ตอนที่ 169.3 เข้ามาอาบน้ำในห้องข้า (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจทันใด นับตั้งแต่ที่หลี่ว์ปาเสียไป บรรดาสาวใช้ในพระราชนิเวศน์ ตั้งแต่ผู้อาวุโสสุดซึ่งก็คือป้าอู๋ ไปจนถึงสาวใช้น้อยใหญ่มักแอบถากถางหลี่ว์ชีเอ๋อร์และพากันรังเกียจนางไม่มากก็น้อย  

 

 

ลำพังแค่พระราชนิเวศน์เล็กๆ ยังเป็นเช่นนี้ ออกไปนอกพระราชนิเวศน์ ชาวบ้านเห็นสภาพนาง เกรงว่าก็คงพากันเดียดฉันท์กว่าเก่า 

 

 

อีกทั้งเยี่ยนหยางยังเป็นเมืองเล็ก เรื่องเล็กเท่าขี้เล็บแค่นี้ก็สามารถลือสนั่นไปทุกครัวเรือนได้แล้ว กลัวก็แต่ทุกคนต่างรู้แล้วว่าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ร่วมมือกับทางการไปจับหลี่ว์ปา 

 

 

คนปากดีกับคนบ้าน้ำลายรวมตัวกันเมื่อไร รับมือยากยิ่งกว่าทหารและม้ากว่าพันกว่าหมื่นนายเป็นไหนๆ แถมยังเป็นหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานเสียด้วย 

 

 

เดิมทีก็เป็นเพียงคนคนหนึ่งผู้ไร้ที่พึ่ง เห็นว่านางร่างกายอ่อนแอ ไร้ความสามารถ บวกกับชื่อเสียงป่นปี้ไปแล้วอีก หลังจากนี้ไม่ว่าจะมีตัวตนในเยี่ยนหยางอย่างไร ก็ไม่อาจสบายใจได้เลย 

 

 

“เวลาผ่านไป ก็จะซาลงเอง” อวิ๋นหว่านชิ่นเกลี้ยกล่อม ตั้งแต่หลี่ว์ปาเสียชีวิต เห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์เอาแต่ก้มหน้าทำงาน เฉกเช่นสองสามวันมานี้ ที่แจกจ่ายเสบียงอยู่ที่พระราชนิเวศน์ คืนนี้แยกประเภทสิ่งของในยุ้งข้าว นางลงแรงเยอะที่สุด ทว่าจิตใจกลัดกลุ้ม น่าสงสารเหลือกิน อยากจะโมโห ก็โมโหไม่ได้ อีกอย่างนางเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าปี ใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด ชีวิตในชาติก่อนของตังเองตอนอายุสิบกว่าปีก็ตามืดบอดมาเหมือนกัน ที่ปล่อยให้พวกกากเดนเหยียบย่ำตนเองและน้องชาย 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ยินที่นางปลอบใจ จึงวางเสื้อผ้าลง จากนั้นก็กระโดดลงจากเตียงเตา นัยน์ตารื้นทั้งสองข้าง ก่อนจะคุกเข่าลง “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ดินแดนเยี่ยนหยางแห่งนี้ ข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว อยู่ไปนานๆ ก็มีแต่จะถูกคนบ้านเดียวกันถ่มน้ำลายใส่จนท่วมตัวตาย ทว่าข้าเป็นคนไม่มีภูมิหลัง ทั้งยังไม่มีความสามารถอีก จะไปไหนได้ แม้แต่จะไปหาขุนนาง ให้เขาช่วยทำเอกสารเดินทางไกลยังยากเลย! แม่นางชิ่งเอ๋อร์ ขอร้องท่านละ ข้ารู้ว่าในตอนนี้ท่านอ๋องสนใจท่าน อยากจะพาท่านกลับเมืองหลวง แม่นางได้โปรดขอให้ท่านอ๋องเห็นใจและถือโอกาสพาข้าไปด้วยเถิด ต่อให้จะให้ข้าไปเป็นลูกมือช่วยงานเล็กๆ ท่าน ก็พาข้าไปเมืองหลวงด้วยเถิด ข้าอยากหาที่ที่ไม่มีคนรู้จักข้า ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงนางขึ้นมา “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอย่างไรในใจของชาวบ้านเยี่ยนหยาง ในสายตาราชสำนัก เจ้าถือว่าเป็นคนมีคุณูปการ เจ้าก็อย่าคิดว่าตัวเองย่ำแย่เพียงนั้น ก่อนที่ท่านอ๋องจะไป จะต้องตบรางวัลตอบแทนเจ้าแน่นอน อย่างน้อยก็ทำให้เจ้าไม่ต้องกังวลในด้านวัตถุ” 

 

 

นี่คือการปฏิเสธตนทางอ้อม 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์หน้าซีด ทรุดตัวลงจากมือของนาง ทว่าไม่ได้ข้อร้องอ้อนวอน เช็ดน้ำตา ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง “ขายหน้าแม่นางชิ่งเอ๋อร์แล้ว ก็จริง ท่านพี่ยังอยู่ที่เยี่ยนหยาง ถ้าข้าอยู่ อย่างน้อยเมื่อถึงช่วงตรุษจีนหรือตอนเช็งเม้ง ยังได้ไปกวาดสุสานและบอกเขาว่าไม่ต้องเหงา เพราะข้าจะไม่ไปไหนไกล” พูดพลางกอดเสื้อผ้าไว้ หันหน้าเดินออกไปด้านนอก 

 

 

คำพูดนี้ ต่อให้เป็นคนแข็งแกร่งเพียวใดได้ฟังยังรู้สึกปวดใจ อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินนางเอ่ยถึงหลี่ว์ปา ก็รู้สึกไม่สบายใจ เห็นนางอยู่ตัวคนเดียว จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงมาก “เจ้าจะไปอาบน้ำหรือ อีกเดี๋ยวถ้าไม่มีคนแล้ว เรียกข้าด้วยนะ” 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์รู้ว่านางชอบความสะอาด เคยชินกับการอาบน้ำคนเดียว แล้วก็รู้ว่าในเวลานี้กำลังปลอบประโลมความรู้สึกของตนอยู่ ทำให้ความรู้สึกของตนดีขึ้นหน่อย ก่อนจะพยักหน้า “อืม” พูดพลางผลักประตูออกไป 

 

 

พอประตูปิดยังไม่ทันไร ก็มีเสียงไอแค่กๆ อันคุ้นเคยลอยมาจากในเรือน “แม่นางชิ่งเอ๋อร์อยู่ในห้องไหม”  

 

 

คือซือเหยาอัน 

 

 

“อยู่” อวิ๋นหว่านชิ่นสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย ก่อนจะขานตอบ 

 

 

ซือเหยาอันไออีกครั้งก่อนจะยิ้มเอ่ย “ท่านอ๋องอยู่ในห้องหนังสือกำลังร่างสาส์นทหาร ได้ยินว่าแม่นางชิ่งเอ๋อร์กลับมาแล้ว จึงเรียกท่านให้ไปช่วยฝนหมึก”  

 

 

ฝนหมึกหรือ เหนื่อยสายตัวแทบขาด เหงื่อท่วมขนาดนี้ กลับมายังต้องคอยปรนนิบัติคอยฝนหมึกให้เขาอีกหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นบ่นพึมพำ ก่อนจะตอบออกไปอย่างจำนน “ได้ จะไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

ม่านรัตติกาลโรยตัวปกคลุมผืนฟ้าภายนอกแล้ว นอกจากสาวใช้ผู้ทำหน้าที่แยกของในศาลาว่าการที่อยู่ห้องเดียวกัน สาวใช้ของห้องอื่นต่างพักกันแยกย้ายไปตั้งนานแล้ว มีเพียงเสียงฝีเท้าของทหารแห่งพระราชนิเวศน์ที่อยู่นอกกำแพงเท่านั้น อวิ๋นหว่านชิ่นถือโคมไฟ มาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ เห็นแสงไฟเรืองรองลอดออกมาจากกระดาษตรงหน้าต่าง เคาะเบาๆ สองทีที่บานประตู ก่อนจะเดินเข้าไปเฉกเช่นวันก่อนๆ  

 

 

เข้าไปในห้องแล้ว เลิกผ้าม่านขึ้น มีหนังสือราชการและสาส์นทหารที่กางอยู่สองสามเล่ม กองอยู่บนโต๊ะทว่าตัวคนกลับไม่อยู่ 

 

 

“องค์ชายสาม?” อวิ๋นหว่านชิ่นวางโคมไฟลง มองซ้ายมองขวา ห้องหนังสือใหญ่แค่นี้ มองปราดเดียวก็เห็นแล้วว่าเงาของเขาอยู่ตรงไหน 

 

 

“เข้ามา” เสียงคนลอยมาจากห้องเล็กๆ ข้างห้องหนังสือ มีควันขมุกขมัวเล็กน้อย  

 

 

ควันขมุกขมัวหรือ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเปิดห้องเล็กนั้น อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ไอลอยล่อง ทั้งยังวางเตาที่เผาไฟอย่างอบอุ่นไว้ด้านหลังม่านขาวบังลม เห็นเงาคนกำลังเคลื่อนไหว มองแวบเดียวก็เห็นซย่าโหวซื่อถิงนอนแผ่อยู่ข้างถังอาบน้ำไม้สัก แตะนิ้วเบาๆ ราวกับกำลังทดสอบน้ำอุ่น 

 

 

เมื่อเห็นว่าน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะแล้ว เขาก็ยืดตัวตรง ก่อนจะหันกลับมา “ได้แล้ว เร็วเข้า” 

 

 

ได้แล้ว? เร็วเข้า? อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่เข้าใจ “อะไรนะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงชี้ไปที่เสื้อบนม่าน “เสื้อผ้าเตรียมไว้หมดแล้ว อาบเถอะ” นางชะงักอีกครั้ง “หลังจากนี้บอกล่วงหน้าก่อน แล้วมาอาบน้ำที่ห้องข้าได้เลย” รู้ว่านางต้องหลีกเลี่ยงผู้คนทุกวัน รอให้คนทั้งห้องแยกย้ายหมดแล้ว ถึงจะสะดวกเข้าไป  

 

 

อวิ่นหว่านชิ่นขานรับ หน้าร้อนเล็กน้อย ทั้งยังขมวดคิ้ว เหยียดหยามปฏิกริยาตัวเองอยู่หน่อยๆ หน้าแดงทำไม เป็นสามีภรรยากันแล้วแท้ๆ อาบน้ำในห้องเขาจะเป็นอะไรไป ต่อให้อาบน้ำกับเขาแล้วอย่างไร 

 

 

พอคิดเช่นนี้ นางก็ถ่มน้ำลาย คิดบ้าบออะไรเนี่ย! 

 

 

อาจจะเป็นเพราะแต่งงานกันไม่กี่วันก็ต้องแยกกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ชินว่าเขาเป็นคนที่ใกล้ชิดกับตนเองมากที่สุด 

 

 

ตอนที่ใกล้ชิดกันมากเกินไป ยังคงรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย 

 

 

ครั้นเมื่อเขาออกไป นางก็ปิดประตู สำรวจสักครู่ เห็นว่าด้านข้างถังอาบน้ำมีถังน้ำร้อนและน้ำเย็นอยู่สองสามถัง พร้อมกับอุปกรณ์อาบน้ำเพื่ออำนวยความสะดวกในการอาบน้ำให้สะอาดเช่น สบู่ กระจกทรงดอกกระจับและผ้าเช็ดตัวแห้งเป็นต้น ต่างเตรียมไว้ครบถ้วนแล้ว วางแม้กระทั่งรองเท้าบุขนไว้หนึ่งคู่ด้วย 

 

 

ถอดเสื้อผ้าแล้ว นางก็เข้าไปในน้ำอุ่น น้ำอุ่นค่อนร้อนโอบรัดไว้ทั้งร่าง อบอุ่นกายสบายใจ แขนขาทั้งสี่และโครงกระดูกร้อยชิ้นนั้นได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง อีกอย่างไม่ต้องรีบอาบเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย 

 

 

นางอิงอยู่ขอบถัง ยกแขนบางขึ้น เช็ดทีละน้อย แล้วเหยียดน่องอันขาวบาง วางไว้ที่ด้านขอบถังตรงข้าม เพื่อให้ทั้งร่างกายยืดออก 

 

 

แช่อยู่ในน้ำร้อน ความรู้สึกของการถูกกอดโดยไออุ่น ช่างสบายเหลือเกิน 

 

 

ไม่รู้ว่าไม่ได้อาบน้ำอย่างสบายใจขนาดนี้มานานเท่าไรแล้ว หากไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นได้ยิน อวิ๋นหว่านชิ่นคงฮัมเพลงไปแล้ว 

 

 

ตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางกับเฉินจ้าวจนถึงตอนนี้ ปกตินางเช็ดด้วยผ้าขนหนูชื้น ตอนที่นานๆ ทีจะได้อาบน้ำสักครั้งสองครั้ง นางถึงจะเอาผงชาดและผงกำยานเข้าไปด้วย ลบเครื่องสำอางทั้งหมด ปล่อยให้ผิวหายใจเล็กน้อย แล้วจึงรีบแต่งหน้า 

 

 

หลังจากนั้นมาอยู่กับโจรโพกผ้าเหลือง ต่อมาก็เข้ามาอยู่ที่พระราชนิเวศน์ เพราะไม่มีคนดูแลอีกแล้ว ทั้งนางกลัวว่าจะมีคนมาเห็นเวลาที่อาบน้ำ นางจึงแทบจะไม่ลบเครื่องสำอางออกทั้งหมด ได้แต่คิดขอบคุณอากาศหนาวทั้งเก้าเดือนนี้อยู่ทุกครั้งที่คิดถึง 

 

 

ครั้งนี้ถือว่าได้โอกาสในที่สุด นางวักน้ำเข้าตัวจนเปียบปอน หยิบกระจกทรงดอกกระจับขึ้นมา แล้วลบเครื่องสำอางออก 

 

 

ทำความสะอาดผิวอย่างหมดจด บวกกับไอจากความร้อน ผิวของนางไร้ร่องรอยแห่งความเสียหายราวกับเปลือกไข่ขาวมิปาน 

 

 

นอกจากอาบน้ำ ผมที่มวยไว้ในเวลาส่วนใหญ่ได้ร่วงหล่นลงมาราวกับน้ำตก นางก้มศีรษะ ละเลงสบู่ไปเรื่อยๆ จากนั้นขยี้แรงๆ เพื่อให้เกิดฟอง นอกจากนี้ยังใช้น้ำอุ่นจากอ่างอาบน้ำเพื่อสระผมให้สะอาด