ตอนที่ 169.2 เข้ามาอาบน้ำในห้องข้า (2)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“เว่ยอ๋องมีเสบียง ท่านอ๋องสามมีทหาร” อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้าไปยิ้มพลางเอ่ย “ชีวิตสำคัญ หรือว่าตายไปพร้อมกับเสบียงสำคัญกว่า เว่ยอ๋องคงไม่โง่ขนาดนั้น” 

 

 

ลมหอมพัดกระโปรงไหว สาวใช้ยกจานขึ้นแล้วเดินออกไป 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงผงะ สบถคำหยาบในใจ รีบร้อนจากไปนัก 

 

 

อำเภอเพ่ยเป็นสถานที่เล็กๆ ยังไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าเย่ว์จิงแม้แต่ครึ่งเดียว แต่นายโลมในร้านเป็ดนั้นช่างอร่อยแตกต่างไป ไม่เหมือนชายรูปงามในเมืองหลวง ที่มีพิธีรีตองมากมาย แพรวพราวท่ามาก แต่ในอำเภอเล็กๆ นี้คือหนุ่มน้อยอ้อนแอ้นที่ถูกเลี้ยงมาจากครอบครัวยากจน กลืนเข้าไปแล้วนุ่มลื่นลิ้น สู้ฟันเป็นที่สุด แล้วก็ทำให้เว่ยอ๋องซื่อยวน เพลิดเพลินจนลืมทางกลับบ้าน 

 

 

เวหานั้นอยู่สูง ฮ่องเต้นั้นอยู่ไกล ในเมืองหลวง เว่ยอ๋องยังกล้าแอบเลี้ยงชายหนุ่มรูปงามไว้ในจวน พอมาถึงนอกพื้นที่ ก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน เพิ่งจะมาถึงอำเภอเพ่ย ก็แอบเรียกเด็กมาสองคนให้มาอยู่ในกระโจมชั่วคราวของตน คนหนึ่งดีดฉิน เล่นตุ๊กตา อีกคนหนึ่งนั่งดูการต่อสู้ มองดูพี่สามถูกโจรโพกผ้าเหลืองกับโจรป่าถูกปั่นจนหัวหมุนในเมืองเยี่ยนหยาง ก็อารมณ์ดีอย่างไร้ที่เปรียบ 

 

 

วันเวลาดีๆ เช่นนี้ยังผ่านไปไม่นาน เมื่อคืนหลังจากหลับไปได้ไม่เท่าไรก็เกิดเพลิงไหม้ในกระโจม ทว่ากลับไม่ได้เอาวิญญาณเขาออกจากร่าง 

 

 

จากสิ่งที่องครักษ์พบเห็นกับตา เครื่องแต่งกาย วิธีการฆ่าโดยการเผาและปล้นทรัพย์ในช่วงกลางดึก ต้องเป็นกลุ่มซานอิงที่เหลือรอดจากเมืองเยี่ยนหยางแน่นอน 

 

 

อำเภอเพ่ยเป็นอำเภิเล็กๆ ซึ่งเป็นอำเภอภายใต้เยี่ยนหยาง นอกเหนือจากขุนนางในศาลาว่าการเก่าแก่ฟันหลุดหมดปาก ผมขาวโพลนไม่กี่คนแล้ว จะยังมีทหารแข็งแกร่งที่ไหนอีก ทหารที่เว่ยอ๋องนำมาส่งเสบียงบรรเทาทุกข์มีจำกัด คิดไปคิด สูญเสียเสบียงไม่สำคัญ สูญเสียชีวิตถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กลัวก็แต่โจรเร่ร่อนจะเข้ามาอีก คงได้แต่เรียกคนให้ไปเมืองเยี่ยนหยางแล้วนำกำลังทหารมาป้องกัน  

 

 

เมื่อทหารส่งสาส์นนำเอาคำพูดของฉินอ๋องกลับมายังอำเภอเพ่ย ก็เป็นเวลาที่ตะวันสูงตระหง่านแล้ว 

 

 

เว่ยอ๋องเดือดดาล เจ้าสามคนนี้ ฉวยโอกาสบังคับให้ข้าแบ่งเสบียงหรือ ไม่มีทาง! ต่อให้ไปที่เยี่ยนหยางแล้ว ก็จะใช้วิธีร้อยแปดพันเก้าไม่แบ่งเสบียงให้ ดูซิว่าเขาจะยื้อแย่งได้อีกหรือ  

 

 

เงยหน้ามองแสงอาทิตย์ ใกล้เวลาพลบค่ำแล้ว เว่ยอ๋องลุกขึ้นพรวด “ได้ เอาตามที่เขาต้องการ ส่งเสบียงไปอำเภอเพ่ย!”  

 

 

กองกำลังลำเลียงเสบียงบรรเทาทุกข์ภายใต้คำสั่งของเว่ยอ๋อง เคลื่อนพลจากอำเภอเพ่ย เร่งไปถึงประตูทิศตะวันออกของเยี่ยนหยาง ก่อนเวลาดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า  

 

 

ประตูเมืองไม่ได้ปิดตามคาด ทหารแยกกันไปคุ้มกันประตูใหญ่สองข้าง ดูท่าน่าจะรอมานานแล้ว มีคนอยู่ไม่น้อย อลังการเหลือเกิน 

 

 

ร่างที่คุ้นเคยยืนอยู่บนกำแพงของหอคอยเมืองนั้น ตัวสูงสง่า สวมใส่มงกุฎและเสื้อคลุมไหมสีทอง ล้อมรอบด้วยทหารหลายชั้นอย่างแน่นหนา 

 

 

แม้ว่าจะแยกออกไปไกล แต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจน บนหอคอยของเมือง ใบหน้าราวกับแกะสลักของชายคนนั้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม มองลงมา เห็นกลุ่มคนที่จะหลบหนีมาลี้ภัย 

 

 

เว่ยอ๋องวางอคติก้อนใหญ่ในใจลง ยื่นแผ่นป้ายพระราชโองการให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฉินอ๋องไม่เห็นต้องใช้ทหารมากมายขนาดนี้มาต้อนรับข้าเลย ข้าเกรงใจน่ะ” 

 

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งออกไป นำแผ่นป้ายราชโองการไปให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในบรรดาเหล่าทหาร “ใต้เท้าช่วยเปิดประตูเพื่อให้เว่ยอ๋องผ่านไปได้!” 

 

 

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยกขึ้นมามองหนึ่งที ก่อนจะโบกมือ “ให้ทาง เปิดประตู!” หันไปทางตรงเว่ยอ๋องอีกครั้ง “เสบียงไปก่อน นำรถลากเข้าเมืองไปก่อน เว่ยอ๋องไม่ว่าอะไรใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เว่ยอ๋องโบกมืออย่างไม่แยแส 

 

 

ทหารบนม้าที่อยู่หน้าประตูเมืองเดินไปข้างหน้า นำรถลากที่ขนเสบียงเข้าไปในเมือง 

 

 

รถลากคันสุดท้ายเคลื่อนตัวเข้าไปในประตู เว่ยอ๋องยกแส้ม้าขึ้น นำกองทัพเข้าสู่เมือง ยังไม่ทันได้ออกตัว หน้าประตูวงแหวนทองแดงขนาดใหญ่ทั้งสองบานกำลังปิดลงอย่างช้าๆ! 

 

 

เว่ยอ๋องคิดว่าตาลาย ยังไม่ทันได้สติ ได้ยินเพียงเสียง ปัง ประตูเมืองก็ปิดลงแล้ว! 

 

 

ด้านล่างของหอคอยเมือง กองทัพของเว่ยอ๋องก็เสียงดังขึ้นมาในบัดดล ราวกับหม้อระเบิด 

 

 

เว่ยอ๋องเดือดดาล ตัวเขายังไม่ทันได้เข้าไปเลย นั่งบนม้าพลางตะโกนออกมา “นี่มันหมายความว่าอย่างไร” 

 

 

“ข้าบอกเพียงว่าจะปกป้องเสบียงให้น้องห้า” ซย่าโหวถิงเอ่ย “แต่ไม่ได้บอกว่าจะปกป้องคน”  

 

 

“เจ้าสาม……เจ้าคนหน้าไม่อาย!” เว่ยอ๋องเดือดดาลจนฉุดไม่อยู่ แทบจะลงจากม้าแล้ว 

 

 

“เว่ยอ๋องรีบกลับอำเภอเพ่ยตอนที่ฟ้ายังไม่มืดเถอะ หากฟ้ามืดแล้วจะเดินทางลำบาก” ซย่าโหวถิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและจริงใจ 

 

 

“เจ้าคิดว่าปกป้องเสบียงได้ เสด็จพ่อก็จะไม่โทษเจ้าแล้วหรือ หากข้าเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ เจ้าก็จะเป็นคนที่ไม่ดูดำดูดี มองน้องชายตัวเองถูกโจรเร่ร่อนปล้นไปซึ่งๆ หน้า! หนีความผิดไม่พ้นเหมือนกันนั่นแหละ!” เว่ยอ๋องคำราม 

 

 

ซย่าโหวถิงตาหยี “ไม่ต้องห่วง เว่ยอ๋องดวงแข็ง ก็แค่โจรเร่ร่อนเอง ไม่ตายหรอก” 

 

 

พูดจบ สะบัดเสื้อ หันตัวลงหอคอยเมือง ผู้ใต้บังคับบัญชากลุ่มหนึ่งก็ตามลงไป 

 

 

บนหอคอยเมืองเหลือเพียงทหารที่เฝ้ายาม บรรยากาศสงบลง  

 

 

เว่ยอ๋องตกใจ ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะกัดฟันกรอด 

 

 

องครักษ์คู่ใจที่อยู่ข้างกาย เห็นฉินอ๋องปิดประตูเมืองแล้ว ไม่ให้เข้าเมือง ก็หน้าเจื่อนเดินเข้ามา “องค์ชายห้า จะกลับอำเภอเพ่ยตอนนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยหรือไม่……”  

 

 

เว่ยอ๋องกำมือจนเกิดเสียง กดเสียงต่ำอย่างโกรธแค้น “ปลอดภัยจะตายไป!” 

 

 

โจรเร่ร่อนอะไรกัน! เกรงว่าจะเป็นคนของเจ้าสามมาแสดงละคร เพื่อแย่งเสบียงของตนเท่านั้นแหละ ไม่มีหลักฐานเสียหน่อย ใครจะยอมให้แผนชั่วของเขาสำเร็จได้เล่า 

 

 

“กลับอำเภอเพ่ย!” เว่ยอ๋องเดือดดาล หันตัวกลับ ก่อนจะยกแส้ม้าขึ้นเพื่อออกเดินทาง 

 

 

รถลากเข้าไปในเมือง ขนเสบียงเข้าไปในศาลาว่าการโดยตรง สาวใช้ของค่ายบัญชาการรออยู่ด้านในศาลาว่าการแล้ว 

 

 

ขุนนางทหารนำสิ่งของลงมาจากรถลากทีละกล่อง ส่งเข้าไปในโกดังของศาลาว่าการ 

 

 

เสบียงที่เว่ยอ๋องฉ้อฉลไม่ยอมแจก มีเป็นจำนวนมากตามคาด เหล่าขุนนางทหารสามสิบกว่าคนต้องนำไปวางไว้ด้านในทีละกล่อง ผ่านไปนาน โกดังของศาลาว่าการจึงจะเต็ม ไม่มีที่พอให้วางแล้ว ต้องใช้ห้องด้านข้าง ถึงจะพื้นที่เพียงพอให้จัดเก็บ 

 

 

ป้าอู๋และอวิ๋นหว่านชิ่นสั่งสาวใช้กลุ่มหนึ่ง นำเสบียงและเครื่องนุ่งห่มในฤดูหนาวแยกออกจากกัน นำเสบียงไปที่ห้องครัวแล้วทำอาหาร แป้งและเนื้อนำไปทำซาลาเปา หมั่นโถ และเส้นก๋วยเตี๋ยวก่อน เครื่องนอนและเสื้อผ้าฝ้ายยังแบ่งตามประเภทของชายหญิง 

 

 

จัดการกับโคมไฟทางเดินทั้งหมด แต่ละคนเหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัวถึงจะเสร็จ แต่เมื่อมองผลลัพธ์ความเหนื่อยล้าก็ลดลงไปมากทันที 

 

 

พอมีสิ่งของบรรเทาทุกข์เหล่านี้ ก็สามารถรับประกันอาหารและเสื้อผ้าของผู้ประสบภัยในเมืองเยี่ยนหยางแล้ว และส่วนที่เหลือยังสามารถแจกจ่ายไปยังพื้นที่ประสบภัยอื่นๆ ในเขตฉังชวนได้อีกด้วย 

 

 

เมื่อเห็นว่าค่ำแล้ว ป้าอู๋ก็พาสาวใช้กลุ่มหนึ่ง กลับไปพระราชนิเวศน์ที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันของขุนนางทหาร 

 

 

เมื่อเข้าไปในห้องด้านข้างของเรือน เหล่าสาวใช้ก็เหนื่อยจนร่างแทบแหลกสลาย นำเสื้อผ้าและของใช้ทยอยกันไปอาบน้ำ อวิ๋นหว่านชิ่นคุ้นชินกับการรอให้เหล่าสาวใช้อาบน้ำเสร็จก่อน จึงจะได้เข้าไปอาบเพียงคนเดียว ป้องกันไม่ให้มีใครรู้ทัน วันนี้ก็เช่นกัน 

 

 

เหงื่อออกทั่วร่างกาย เปียกชื้นจนรู้สึกอึดอัดไปหมด คงต้องใช้เวลาสักพักก่อนที่สาวใช้ทุกคนจะกลับมา นางถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่และบิดผ้าเช็ดหน้า เช็ดแขนและลำคอก่อน รู้สึกว่าเหงื่อออกทั้งตัวก็สบายตัวหน่อย เงยหน้าขึ้น เห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์ยังอยู่ในห้อง ไม่ได้ไปห้องอาบน้ำ เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเตรียมเรียบร้อยแล้ว แต่ยังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตา 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นวางผ้าเช็ดหน้า “ทำไมเจ้าไม่ไปอาบน้ำ” 

 

 

ไม่นาน สีหน้าของหลี่ว์ชีเอ๋อร์พลันซีดเผือด ใบหน้าก็ซูบตอบลงจนคางแหลมไปเล็กน้อย เวลานั้นเองก็ได้ยินนางเอ่ยปาก หันหน้ากลับมาฝืนยิ้ม “ข้า…..รอให้พวกนางอาบเสร็จ คนน้อยกว่านี้หน่อยแล้วค่อยไป”