่อเห็นว่าเขามีแผนอยู่แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่พูดอะไรอีก
ชายหนุ่มเห็นว่านางเงียบไป จึงส่งแรงไปที่มือมากขึ้น โอบรัดเอวแน่นขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็เปลี่ยนไป เขายิ้มและกล่าวว่า “เจ้ากลัวหรือ เวลาที่สามีสั่งสอน ก็น่ากลัวอยู่ใช่หรือไม่”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกจักกะจี้ไปหมด เวลาที่เขาโดนตัวนาง นางยังกลัวคนอื่นมาเห็นเข้า จึงได้ผลักเขาออก “ใช่ๆ ข้ากลัวมากเลยเพคะ บ่าวขอตัวก่อนนะเพคะ ออกมาพักใหญ่แล้ว ควรจะกลับแล้ว ข้ากลัวว่าอู๋ผอจื่อจะถามหาเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงดึงดันไม่ยอมปล่อย และกล่าวด้วยความโกรธว่า “ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี สามีกอดภรรยา ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจร”
แต่ก็ต้องอดทนไว้แม้อยากจะขย้ำนางแค่ไหนก็ตาม เขาคลายมือออก และไม่อยากให้ใครสงสัยเหมือนกัน
หลังจากทั้งคู่แยกออกจากกันแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นยกถาดน้ำชาขึ้น ก่อนจะเดินออกไป นางก็ยังอดใจไม่ไหว และกล่าวกับเขาด้วยสีหน้าตึงเครียด “ศพของหลี่ว์ปาฝังอยู่ที่สุสานไร้ระเบียบเหมือนกับคนอื่นๆ หรือเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงมองหน้านาง จากนั้นตะโกนเรียก “เหยาอัน”
ซือเหยาอันผลักประตูเข้ามา มองหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นและทำความเคารพนาง จากนั้นเขาเดินเข้าไปฟังคำพูดกระซิบ และหันกลับมาพูดกับนางว่า “พระชายา เชิญตามข้ามาทางนี้ขอรับ”
ซือเหยาอันไปนำรถม้าออกจากคอกม้า แล้วทั้งสองก็ขึ้นรถม้าและใช้ทางออกประตูขวามือของค่ายบัญชาการ เดินทางกันด้วยความรวดเร็ว เวลาผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงแอ่งอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในตงเฉิง ซึ่งแอ่งแห่งนี้ห่างจากพื้นที่เมื่อคืนหนึ่งถึงสองลี้
ด้านล่างของแอ่ง เป็นหลุมฝังศพที่เรียงกันเป็นชั้นๆ บรรยากาศเงียบสงบ มีธูป มีป้ายฝังศพ ทะเลสาบใสที่อยู่ถัดไป มีน้ำไหลพลิ้วไปตามสายลม เป็นสถานที่ที่ดูร่มเงาและเงียบสงบ
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ด้านบนตามซือเหยาอัน เห็นซือเหยาอันชี้นิ้วไปยังหลุมฝังศพอันใหม่ “หลี่ว์ปาเคยช่วยพระชายา ท่านอ๋องรู้ว่าพระชายาเป็นผู้ที่หากมีบุญคุณ ก็ต้องทดแทน กลัวว่าท่านจะเป็นห่วง ท่านจึงสั่งให้ทางการของเยี่ยนหยางรายงานผลงานของหลี่ว์ปา หักลบโทษออกไป เมื่อเช้านี้ท่านอ๋องสั่งให้คนนำศพออกมา สั่งให้คนในอี้จวงชำระล้าง เปลี่ยนผ้าห่อศพ ซื้อโลงศพอย่างดีให้กับเขา และส่งมาไว้ที่นี่ ที่แห่งนี้ค่อนข้างอยู่ไกล แต่เงียบสงบ ฮวงจุ้ยดี เป็นสถานที่ฝังศพที่ดีแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ ท่านยังชำระค่าทำความสะอาดและค่าสักการะให้กับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ นี้อีกด้วย”
ด้านหน้าหลุมศพใหม่ มีผลไม้และเนื้อตุ๋นวางเอาไว้เป็นของเซ่นไหว้ มีธูปเทียนสองชุดวางอยู่ด้านข้าง ควันธูปลอยเอื่อยอยู่ตรงนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นน้ำตาคลอเบ้า แล้วนางก็เห็นมีแผ่นหลังของคนๆ หนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสุสาน สวมใส่ชุดกระสอบ แผ่นหลังเล็กของคนนั้นกำลังกระตุก คล้ายคนกำลังร้องไห้
“หลี่ว์ชีเอ๋อร์?”
ซือเหยาอันพยักหน้า “ท่านอ๋องสามเป็นคนจัดการเหมือนกัน ท่านบอกเป็นการส่วนตัวกับนางว่าให้นางมาสักการะบูชา คงทำพิธีทางการให้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ให้น้องสาวของเขามาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
ด้านหน้าสุสาน แผ่นหลังของหญิงตัวเล็กได้หันกลับมามองคล้ายว่าได้ยินเสียงของคนสองคน ท่าทางของนางแอบตกใจ นางลุกขึ้นและเดินมาทันที แต่พอเอ่ยปาก เสียงนั้นแทบฟังไม่ได้เลย “แม่นางชิ่งเอ๋อร์มาสักการะบูชาพี่ชายด้วยหรือ ชีเอ๋อร์ขอขอบใจ”
แม้ว่าจนถึงตอนนี้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้นาง แต่พอเห็นนางร้องไห้ฟูมฟาย และรู้สึกผิดอย่างแท้จริง น้ำเสียงที่นางเอ่ยออกไปก็ถือว่าอ่อนโยน “ข้าเสียใจด้วยนะ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นท่าทางที่เย็นชา นางจึงฟาด เพียะ ไปที่หน้าของตัวเองหนึ่งที “เป็นเพราะข้าเอง! ข้าไม่คิดว่าจะเป็นการทำร้ายพี่ชาย…ข้าแจ้งให้ทหารไปจับเขา เกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนเมื่อตอนอยู่ที่ราบ ล้วนแต่เป็นเพราะข้าไม่อยากให้เขาเดินในทางที่ไม่ถูกต้อง…ข้าไม่คิดเลยว่าพี่ชายจะตายแบบนี้…”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนาง “เจ้าพูดพวกนี้ในตอนนี้ จะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า บางทีพี่ชายของเจ้าอาจจะไม่ต้องตาย แต่พี่เจ้ากลัวว่า ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ มันจะมีผลกระทบต่อชื่อเสียงของเจ้า ทำให้เจ้าไม่สามารถพบปะผู้คนได้ เขาจึงเลือกตายไปพร้อมกับโจรป่า และได้สร้างผลงานเอาไว้ และยังไม่ทำให้เจ้าต้องลำบาก ตอนนั้นเขาไม่ได้ช่วยเจ้าออกจากมือของทหารทันที เจ้าก็อย่าได้ถือโทษโกรธเขาเลยนะ พี่เจ้าหยิบรูปเจ้าขึ้นมาดูและโทษตัวเองทุกครั้ง แต่สิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ เขาคงไม่มีโอกาสได้ฟังมันอีกแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าจะยังมีชีวิต เขาก็คงไม่อธิบายให้เจ้าขนาดนั้น คนอย่างพี่ชายเจ้า มีอะไรก็ไม่เคยพูด แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์อึ้งอยู่พักใหญ่ ใบหน้าจากซีดขาวกลายเป็นสีแดง น้ำตาที่ไหลก็หยุดลงไม่ได้เลย นางคุกเข่าลง “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ข้ามีพี่ชายเพียงคนเดียว มีน้องชายหลายคน พ่อแม่ก็จากไปเร็ว พี่ชายเป็นคนเลี้ยงดูข้า ฐานะก็ยากจน แม้แต่เมียยังหาไม่ได้ แต่ไม่เคยทำให้ข้าต้องลำบาก แม้ข้าจะเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยคิดอยากให้พี่ชายต้องตาย แต่ครั้งนี้ ข้าไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ข้ากลัวมาก…ข้านึกว่าพี่ชายตายเพราะพัวพันกับพวกโจร แต่คิดไม่ถึงว่าตายเพราะทำเพื่อข้า! ข้า…จะมีหน้ามีชีวิตต่อได้อย่างไร…” พอพูดถึงตรงนี้ นางสะอื้นจนแทบพูดไม่ออกอีก
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางร้องไห้ถึงเพียงนี้ ท่าทีก็พอจะอ่อนโยนลงมาบ้าง นางส่งสัญญาณให้ซือเหยาอันพยุงนางขึ้นมา “เพื่อพี่ชายของเจ้า ต่อจากนี้ไป ใช้ชีวิตให้ดีก็แล้วกันนะ”