สีหน้า ‘หยวนเจ๋อ’ พิกลขึ้นทุกที เขาพลันตระหนักว่าตนเองทำอะไร บางอย่างที่ลามกและมิอาจเข้าใจได้ พริบตานั้นก็หน้าเปลี่ยนสีแทบจะโยนชิวเยี่ยไป๋ออกไป
ชิวเยี่ยไป๋หลับจนอิ่มแล้ว ประสาทเริ่มฟื้นคืนความเฉียบไวตามแบบของผู้ฝึกวิทยายุทธ์ การกระทำที่มิรู้เหมาะรู้ควรของใครคนนั้นรบกวนจนนางหลับไม่เป็นสุข
คนในอ้อมกอดดิ้นรนอย่างแรง เป็นเค้าลางของการค่อยๆ ได้สติ การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลง สีหน้าสับสนและรีบกำปลายนิ้วที่เปื้อนความหอมจากส่วนที่เร้นลับที่สุดของนาง
เห็นขนตาของชิวเยี่ยไป๋สั่นไหว หมอกดำในตาของเขาเริ่มแผ่กว้าง หัวร่อเบาๆ คราหนึ่ง กระซิบเสียงนุ่มนวลแหบพร่า “เอาเถิด ยังมิใช่เวลาจะพบหน้ากัน ถ้าให้เจ้ารู้ว่าความลับถูกเปิดเผยแล้ว เกรงว่าเจ้าคงหนีไปยิ่งไกล ข้าเองก็ต้องการเวลาในการปรับตัวต่อ ‘ความลับ’ ของเจ้า ปล่อยให้อาเจ๋องี่เง่าเป็นเพื่อนเจ้าไปก่อนเถิด ไหนๆ ก็…”
เขาหยุดลงแล้วนำสมุดบัญชีที่ห่อด้วยกระดาษหยาบออกจากแขนเสื้อ วางไว้ข้างมือของชิวเยี่ยไป๋ มุมปากงดงามโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างหยามหยัน “ไหนๆ เจ้าก็ยอมรับเขามากกว่า”
พูดจบก็ก้มลงกัดริมฝีปากนางอย่างดุดัน แล้วซบศีรษะบนไหล่ของนาง นาทีที่เขาหลับตาลง ตาดำที่กินพื้นที่เกือบหมดก็ค่อยๆ หดตัวลง สีดำนั้นยิ่งหดยิ่งเล็กและค่อยๆ ผนึกตัวเป็นจุดหมึก และแล้วจึงเหลือแต่ดวงตาสีเทาเงินว่างเปล่า
สายลมโชยแผ่ว คนสองคนซบกันบนเรืออย่างเงียบสงบและหลับสนิท
…
สายลมเอื่อยเฉื่อย ผิวน้ำไร้ระลอก
สายลมอ่อนโยนพัดผ่านใบหน้า นางนอนอยู่กับเปลนุ่มริมน้ำ แกว่งไปแกว่งมาสองมือรองใต้ศีรษะต่างหมอน ฟังเสียงขับขานลำนำอันไพเราะของดรุณีที่อุ้มพิณหยางฉินดีดประสาน ทำให้นางรู้สึกสบายอารมณ์
หนิงซย่าคืนสู่สภาพปกติแล้ว อุ้มสุนัขตัวน้อยวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง “คุณชายสี่ ท่านดูนี่ สุนัขตัวนี้น่าสนใจจริงๆ”
น้อยครั้งที่จะเห็นหนิงซย่าผู้หนักแน่นมีท่าทางเช่นนี้ นางจึงเอื้อมมืออุ้มเจ้าสุนัขตัวน้อยสีขาวน่ารัก วางบนอกเล่นกับมัน เห็นมันใช้จมูกสีดำเล็กๆ ดมไปทั่ว โก่งตัวบนร่างนางอย่างไม่กลัวคนแปลกหน้า จึงหัวร่ออย่างอดมิได้ “พวกเจ้าไปเอาเจ้าตัวน้อยมาจากไหน น่ารักจริงๆ”
หนิงซย่ายิ้มแต่ไม่พูด ชิวเยี่ยไป๋จึงหยอกเย้าไปหลายคำ แต่มิรู้ว่าทำไมเจ้าสุนัขตัวน้อยจึงดูเหมือนไม่สุภาพเรียบร้อยมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหิวแล้ว
สุนัขตัวน้อยไม่เพียงมุดไปมุดมาในอ้อมอกนาง แถมยังฉวยโอกาสที่นางไม่ทันระวังกัดนางด้วย
ชิวเยี่ยไป๋สะดุ้งด้วยความเจ็บปวด พริบตานั้นก็ตื่นขึ้น นางมองดูท้องฟ้าสลัว ขยี้ตา ยังงัวเงียอยู่และเพิ่งรู้ว่าที่แท้ฝันไป ฝันว่าถูกสุนัขกัด…
“ซาลาเปา…ซาลาเปา…”
แต่เสียงพึมพำที่มาจากทรวงอก บวกกับความเจ็บแปลบทำเอาชิวเยี่ยไป๋ตื่นเต็มตา!
มีอะไรกัดตนจริงๆ!
พริบตาที่ชิวเยี่ยไป๋ก้มดูสิ่งที่กัดตนก็รู้สึกเหมือนฟ้าผ่ากลางกระหม่อม หรือจะบรรยายว่าเหมือนสายฟ้าฟาดใส่ห้าสายก็มิเกินเลย
ชิวเยี่ยไป๋หน้าเขียวแล้วขาว ขาวแล้วแดง แดงแล้วเขียวสุดจะอดกลั้น กำปั้นจึงทุบใส่ศีรษะหยวนเจ๋ออย่างแรง “ไสหัวไป!”
นางทุบแรงมาก พริบตานั้นหยวนเจ๋อตาเหลือกแล้วสลบไป
ชิวเยี่ยไป๋ทั้งโกรธทั้งอาย แทบอยากจะบีบคอไอ้โง่ที่เห็นนางเป็นซาลาเปาแทะเอาๆ ให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด
นางลุกพรวดขึ้นทันที เดินไปข้างกายหยวนเจ๋อที่สลบเหมือดลากเสื้อคลุมของเขาออกอย่างหยาบคาย แล้วใช้เสื้อคลุมนั้นจุ่มน้ำในแม่น้ำเช็ดคราบเหนียวตามตัว
บาดแผลที่พอถูกน้ำก็เจ็บแสบจนนางหน้าเหยเก น่าตายจริง แผลที่หลังยังไม่สาหัสเท่าที่โดนไอ้งี่เง่านี่กัดเอา! ชิวเยี่ยไป๋กลั้นความโกรธจัดแจงตนเองจนเสร็จ ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยจึงพบว่ากางเกงของตนเองหายไป พริบตานั้นสีหน้าเขียวและขาวสลับกัน
ถ้านางจำไม่ผิด ตอนลงน้ำไอ้สารเลวเหมยซูต้องการพิสูจน์ตัวตนของนาง ถึงกับลงมือรูดกางเกงนางทั้งที่อันตรายคับขัน แม้จะถูกนางถีบกระเด็นไป แต่กางเกงที่ไร้สายรัดเอวถูกกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากกระชากไป แม้แต่กางเกงในก็ไม่เหลือ!
ชิวเยี่ยไป๋ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันก่นด่าเหมยซูสิบแปดชั่วโคตร จากนั้นสายตาก็ตกลงที่ร่างหยวนเจ๋อที่ถูกนางทุบสลบไป นางหรี่ตาแล้วหัวร่อคราหนึ่งแล้วเดินเข้าหา
ในเมื่อเขาเห็นแก่กิน ทั้งที่หลับอยู่ยังสามารถถอดเสื้อผ้านางได้ ก็ไม่ต้องโทษนางที่จะขอเก็บอะไรบางอย่างจากตัวเขาบ้าง!
ครู่หนึ่ง ชิวเยี่ยไป๋ก็รัดขากางเกงท่อนสุดท้ายเสร็จสรรพแล้วมองดูกางเกงของตนอย่างพึงพอใจ แม้จะหลวมไปหน่อย แต่เนื่องจากหยวนเจ๋อยังมีจีวรห่มคลุมอีกชั้น จึงไม่เหมือนกางเกงแพรต่วนที่นุ่มลื่นของบ้านตระกูลเหมย ดังนั้นจึงรัดไว้ได้ง่าย
จากนั้นนางเหลือบดูหยวนเจ๋อที่ถูกนางทุบจนสลบไสล ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห ดวงตาฉายรอยยิ้มเจตนาร้าย เดินถึงข้างกายเขา ยกเท้าถีบใส่ไหล่เขาอย่างแรงจนหยวนเจ๋อตกลงไปในน้ำ
หยวนเจ๋อมึนงง เลื่อนลอย จู่ๆ ก็ฝันว่าตนเองบิณฑบาตได้ซาลาเปามาสองลูก เขาหิวมาก กำลังกอดซาลาเปากัดกิน ซาลาเปาทั้งนุ่มทั้งลื่นทั้งหอม แต่แทะได้ไม่กี่คำก็มีนักเลงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาชกหน้าเขาอย่างแรงแล้วแย่งซาลาเปาไป เขาร้อนใจคิดจะแย่งคืน กลับถูกอีกฝ่ายถีบตกน้ำ
พริบตาเดียวน้ำเย็นเหมือนน้ำแข็งก็ทะลักเข้าจมูก เขาสำลักจนตื่นทันที
“แค่กๆๆ…แค่กๆๆ…” หยวนเจ๋อนั่งเกาะกราบเรืออย่างมึนงง
ทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าพร่ามัว เขาขยี้ตาอย่างอดมิได้ จึงพบว่านั่งอยู่ในเรือน้อยลำหนึ่ง
“ว่าอย่างไร ตื่นแล้วหรือ ข้ายังคิดว่าเจ้าตกน้ำสิบครั้งก็ไม่ตื่นเสียอีก นึกไม่ถึงว่าแค่สามครั้งก็ตื่นแล้ว ออกจะดูแคลนเจ้าไปหน่อย” ชิวเยี่ยไป๋ละสายตาจากสมุดบัญชีมองดูเขาอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง โยนสายรัดเอวเปียกโชกที่ผูกตัวเขาไว้ใส่ศีรษะเขา “ตื่นแล้วก็ไปเถอะ”
เมื่อครู่นางใช้วิธีเดียวกันถีบเขาแล้วลากขึ้นสามครั้งไอ้หมอนี่จึงตื่น ถ้าเช่นนั้นก่อนหน้าที่เขากระชากผ้ารัดอกนางออก น่าจะเป็นพฤติกรรมตอนงัวเงีย ซึ่งหมายความว่าในสายตาของเขาสุดท้ายแล้วมีเพียง…ซาลาเปา
ความจริงของการถูกมองว่าเป็นซาลาเปากัดเอากัดเอาเช่นนี้ทำเอานางเสียใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าความลับมีคนรู้อีกคน โดยเฉพาะเจ้าหลวงจีนโง่งม ดูเหมือนปากจะไม่มีหูรูดด้วย อาจพลั้งปากได้ง่าย
ชิวเยี่ยไป๋ไหนเลยจะรู้ว่า เคยมีใครอีกคนจับคลำทั้งบนทั้งล่างทั้งตัวไปแล้ว ไม่มีความลับอีกต่อไป
ยามนี้ที่นางครุ่นคิดคือ แม้เรื่องนี้จะถูกคนที่ไม่ควรรู้เข้าแล้ว ย่อมไม่เป็นความลับอีกต่อไป ถ้า
เหมยซูจมน้ำตายก็แล้วไป ถ้าไม่…ความลับบุตรีคนที่สี่ของตระกูลชิวย่อมต้องกลายเป็นอาวุธสำคัญที่จะใช้ข่มขู่นางแน่