“หากปราศจากพ่อของเจ้า ขยะอย่างเจ้าจะสามารถทำอะไรได้อีก?! มีความสามารถเพียงแค่นี้ แต่บังอาจแสดงความยโสโอหังออกมาต่อหน้าข้า นี่เจ้าประเมินความสามารถของตนเองแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เซี่ยปิงมองฉางฉือด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม

“เจ้า เจ้า!”

ฉางฉือโมโหจนจมูกแดงขึ้นมา แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ การที่ถูกเซี่ยปิงตบใบหน้าเช่นนี้ มันเป็นความเจ็บปวดที่บาดลึกไปถึงหัวใจ เหมือนกับว่าเซลล์ทั่วทั้งร่างกายถูกมดกัดกินอยู่ก็ว่าได้

ในฐานะที่เป็นลูกชายของจ้าวสำนักวิญญาณนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตถูกประคบประหงม มีที่ไหนที่จะได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้ อย่าพูดถึงการที่ถูกตบด้วยฝ่ามือจนฟันหลุดออกมา3-4ซี่เช่นนี้

นี่มันเป็นความอัปยศอดสูครั้งยิ่งใหญ่!

“ไม่ต้องการยอมรับอย่างนั้นหรือ? ยังกล้าที่จะมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้หรือ?! ข้าจะทำให้ขาข้างที่สามของเจ้าใช้การไม่ได้ หลังจากที่เปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นขันทีนั้น ดูสิว่าเจ้าจะยังมีความยโสโอหังอีกหรือไม่ อีกทั้งเจ้าจะมีโอกาสได้กลายเป็นจ้าวสำนักได้อีกหรือไม่?!”

เซี่ยปิงหรี่ตามอง ทันใดนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาและเหยียบลงไปที่หว่างขาของฉางฉือ เหยียบลงไปเหมือนกับเท้าช้างก็ว่าได้

“ม่ายยยย!!!”

ฉางฉือส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างน่าสมเพช เหมือนกับหมูที่ถูกเชือดก็ว่าได้ ดวงตาเบิกกว้าง ในฐานะที่เป็นลูกผู้ชายนั้น นี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุด หากหลังจากนี้ใช้การไม่ได้ล่ะก็ จากนั้นเขาก็ยอมตายเสียดีกว่า

ต่อให้จะกลายเป็นจ้าวสำนักวิญญาณในอนาคต มันก็ยังคงไร้ความหมาย การที่เผชิญกับฮาเร็มผู้หญิงจำนวนนับพัน ก็ทำได้เพียงแค่มองโดยที่ไม่สามารถแตะต้องได้ นี่มันช่างเป็นการทรมานที่โหดร้ายที่สุดในโลก

หากกลายเป็นขันทีขึ้นมา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นจ้าวสำนักได้อีก ไม่มีใครที่จะอยากรับใช้ขันที นี่มันมีความเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงบารมีของเขาในสำนักวิญญาณ ช่างเป็นการทำลายอนาคตของเขาจนป่นปี้

ตึบ!

ทว่าเซี่ยปิงเหยียบลงไปที่พื้นดินเท่านั้น ทำให้ที่พื้นดินกลายเป็นหลุมลึกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เศษหินแตกกระจายออกไป เท้าของเขายังไม่ได้เหยียบไปที่จุดสำคัญของฉางฉือ ทว่าห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพราะว่าถึงอย่างไร ในตอนนี้เขาก็กำลังปลอมตัวเป็นจั่วฮาวจ้าวสำนักวิญญาณสาขาเมืองฮวายหนิงอยู่ หากทำให้ฉางฉือพิการขึ้นมาจริงๆ บางทีอาจจะทำให้จ้าวสำนักวิญญาณเดือดระอุขึ้นมาได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง

ดังนั้น เขาจึงเพียงแค่ทำให้ฉางฉือหวาดกลัวและตกใจเพียงเท่านั้น

“หวาดกลัวจนหมดสติหรือ?” เซี่ยปิงขมวดคิ้วขึ้นมา เขาคิดว่าการที่ตนเองทำให้หวาดกลัวนี่ ดูเหมือนว่ามั้นจะได้ผลมากเกินไป

เพราะว่าในช่วงเวลานี้ฉางฉือหวาดกลัวจนหมดสติไปอย่างสมบูรณ์ มีเพียงแค่ตาขาวปรากฏให้เห็น ร่างกายไม่ขยับเขยื้อน ฟองไหลออกมาจากปาก ดูเหมือนกับเป็นปลาตายก็ว่าได้

คาดการณ์ได้ว่าเท้านี้ คงจะส่งผลให้มีปมอยู่ในจิตใจของเขาไปตลอดทั้งชีวิต

“นำตัวขยะเหล่านี้ไปรักษาซะ อย่าให้อยู่เกะกะลูกตาข้าที่นี่” เซี่ยปิงโบกมือ ถ่ายทอดคำสั่งให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักวิญญาณที่กำลังช็อกอยู่รอบๆ

“รับทราบ ท่านจ้าวสำนัก” ในช่วงเวลานี้ เจ้าหน้าที่หลายคนก็ได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาจากความฝัน พวกเขาต่างก็วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบและนำตัวผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณทั้งสองคนและฉางฉือที่หมดสติไปทำการรักษา

หากบุคคลที่มีอิทธิพลเหลานี้ตายอยู่ที่นี่ ผู้คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดจะไม่มีทางหลบหนีไปไหนได้ จะต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของจ้าวสำนักวิญญาณอย่างแน่นอน หลังจากนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

“จั่วฮาว เจ้าเสียสติไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้จะเป็นอย่างไร? ไม่คาดคิดว่าจะกล้าทำร้ายแม้กระทั่งลูกชายของจ้าวสำนัก?!” ถันป๋อมองเซี่ยปิงด้วยสีหน้าที่เหมือนกับกำลังมองบุคคลที่เสียสติ

“จะมีผลลัพธ์อะไรกัน เขากล้าที่จะปลดข้าออกจากตำแหน่งอย่างนั้นหรือ?” เซี่ยปิงพูดออกมาอย่างนิ่งเฉย

ถันป๋อก็พูดอะไรไม่ออก อันที่จริงการที่สามารถกลายเป็นจ้าวสำนักวิญญาณสาขาย่อยนั้น จะมีสถานะที่เทียบเท่าได้กับขุนนางศักดินาก็ว่าได้ ต่อให้จ้าวสำนักวิญญาณสาขาหลักจะมีอำนาจปกครองที่มหาศาล ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปลดตำแหน่งของเขาอย่างไร้เหตุผล

เพราะว่าถึงอย่างไรผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณจำนวนมากก็จำกัดอำนาจของจ้าวสำนักอยู่ ไม่สามารถที่จะทำอะไรตามอำเภอใจได้

แต่ปัญหาก็คือว่า ต่อให้จะไม่สามารถปลดตำแหน่งของเขาได้ชั่วคราว ทว่าก็ยังคงสามารถที่จะชักใยเบื้องหลังได้ ตราบใดที่ยังใช้ชีวิตอยู่ภายในทวีปโลหิตวิญญาณนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีไปจากอิทธิพลของจ้าวสำนัก

ต่อให้จะหลบหนีไปได้เป็นระยะเวลาถึงหนึ่งปี ทว่าก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็วจะต้องมีช่วงเวลาที่พลาดท่า

ทว่าถันป๋อนั้นไม่ได้รู้ว่านี่ไม่ใช่จั่วฮาวตัวจริง ทว่าเป็นนักวิทยายุทธจากนอกจักรวาล เขานั้นไม่ได้เป็นกังวลเรื่องการล้างแค้นใดๆของจ้าวสำนัก ตราบใดที่แผนการของเขาสำเร็จ จากนั้นเขาก็สามารถที่จะเดินทางออกไปได้ในทันที

แน่นอนว่าหากมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นนั้น การที่เขาจะออกไปจากทวีปโลหิตวิญญาณในตอนนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นกังวลเรื่องการล้างแค้นของจ้าวสำนักวิญญาณ

“ยิ่งไปกว่านั้นพวกกษัตริย์และขุนนางนั้นไม่ได้เป็นเมล็ดพันธุ์จากสวรรค์! การที่เขาสามารถกลายเป็นจ้าวสำนักได้นั้น ทำไมข้าจะเป็นไม่ได้?” เซี่ยปิงหรี่ตามอง

อะไรนะ?!

ได้ยินแบบนี้ ถันป๋อก็สะดุ้งตกใจ ต่อให้ตายเขาก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจั่วฮาวจะมีความทะเยอทะยานเช่นนี้อยู่ ต้องการที่จะกลายเป็นจ้าวสำนักวิญญาณ ช่างเป็นความมักใหญ่ใฝ่สูงจริงๆ

ทั่วทั้งทวีปโลหิตวิญญาณนั้นมียอดฝีมือที่มากมายดั่งก้อนเมฆบนฟากฟ้า การที่ต้องการกลายเป็นจ้าวสำนักวิญญาณซึ่งเรียกได้ว่าผู้ปกครองของทั่วทั้งทวีปนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุด เทียบเท่ากับการทะยานขึ้นสวรรค์ก็ว่าได้ ทว่าทำไมเจ้านี่ถึงได้มีความมั่นใจเช่นนี้กัน?

หรือว่าเขาได้พบเจอกับโชคลาภที่ไม่คาดฝันในการเดินทางก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้เขามีความมั่นใจถึงเพียงนี้?!

ในช่วงเวลานี้ ถันป๋อมีสายตาเป็นประกาย เขารู้สึกงุนงงอย่างมาก ไม่รู้ว่าทำไมจั่วฉาวถึงได้เปลี่ยนแปลงตนเองไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เหมือนกับว่ามีปริศนาอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง

ทว่าเซี่ยปิงก็ไมได้สนใจถันป๋อ เขาได้หันหลังและเดินจากไปพร้อมกับหลิวหยูหลาน

……………………

ในช่วงเวลานี้ ณ มุมถนน ข้างนอกสำนักวิญญาณสาขาเมืองฮวายหนิง

ซู่ ซู่ ซู่!!!

ภาพเงาเจ็ดภาพได้ปรากฏอยู่ในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาต่างก็แต่งตัวอย่างกลมกลืนพร้อมกับมองไปที่ตึกขนาดใหญ่ตรงหน้า พวกเขานั้นก็คือกลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังที่กำลังไล่ล่าเซี่ยปิงนั่นเอง

“แปลกจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะปลอมตัวและลักลอบเข้าไปในภายในสำนักวิญญาณสาขาย่อย นี่มันช่างเป็นการกระทำที่อาจหาญอย่างถึงที่สุด เขาไม่เกรงกลัวว่าจะถูกผู้คนของสำนักวิญญาณค้นพบหรือ ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกสังหารและดับสลายไปตลอดกาลหรือ?” พี่ใหญ่ฟางกุ่ยมีสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างมาก

เดิมทีเมื่อค้นพบตัวตนของเซี่ยปิงในเมืองฮวายหนิงนั้น เขาก็ต้องการที่จะลงมือทันที ทว่าไม่คาดคิดว่าเซี่ยปิงนั้นจะเดินทางอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้หยุดพัก ไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ลงมือ เข้าไปในสำนักวิญญาณสาขาย่อยโดยตรง

หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม เพราะว่าเมื่อใดที่เริ่มลงมือในสถานที่แห่งนี้ จะต้องถูกยอดฝีมือของชนเผ่าวิญญาณค้นพบอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องตกอยู่ในความโกลาหลอย่างแน่นอน

หากสามารถสังหารอย่างรวดเร็วฉับพลันก็โชคดีไป ทว่าสิ่งที่พวกเขาเกรงกลัวที่สุดก็คือการที่ลอบสังหารไม่สำเร็จและตกอยู่ในห้อมล้อมของยอดฝีมือของชนเผ่าวิญญาณ หนำซ้ำพวกเขาก็จะกลายฝ่ายที่ถูกไล่ล่าเสียเอง ซึ่งจะกลายเป็นสถานการณ์ที่พลิกกลับตาลปัตร

ในฐานะที่เป็นนักฆ่าที่โด่งดังของจักรวาลนั้น หากไม่มีความแน่นอนจริงๆ พวกเขาก็จะไม่ลงมือ นี่จะเป็นการทำให้ศัตรูรู้ตัว ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตื่นตัวขึ้นมา หากครั้งหน้าต้องการที่จะลงมืออีกครั้งนั้น มันก็จะไม่เรียบง่ายเหมือนอย่างเดิม

แน่นอนว่าในบรรดาพวกเขานั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าแท้ที่จริงในตอนนี้ตัวตนของตนเองถูกเปิดเผยแล้ว

“เป็นจริงอย่างที่ว่า ช่างแปลกประหลาดจริงๆ ต้องรู้ด้วยว่าสำนักวิญญาณสาขาย่อยนั้นมีค่ายกลยับยั้งอยู่ ซึ่งสามารถตรวจสอบว่าเป็นพลังอำนาจของชนเผ่าวิญญาณหรือนักวิทยายุทธจากจักรวาล หากมีพลังอำนาจที่แปลกประหลาดปะปนอยู่ในสำนักนั้น จะต้องส่งสัญญาณแจ้งเตือนในทันที เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้จะต้องการหลบหนี ก็ไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ ถึงแม้ว่าข้านั้นจะมีความมั่นใจอย่างมากเกี่ยวกับการลักลอบเข้าไปในสถานที่ต่างๆนั้น ทว่าข้าก็ไม่กล้าที่จะลักลอบเข้าไปในสำนักวิญญาณ”

ขงนั่วพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม เขานั้นเป็นยอดฝีมือในการลอบสังหาร ในอดีตเขาเคยลอบสังหารประธานาธิบดีของอาณาจักรขนาดเล็กแห่งหนึ่ง อีกทั้งเคยลักลอบเข้าไปในสถานที่หวงห้ามต่างๆซึ่งมีการคุ้มกันที่แน่นหนา เรียกได้ว่าเขานั้นมีประสบการณ์ในการลอบสังหารมากมาย

ทว่าสำหรับการคุ้มกันของสำนักวิญญาณนั้น เขาก็ต้องล้มเลิกความคิด เพราะว่าท้ายที่สุดแล้วด้วยวิธีการสแกนพลังวิญญาณนั้น เขาก็ไม่มีวิธีการที่จะตบตาได้ ออร่าของนักฆ่าอย่างเขา ออร่าของนักวิทยายุทธจากนอกจักรวาลนั้น ไม่สามารถที่จะปกปิดได้

ในอดีตที่ผ่านมานั้นก็เคยมีนักฆ่าบางคนของจักรวาลที่คิดลักลอบเข้าไปในสำนักวิญญาณ ทว่าพวกเขาทั้งหมดก็ถูกสังหารโดยผู้คนของสำนักวิญญาณ ไม่มีใครเหลือรอด นี่คือการเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น

หากเพียงแค่การปลอมตัวก็สามารถที่จะทำให้แฝงตัวเข้าไปได้นั้น จากนั้นก็คงจะไม่มีผู้คนจำนวนมากที่ตายไปในทวีปโลหิตวิญญาณแห่งนี้