หลี่ว์ชีเอ๋อร์ร้องไห้หนักมาก นางร้องสะอึกสะอื้นจนตัวโยน แต่แล้วนางก็เผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา “ใช้ชีวิตให้ดีอย่างนั้นหรือ คนในเยี่ยนหยางรู้กันหมดแล้วว่าข้าทรยศพี่ชายตัวเอง…ข้ามันคนอกตัญญูไม่รู้จักบุญคุณ ใครเห็นข้าก็คงมีแต่อยากถุยน้ำลายใส่ข้า แล้วข้าจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่หลี่ว์ชีเอ๋อร์ผลักซือเหยาอันออก และเดินไปทางพระราชนิเวศน์ด้วยท่าทางที่ไร้วิญญาณ
รู้ตัวอีกที ภายในเมืองเยี่ยนหยาง ก็ผ่านมาแล้วสามวัน
การก่อกบฏในเมืองจบและสงบลงแล้ว บ้านเมืองเริ่มฟื้นตัวไปในทางที่ดีขึ้น
กำลังของกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองได้หมดลง พวกเขาถูกจับและรอการตัดสินจากทางการ
ส่วนฝั่งโจรป่า มีคนของซานอิงสิบกว่าคนหนีรอดไปได้ กำลังอยู่ระหว่างจับตัว
ซย่าโหวซื่อถิงเริ่มวางระบบภายในใหม่ เมื่อเหตุจลาจลได้สิ้นสุดลง ปัญหาหลักที่ต้องแก้ไขคือช่วยเหลือเหล่าผู้ประสบภัย ทำให้พวกเขาสงบลงชั่วคราว หลังจากที่หารือกับเฉินจ้าวเสร็จ ได้ตัดสินใจนำเสบียงของตนและของทหารในสกุลเฉินออกมาแจกจ่าย พวกเขาเลือกวันเวลา และจัดคนมาแจกจ่ายบรรเทาภัยที่หน้าประตูศาลาว่าการจังหวัด
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกประหลาดใจกับชายหนุ่มสองคนนี้ หลังจากทะเลาะกันในวันนั้น ทุกครั้งที่คุยเรื่องงาน จะดูสนิทสนมอย่างกับพี่น้องแท้ๆ แต่พอคุยงานเสร็จ กลับเย็นชาต่อกันอย่างรวดเร็ว ทำหน้ามึนตึงเดินทางใครทางมัน ราวกับไม่เคยรู้จักฝ่ายตรงข้ามมาก่อน การเปลี่ยนแปลงบทบาทและความรู้สึกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องทั่วไปที่คนอื่นจะคุ้นชิน
คนที่ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่แจกจ่ายของบรรเทาภัยล้วนแต่เป็นสาวใช้ในค่าย อวิ๋นหว่านชิ่นเองก็เคยขออาสาอย่างผู้กล้าไปร่วมแจกด้วยครั้งหนึ่ง จากนั้นนางก็ขอไปด้วยทุกครั้ง ซย่าโหวซื่อถิงทำอะไรไม่ได้นอกจากตามใจ และสั่งให้ซือเหยาอันคอยเฝ้าดูไว้ให้ดี
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายจบลง ก็ควรกลับเมืองหลวงแล้ว แต่ในเมื่อรับตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางกลาโหมมาแล้ว ก็นับว่าเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปกครองของพื้นที่นั้นๆ ซย่าโหวซื่อถิงจึงตัดสินใจอยู่ต่ออีกสักหน่อย ให้เรื่องประสบภัยนิ่งกว่านี้แล้วค่อยว่ากันอีกที
แม้ว่าจวนของฉินอ๋องจะเป็นที่เงียบสงบ หาได้มีคนเคยถามไถ่ไม่ เพราะถึงอย่างไร ก่อนที่นางจะออกไป นางสั่งให้เกาจ๋างสื่อแจ้งกับวังว่าไม่สบาย ของดการน้อมคาราวะทักทาย แต่ซย่าโหวซื่อถิงแอบกังวลว่าจะมีเรื่องผิดพลาด อยากจะส่งนางกลับไปก่อน แต่นางไม่ยอม
พอคิดไปคิดมา ก็แค่ไม่กี่วันเท่านั้น และไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่เพิ่งเจอกันก็ต้องจากกันแบบนั้นอีก ซย่าโหวซื่อถิงก็เลยไม่บังคับนาง กังวลก็แต่ลำคอของนางจะได้รับบาดเจ็บ เขาจึงสั่งห้ามนางใช้ควันที่ทำให้เสียงแหบอีก
บ่าวใช้ในพระราชนิเวศน์เห็นแม่นางชิ่งเอ๋อร์เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้นทุกๆ วัน โดยเฉพาะหลังจากที่รอดชีวิตกลับมา นางได้เข้าไปรับใช้ในห้องเป็นประจำ บ่าวใช้คนอื่นต่างอิจฉายกใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะไร้รูปโฉม ก็คงถูกซุบซิบนินทาว่านางถูกท่านอ๋องเรียกเข้าไปรับใช้ถวายตัวแล้ว
หลังจากแบ่งปันเสบียงบรรเทาภัยอยู่หลายวัน เสบียงอาหารของฉินอ๋องกับเสบียงของทหารสกุลเฉินเริ่มไม่พอแล้วเช่นกัน เพราะการมาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อบรรเทาภัย เสบียงที่นำมาด้วยนั้นก็มีจำกัด คงไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านทั้งเมืองฉังชวนได้
เที่ยงวันของวันนี้ ซย่าโหวซื่อถิงกับเฉินจ้าวที่อยู่ในห้องทำงาน มีการพูดคุยถึงสองเรื่องใหญ่
เรื่องแรก ข่าวการตามหาลูกน้องของซานอิงสิบกว่าคน พบเบาะแสและกำลังส่งคนไปจับตัว เรื่องถัดมา ค่าใช้จ่ายที่ช่วยเหลือด้านประสบภัยก่อนหน้านี้สูงมาก แค่กองทัพของเขาสองคนก็ไม่พอต่อความต้องการแล้ว เสบียงบรรเทาภัยอยู่ในมือเว่ยอ๋อง เขาไม่มีทางเอาให้แน่ จึงทำได้แค่เขียนจดหมายส่งไปยังเมืองหลวง
สีหน้าของทั้งคู่เคร่งเครียดมาก บรรยากาศในห้องตึงไปหมด
ภายในห้องทำงานที่ปิดสนิท มีหญิงสาวสวมใส่ชุดสาวใช้นั่งอิงเฉียงๆ บนโซฟาฟูกนุ่มที่ทำจากหนังสือ ในตอนนี้สิ่งที่นางทำไม่สอดคล้องกับชุดที่นางใส่เลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่พักอิงอยู่บนฟูกนุ่ม แต่ในมือของนางยังถือหนังสือไว้เล่มหนึ่ง นางพลิกไปพลิกมาอย่างสบายใจเฉิบ
พอเห็นว่าทั้งคู่ไม่มีผลสรุปจากการหารือ คล้ายว่าจนมุมแล้ว นางปิดหนังสือและวางมันลง ดวงตาแวววาวคู่นั้นมองไปแว้บหนึ่ง และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมอบอำนาจในเรื่องบรรเทาภัยให้กับเว่ยอ๋อง เขียนจดหมายส่งไปยังเมืองหลวงเพื่อขอเสบียงบรรเทาภัยแบบนี้ เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่อนุญาตแน่ อาจจะกล่าวโทษที่พวกเราปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีอีกด้วย…บ่าวมีอยู่หนึ่งวิธีเพคะ จะลองดูไหมเพคะ”
ไม่ใช่เรื่องของนาง แต่นางก็ยังอยากมีส่วนร่วม เหตุการณ์เยี่ยนหยางในครั้งนี้ ทำให้นางกล้าหาญมากขึ้นมากกว่าเดิม
ซย่าโหวซื่อถิงมองนางด้วยหางตา แล้วจู่ๆ ก็ปวดหัว มันปวดยิ่งกว่าหาทางแก้ไขปัญหาตรงหน้าไม่ได้เสียอีก
หลังจากนั้นสามวัน ก่อนรุ่งอรุณ จดหมายด่วนจากอำเภอเพ่ยส่งมาถึงค่ายบัญชาการเยี่ยนหยาง
ผู้ส่งจดหมายของเว่ยอ๋องเหงื่อไหลพรากๆ ราวกับฝนตก เขายืนอยู่ด้านหน้าห้องโถง และรายงานสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “เมื่อคืนโจรพเนจรที่หนีออกจากเยี่ยนหยางเข้าไปถึงอำเภอเพ่ย จุดไฟเผาที่พักเว่ยอ๋อง ทั้งยังจับคนไปอีกหลายคน ก่อนหนีไป พวกเขาทิ้งท้ายไว้ว่าต้องนำเสบียงบรรเทาภัยไปแลกกับคน มิเช่นนั้นจะกลับมาอีก! ขอให้ฉินอ๋องและแม่ทัพเฉินจ้าวส่งกำลังทหารไปช่วยอำเภอเพ่ยด่วนขอรับ!”
มีเสียงพูดดังออกมาจากด้านใน เป็นเสียงที่ตกใจและเป็นห่วงกล่าววว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร คนของซานอิงช่างกล้าดีนัก เป็นแค่โจร บุกไปถึงอำเภอเพ่ย แล้วยังกล้าโจมตีที่อยู่ขององค์ชายอีก น้องห้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
“ท่านอ๋องมากด้วยบุญญาธิการ ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพลานี้ ท่านหลบภัยอยู่ที่จวนในอำเภอเจียงจือขอรับ”
“อ้อ ดีแล้ว” ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นที่ฟังการสนทนา ถึงกับขำ ผู้ชายคนนี้เวลาเล่นละครก็สมบทบาทพอควรเลยทีเดียว จากนั้นนางเห็นเขาเล่นแหวนหยก ท่าทางนั้นคล้ายว่ากำลังคิดบางอย่างอยู่ “แต่ว่าเยี่ยนหยางเพิ่งจะสงบ จำเป็นต้องมีทหารประจำการที่นี่ เพื่อป้องกันไว้ก่อน หากจะให้ส่งทหารไปอำเภอเพ่ย ก็เท่ากับว่ากำลังทหารในเยี่ยนหยางก็จะอ่อนลง”
คนส่งสาส์นได้ยินคนด้านในตอบแบบคนแกล้งโง่ เขาไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างฉินอ๋องกับเว่ยอ๋องเป็นอย่างไร ลูกน้องของทั้งสองฝั่งไม่มีใครไม่รู้ หากฉินอ๋องตกลงส่งกำลังไปช่วยทันที นั่นสิ ถึงน่าประหลาดใจมากกว่า!
ก่อนเดินทางมาที่นี่ เขาคิดมาแล้วว่าต้องตอบอย่างไร เขาทำท่าคำนับและกล่าวว่า “ตอนนี้เว่ยอ๋องรับผิดชอบเสบียงบรรเทาภัย มิอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ ทหารในแม่ทัพเฉินเดินทางมาเพื่อกำจัดโจรโดยเฉพาะ มีกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ด้วยเหตุและผล ก็ควรรีบไปปกป้องเว่ยอ๋อง หากฉินอ๋องไม่ใส่ใจ โจรเร่ร่อนพวกนั้นบุกมา ขโมยเสบียงไปอีก แม้ว่าท่านจะนิ่งดูดาย แต่ถ้าฝ่าบาททรงรู้เข้า ข้าเกรงว่าคงหนีไม่พ้นต้องรับผิดชอบเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
แม้ว่าน้ำเสียงของชายผู้นี้จะนุ่มนวล แต่สิ่งที่กำลังจะกล่าวกลับหนาวไปถึงหัวใจ “ถ้าข้าส่งทหารไปอำเภอเพ่ย เยี่ยนหยางที่เพิ่งจะสงบเกิดปัญหาขึ้นอีกครั้ง เจ้าจะรับผิดชอบแทนข้าด้วยหรือไม่”
ทหารส่งสาส์นตะลึงจนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร ท่านอ๋องยอมถูกฮ่องเต้ตำหนิแทนการไปช่วยเว่ยอ๋อง เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของชายหนุ่มลอยออกมาอีกครั้ง “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้ากลับไปบอกให้เว่ยอ๋องรีบนำเสบียงมาที่นี่ อย่างน้อยเสบียงก็จะได้รับการดูแลต่อ แล้วข้าก็ไม่ต้องย้ายกำลังทหารไปไหน ยิงนัดเดียวได้นกถึงสองตัว”
ทหารส่งสาส์นส่งเสียง ห้ะ ออกมา เว่ยอ๋องกักเก็บเสบียงเอาไว้ไม่ยอมแจก แต่ตอนนี้…นี่มันส่งเสบียงมาให้กับพวกเขาเลยไม่ใช่หรือ ตอนที่เขากำลังลังเลไม่รู้จะตอบอย่างไร เสียงของผู้ชายที่อยู่ด้านในส่งออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเสียงที่ไม่ยินดีนัก “มีปัญหาอะไรรึ จะรอโจรพวกนั้นบุกไปเป็นครั้งที่สองใช่หรือไม่? ประตูทิศตะวันออกของเยี่ยนหยางจะเปิดออกตั้งแต่ตอนนี้จนถึงพลบค่ำ หากพระอาทิตย์ตกดินแล้วน้องห้ายังมาไม่ถึง ข้าคงไม่อาจรอต่อไป คงต้องปิดประตูเสียก่อน”
ทหารส่งสาส์นถึงกับเหงื่อไหลทั่วแผ่นหลัง นี่มันบีบบังคับให้ท่านอ๋องห้าของเขาเข้ามายังเมืองนี้ชัดๆ แต่ในเมื่อเขายอมช่วยเพียงเท่านี้แล้ว คงพูดอะไรไม่ได้อีก เขาจึงออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปรายงานให้ทางนั้นรับทราบ
ภายในห้องโถงใหญ่ อวิ๋นหว่านชิ่นแอบมองคนของเว่ยอ๋องย่ำเท้าออกไปด้วยความรวดเร็ว ผ่านช่องว่างหน้าตาสลักลายดอกไม้ นางเห็นอย่างนั้นก็อดขำไม่ไหว นางหยิบถาดขึ้นมา และเตรียมตัวจะออกไป
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางจะไปแล้ว เขาจึงโพล่งขึ้นมาเพื่อขัดขวางเอาไว้ก่อน “เจ้าคิดว่าน้องห้าจะนำเสบียงมาด้วยหรือไม่” สู้บอกว่าอยากถามนาง เป็นอยากคุยกับนางมากกว่านี้ดีกว่า นางจะได้ไม่ต้องรีบออกไป ทุกครั้งที่อยู่คุยกับนาง ก็เอาแต่กลัวว่าคนอื่นจะสงสัยจึงไม่กล้าให้นางอยู่นาน