“อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่คิดจะทำอะไร”

น้องสองเหมาปู้มีสายตาเป็นประกาย “ในฐานะที่เจ้าเด็กนี่เป็นลูกศิษย์ของเซนต์นั้น บางทีอาจารย์ของเขาอาจจะมอบสมบัติที่พิเศษบางอย่างให้กับเขา สามารถที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้ ซึ่งนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด”

เขาคาดเดาว่าเรื่องนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับเซนต์อสูรมืดซึ่งเป็นอาจารย์ของเซี่ยปิง

“บัดซบ เจ้านี่ช่างโชคดีเหลือเกิน การที่มีอาจารย์ดีๆเช่นนี้ ช่างเป็นสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าคนอื่นๆ”

“นี่มันยิ่งกว่าสิทธิพิเศษเสียอีก นี่มันเป็นเหมือนกับการทะยานขึ้นสวรรค์ภายในก้าวเดียวก็ว่าได้ สามารถที่จะเดินทางไปได้ทุกหนแห่ง เป็นผลประโยชน์ที่มหาศาล”

กลุ่มของผู้คนที่รู้สึกอิจฉาตาร้อน

“ทว่าพวกเราจะทำอย่างไร ตอนนี้เขาเข้าไปข้างในสำนักวิญญาณ พวกเราไม่สามารถที่จะลักลอบเข้าไปได้ ทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ที่นี่หรือ?” บางคนที่ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า

“ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะเปิดเผยสถานะของเขา บอกว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นปีศาจต่างถิ่น พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“เจ้าโง่ ก่อนที่จะได้เปิดเผยตัวตนของฝ่ายตรงข้าม สถานะของพวกเราก็คงจะถูกเปิดเผยก่อน เจ้าต้องการที่จะดับสลายไปพร้อมกับเขาหรือ?”

“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต่อให้จะบอกสถานะของเจ้าเด็กนั่นไป ก็อาจจะไม่มีใครเชื่อพวกเรา”

“เป็นจริงอย่างที่ว่า ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นกำลังคิดทำอะไร แต่ในเมื่อกล้าที่จะลักลอบเข้าไปในสำนักวิญญาณนั้น มันแสดงว่าเขาจะต้องเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี พวกเราไม่สามารถที่จะเปิดเผยสถานะของเขาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้”

“ทำได้เพียงแค่รอให้เจ้านั่นออกมาเท่านั้น ถึงอย่างไรซะก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะล่วงรู้ว่าพวกเรากำลังรอสังหารเขาอยู่ การที่ตัวตนของพวกเรายังคงเป็นความลับนั้น เขาจะไม่มีทางไหวตัวได้ทันอย่างแน่นอน”

“พูดถูก ไม่ว่าอย่างไรก็อย่ารีบร้อนไป รอให้ได้โอกาสในการลอบสังหารอย่างช้าๆ ตราบใดที่เขาไม่ได้เดินทางออกไปจากทวีปโลหิตวิญญาณนั้น พวกเราก็มีโอกาสที่จะลอบสังหารเขาได้”

กลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังต่างก็พยักหน้า การที่จะเป็นนักฆ่าที่ยอดเยี่ยมนั้น อันที่จริงมันก็เทียบเท่าได้กับการเป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน สำหรับการเฝ้ารอตะครุบเหยื่อนั้น พวกเขามีความอดทนที่เพียงพอ

ครั้งหนึ่งในอดีตพวกเขาเคยลอบสังหารผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ซึ่งต้องหลบซ่อนตัวเป็นระยะเวลานานถึงหกเดือน ทุกๆวันทำได้เพียงแค่ดื่มน้ำและกินหญ้าเท่านั้น ทว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็สามารถที่จะสังหารฝ่ายตรงข้ามได้

ดังนั้นเรื่องการอดทนรอสำหรับพวกเขานั้น ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่

…………

ค่ำคืนเดียวกัน ณ บ้านหลังหนึ่งภายในเมืองฮวายหนิง

ในช่วงเวลานี้ ฉางฉือรวมถึงผู้อาวุโสทั้งสองคนต่างก็ฟื้นคืนสติขึ้นมา ทว่าในตอนนี้สภาพของพวกเขานั้นเป็นเหมือนกับมัมมี่ก็ว่าได้ มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบตัว ไม่สามารถที่จะขยับเขยื้อนร่างกายได้แม้แต่นิดเดียว

พวกเขาได้รับการรักษาอย่างเรียบง่ายจากแพทย์ นอกจากนี้ก็ยังได้รับยาที่ล้ำค่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถฟื้นฟูพลังอำนาจมาได้ส่วนหนึ่ง ทว่าการที่ต้องการจะลุกขึ้นจากเตียงนั้น ยังคงต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน

“จั่วฮาว เจ้าบัดซบจั่วฮาว ไอ้ลูกหมานั่น!”

ฉางฉือที่เพิ่งฟื้นคืนสติคำรามออกมาทันที เสียงของเขาดังเหมือนกับสายฟ้าฟาด “ข้าไม่สามารถที่จะให้อภัยเขาได้ ไม่สามารถที่จะให้อภัยเขาอย่างแน่นอน ข้าจะต้องบอกพ่อของข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่งกองทัพออกไปจัดการเขา สังหารเขาให้สิ้นซาก ฆ่าล้างบรรพบุรุษทั้งเก้าชั่วโคตรของเขา อ๊าก!”

เขาโมโหอย่างถึงที่สุด ต้องการที่จะแยกชิ้นส่วนร่างกายของเซี่ยปิงใจจะขาด

ในฐานะที่เป็นลูกชายชองจ้าวสำนักวิญญาณนั้น ตั้งแต่เด็กจนโตนั้นได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ได้รับการดูแลปฏิบัติที่ดีจากทุกๆคน เมื่อไหร่กันที่เขาจะต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังหวาดกลัวจนหมดสติไป

นี่มันช่างเป็นความอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาก็ยังคงสั่นเทาด้วยความเกรงกลัว หากเท้าของเซี่ยปิงคลาดเคลื่อนเพียงแค่เล็กน้อยล่ะก็ จุดสำคัญของเขาก็คงจะใช้งานไม่ได้ไปตลอดชีวิต

การที่คิดว่าตนเองอยู่ห่างจากการกลายเป็นขันทีเพียงนิดเดียวนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกเคียดแค้นเซี่ยปิง ทั่วทั้งร่างกายสั่นเทา เหมือนกับว่าหากเซี่ยปิงปรากฎตัวขึ้นมาที่นี่ เขาจะต้องกระโจนเข้าไปและฉีกร่างกายให้เป็นพันๆชิ้นทันที

“นายน้อยฉาง โปรดสงบสติอารมณ์ ท่านควรสงบสติอารมณ์ลงก่อน ไม่ใช่มีเพียงแค่ท่านเท่านั้นที่ต้องการสังหารเขา พวกเราก็ต้องการที่จะสังหารเขาในทันทีเช่นกัน” ผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณได้พูดห้ามปราบออกมา

“เจ้าจะให้ข้าสงบสติอารมณ์อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรที่จะสงบสติอารมณ์ได้อีก?!” ฉางฉือเดือดระอุขึ้นมา “ไอ้ลูกหมานั่นเกือบทำให้ข้าพิการ ขาดอีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หากเจ้าบัดซบนั่นไม่ระวังและขาดสติเพียงนิดเดียวล่ะก็ ข้าก็จะกลายเป็นขันทีของทวีปโลหิตวิญญาณ ไม่สามารถที่จะสืบพันธ์กับผู้หญิงได้อีกต่อไป เจ้ากำลังพูดว่าการที่ข้าเผชิญกับกระทำเช่นนี้นั้นข้าไม่สมควรเคียดแค้นหรือ ไม่สมควรเคียดแค้นอย่างนั้นหรือ?! การที่เจ้าต้องการทำให้ข้าสงบสติอารมณ์ลงนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร?!”

เขาไม่สามารถที่จะยับยั้งอารมณ์ความโมโหของตนเองได้อีก

“นายน้อยฉาง ท่านลองคิดดูดีๆว่าทำไมเจ้านี่ถึงยโสโอหังยิ่งนัก แม้แต่ลูกชายของจ้าวสำนักวิญญาณก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา ท่านคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ผิดปกติหรือ? ข้าคิดว่าเขานั้นเป็นเพียงแค่ผู้นำ ทว่าอันที่จริงนั้นเบื้องหลังของเขาก็ยังคงมีกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่อยู่ ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาก็อาจจะเป็นการวางแผนแย่งชิงตำแหน่งของท่านจ้าวสำนัก?!”

ผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม เขาสงสัยอย่างมากว่าเซี่ยปิงมีเป้าหมายอยู่ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การที่กล้าต่อปากต่อคำกับลูกชายของจ้าวสำนักและถึงขั้นลงมือโดยที่ไม่สนใจกับผลลัพธ์ที่จะตามมานั้น นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างมาก

การที่สามารถกลายเป็นจ้าวสำนักวิญญาณสาขาย่อยได้นั้น ใครกันที่จะเป็นคนอ่อนแอและไร้สมอง ทุกๆการกระทำนั้นย่อมมีการคิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี ไม่มีทางที่จะทำอะไรโดยที่ไร้เหตุผล

“นี่มัน!”

ในช่วงเวลานี้ฉางฉือก็สงบสติอารมณ์ลง ทั่วทั้งร่างกายสั่นเทา เมื่อคิดได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้านี่ไม่ใช่เพื่อจัดการกับตนเอง แต่เป็นพ่อของตนเองที่อยู่เบื้องหลังนั้น เขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนสั่นเทาทันที

หากพ่อของเขาไม่ใช่จ้าวสำนักวิญญาณอีกต่อไปและล้มไปจากตำแหน่งอย่างกะทันหันนั้น จากนั้นเขาจะสามารถใช้อำนาจในการรังแกและข่มเหงผู้อื่นเหมือนอย่างที่เคยผ่านๆมาหรือ?! บางทีเมื่อถึงเวลานั้น ผู้คนที่ต้องการสังหารเขานั้น อาจจะถาโถมเข้ามาจากทุกหนแห่งของทวีป

ดังนั้นสีหน้าความโมโหของเขาจึงหายไปอย่างหมดจดและถูกแทนที่ด้วยสีหน้ามืดมนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าศักดิ์ศรีของตนเอง ควรที่จะคิดอย่างรอบคอบถึงการเคลื่อนไหวต่อไป

“ชายชราพาน ทำไมถึงได้คิดเช่นนี้?”

ฉางฉือถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาลง

เห็นฉางฉือที่ใจเย็นลง ผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณก็รู้สึกพึงพอใจอย่างมากและได้พูดออกมา “ข้าคิดว่าการที่เจ้าจั่วฮาวกล้าที่จะแสดงความยโสโอหังเช่นนี้นั้น คาดการณ์ได้ว่ามีความเป็นไปได้อยู่สองทาง อย่างแรกคือเขานั้นยังมีอายุที่น้อย จึงยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทว่าข้าคิดว่าความเป็นไปได้ของเรื่องนี้นั้นไม่ได้สูงนัก เพราะว่าถึงอย่างไรการที่สามารถดำรงตำแหน่งจ้าวสำนักวิญญาณสาขาย่อยได้นั้น มีที่ไหนที่จะเป็นคนที่อ่อนหัดและไม่มีไหวพริบ”

“ส่วนความเป็นไปได้ที่สองก็คือเขานั้นได้ร่วมมือกับกองกำลังอื่นๆของสำนักวิญญาณ เป็นกลุ่มอิทธิพลที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อต่อต้านจ้าวสำนักวิญญาณ ดังนั้นการที่เขาได้อัดท่านนายน้องฉาง ก็คงจะเป็นแผนการส่วนหนึ่งของพวกเขา”

“เป็นไปได้ว่าการกระทำนี้ มีจุดประสงค์เพื่อยุแหย่และล่อลวง คิดที่จะดึงงูออกมาจากรู ตรวจสอบสถานการณ์โดยรวมของท่านจ้าวสำนัก ดูว่าข้างกายของท่านจ้าวสำนักนั้นมีกองกำลังมากแค่ไหน”

“ไม่ว่าอย่างไร ข้าคิดว่าการกระทำเหล่านี้ต่างก็โยงไปถึงตัวท่านจ้าวสำนัก เป็นกลอุบายที่เชื่อมโยงในการล้มล้างตำแหน่งของท่านจ้าวสำนัก นายน้อยฉางเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก พวกเราจะต้องคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ ไม่อย่างนั้นหากก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว ก็อาจจะไม่มีทางฟื้นกลับคืนมาได้ตลอดไป”

ตั้งแต่ในยุคสมัยโบราณถึงจนตอนนี้นั้น ความขัดแย้งทางการเมืองนั้นก็มักที่จะเป็นสิ่งที่โหดร้ายรุนแรงที่สุด มักที่จะเกิดการฆ่าล้างตระกูลอยู่บ่อยครั้ง ไม่สามารถที่จะมองข้ามเรื่องนี้ไปได้

“ข้าควรทำอย่างไร?”

การที่ได้ยินผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณพูดออกมาเช่นนี้ ฉางฉือก็รู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา

“หยุดยั้งกองกำลังไว้ก่อน”

ผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “สรุปก็คือพวกเราจะต้องทำการสืบสวนเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน อีกทั้งสืบหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังและสนับสนุนเขาทั้งหมด รอดูว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร เมื่อพวกเราได้ข้อมูลทั้งหมดมานั้น หลังจากนั้นมันก็ไม่สายเกินไปที่จะตัดสินใจใหม่อีกครั้ง”

“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าลูกผู้ชายสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย”

“เมื่อพวกเราค้นพบความจริงทั้งหมด เขาก็จะต้องตาย ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเหลือเขาได้”

จิตสังหารของเขาเดือดดาลออกมา เห็นได้ชัดว่าโกรธแค้นกับการกระทำของเซี่ยปิงเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายนั้นมีความอาฆาตแค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

“ชายชรา ข้าจะเชื่อฟังคำพูดของเจ้า อดทนอดกลั้นกับเขาไปชั่วคราว” ฉางฉือกำหมัดขึ้นมา