ตระกูลชิว…บุตรีคนที่สี่ หึๆ

 

 

บุตรีคนที่สี่ตระกูลชิว…

 

 

ดวงตาที่เดิมทีนุ่มนวลสดใสฉายแววตื่นเต้นวิบวับ ช้อนตาขึ้นเหมือนคิดอะไรบางอย่าง แลดูเงาพญาปักษาสายหนึ่งที่โฉบผ่านขอบฟ้า

 

 

เขายังจำได้ว่ามีตำนานเล่าขานที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าเป็นคำสาปแช่งก็ได้

 

 

นั่นคือสตรีที่เกิดมาก็เพื่อบำเรอบุรุษในราชนิกุลทุกคน หรือจะเรียกว่าคณิกาเทวะก็ได้

 

 

ยากจะนึกคิดว่าคนตระกูลชิวใจกล้าขนาดนี้ ซ่อนเร้นความลับชนิดตายทั้งโคตรมานานถึงเพียงนี้ แต่ที่เขาคาดคิดได้ยากยิ่งกว่าคือบุรุษที่เหมือนลมเย็นจันทร์กระจ่าง หล่อเหลาเป็นหนึ่งไม่มีสอง…อืม น่าจะพูดว่าสตรีมากกว่า จะกลายเป็นคณิกาเทวะผู้แสนต่ำต้อย

 

 

เหมยซูร้องเหอะเบาๆ อย่างเหยียดหยาม ลูบคลำกำไลวงใหญ่ที่มือ นกเหยี่ยวที่งดงามเพียงนี้ เป็นไปได้อย่างไรที่จะให้บุรุษใดๆ ก็กล้ำกลายได้

 

 

ทว่า…

 

 

มุมปากเขาเผยรอยยิ้มอันนุ่มนวลแต่เชือดเฉือน ความลับนี้คือตรวนชั้นดีหรืออาจเป็นกรงสำหรับขังเจ้านกที่งดงามแต่ดุร้ายไว้ได้

 

 

“นายท่าน ท่านหมอขึ้นเกี้ยวแล้ว!” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เสื้อเขียวเข้ามากระซิบ

 

 

เหมยซูฟังแล้วยิ้มเนือยๆ “เจิ้งหยาง ออกเดินทางเถิด พาไปที่ที่ข้าถูกน้ำซัดขึ้นฝั่งก่อน”

 

 

เมื่อครู่เพิ่งรับสั่งให้ไปตามท่านหมอ เผื่อเจ้านกตัวนั้นก็บาดเจ็บเหมือนตน หากรักษาไม่ทันการก็จบกัน

 

 

“ขอรับ!” เจิ้งหยางประสานมือคารวะ แล้วหันไปโบกมือออกคำสั่ง “ออกเดินทาง!”

 

 

บรรดาทหารทางการที่รวมพลในที่นี้แต่เนิ่นๆ ขับม้าไปตามคำสั่งทันที คนที่นำหน้าพวกเขาล้วนเป็นองครักษ์บ้านตระกูลเหมย

 

 

แต่องครักษ์พิทักษ์บ้านตระกูลเหมยแต่ละคนล้วนงามสง่าไม่ธรรมดา ขมับสองข้างนูนสูง มองดูก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านกำลังภายใน และพวกทหารทางการที่ตามอยู่ข้างหลังมองอย่างไรก็เหมือนบ่าวไพร่ที่คอยติดตาม

 

 

ฝีเท้าม้าพาเอาฝุ่นฟุ้งตลบ ชาวบ้านที่เฝ้าดูสองข้างทางพากันเย็นเยือกในหัวใจ

 

 

เช้านี้ฟังว่าท่าเรือทุกแห่งถูกปิดแล้ว บัดนี้ยังเห็นทางการและตระกูลเหมยยกขบวนใหญ่โตขนาดนี้ เกรงว่าคงเกิดเรื่องใหญ่แล้ว

 

 

ตะวันค่อยๆ ลอยขึ้น อากาศหอมกรุ่นด้วยพืชนานาพรรณ แสงตะวันยามเช้าของฤดูร้อนทำให้สรรพสิ่งถูกฉาบด้วยประกายสีทองจางๆ แต่ไม่ร้อนนัก บนคลองขุดใหญ่ที่ไกลออกไปเริ่มคึกคักแล้ว

 

 

มีพวกชาวประมงที่เริ่มกิจวัตรประจำวัน มีเสียงหวูดที่ล่องลอยไปในหุบเขา

 

 

ชิวเยี่ยไป๋กินข้าวต้มในชามช้าๆ พลางมองดูทัศนียภาพนอกหน้าต่างที่ไกลออกไป แววตาสบายใจอยู่บ้าง

 

 

นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ริมคลองขุด ชาวบ้านเลี้ยงชีพด้วยการหาปลามาหลายชั่วคน การเป็นอยู่ไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็อยู่ได้อย่างพอเพียง ชีวิตธรรมดามัธยัสถ์แต่สงบสุข

 

 

บรรยากาศเช่นนี้ทำให้นางหวนนึกถึงหลายปีก่อนที่ติดตามท่านอาจารย์ก็เคยพักอาศัยในหมู่บ้านเช่นกัน ตะวันขึ้นก็ทำงาน ตะวันตกดินก็พักผ่อน

 

 

แต่นางรู้ดีว่าความสงบสุขในที่นี้กำลังจะถูกทำลายแล้ว

 

 

ประตูใหญ่ดัง แอ๊ด แล้วเปิดออก สตรีสวมเสื้อพื้นน้ำเงินดอกขาวแขนสอบเหมือนสตรีชาวประมงทั่วไป เข้ามาเห็นชิวเยี่ยไป๋มองมา ใบหน้าดำเหลืองก็ฉายแววขวยเขินที่ไม่ค่อยได้พบกับคนภายนอก “หนุ่มน้อย เรื่องที่ท่านให้พ่อบ้านข้าไปสืบดู เขาสืบมาได้แล้ว”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋วางชามกับตะเกียบลง ยิ้มให้นางอย่างนุ่มนวล “อาซ้อหลิวรีบเชิญพี่ใหญ่เข้ามาเถิด”

 

 

อาซ้อหลิวเห็นหนุ่มน้อยยิ้มให้ตนอย่างเป็นกันเอง ก็ใจกล้าขึ้นหน่อย ผงกศีรษะกล่าวว่า “นี่!” หันไปเรียกบุรุษของตนเข้ามา

 

 

“หลิวต้า รีบเข้ามาเร็ว!”

 

 

ครู่เดียวบุรุษตัวเตี้ยแต่กำเนิดผิวดำก็เดินเข้ามา เขาคือบุรุษของอาซ้อ สกุลหลิว นามหลิวต้า พอเข้าไปในห้องก็นั่งลงที่ม้านั่งโต๊ะชิวเยี่ยไป๋ ปาดเหงื่อหอมพลางกล่าวว่า “พ่อหนุ่มไป๋ เจ้าอาจไม่รู้ เช้านี้เหล่าหลี่กับข้าเพิ่งออกจากหมู่บ้านสามลี้ก็เห็นทหารเยอะแยะ ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ปิดทางน้ำแถวนี้ไว้หมด ไม่ให้คนเข้าออก ข้าอุตส่าห์หาทางสายน้อยที่พวกเขาไม่ค่อยใช้กันจึงอ้อมผ่านแนวปิดกั้น ไปสืบหาเพื่อนของเจ้า!”

 

 

ทหารปิดเส้นทาง?

 

 

หรือนางเดาถูกจริง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วในใจกระตุกวูบหนึ่งแล้วถามอย่างเป็นปกติ “อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงต้องปิดเส้นทางบริเวณนี้”

 

 

อาซ้อสกุลหลิวช่วยสามีเช็ดเหงื่อพลางสอดคำ “หนุ่มน้อย เจ้าคงไม่รู้ ไม่เพียงเท่านี้นะ พี่สาวแซ่หวังข้างบ้านข้าเพิ่งจะไปเก็บแหยังเห็นเรือโดยสารลำหนึ่งจอดอยู่บริเวณนี้ด้วย นายท้ายมาขอน้ำดื่ม ยังด่าโขมงว่าตอนนี้ปิดเมืองแล้ว เข้าได้ห้ามออก ผู้โดยสารจำนวนมากจึงต้องอ้อมไปทางฝั่งใต้ เสียรายได้ไม่น้อย!”

 

 

ถึงกับปิดเมืองด้วย ดูท่าเป็นงานใหญ่ และคงมีแต่เหมยซูที่สามารถทำเช่นนี้ได้

 

 

ดวงตาชิวเยี่ยไป๋ฉายแววเย็นเยียบ พอเงยหน้าขึ้นยังคงท่าทางตกใจ “คิดว่าคงเกิดเรื่องกระมัง”

 

 

อาซ้อสกุลหลิวสั่นศีรษะ “อาซ้อไม่ได้ยิน แม้แต่นายท้ายเรือก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

จากนั้นนางก็มองบุรุษของตน “สามี เจ้ารู้หรือเปล่า”

 

 

หลิวต้าลังเลกล่าวว่า “ตอนที่ข้าไปดูเหมือนได้ยินว่ามีโจรเข้าเมือง ประมาณว่าขโมยเอาของสำคัญไป”

 

 

เขาคิดดูแล้วเสริมว่า “ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับตระกูลเหมย”

 

 

ยามนี้ชิวเยี่ยไป๋แน่ใจแล้วว่า…เหมยซูยังไม่ตาย และคงยังแข็งแรงดี ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกะจิตกะใจหว่านแหปิดฟ้าคลุมดินเช่นนี้!

 

 

นางยิ้มให้หลิวต้า “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยสืบข่าวท่านอาบ้านข้า บัดนี้ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

หลิวต้าแลดูชิวเยี่ยไป๋ ลังเลครู่หนึ่งแล้วถอนใจกล่าวว่า “พ่อหนุ่มไป๋ พี่ใหญ่มีข่าวไม่สู้ดี ท่านอาบ้านเจ้าตกน้ำและถูกซัดขึ้นฝั่งจริง แต่บาดเจ็บสาหัสกว่าลูกพี่ลูกน้องเจ้า ตอนนี้ยังครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่เลย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วใจหายวูบ แต่ก็มิได้เหนือความคาดคิดเพียงพยักหน้ากล่าวว่า “ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ที่ช่วยเหลือ”

 

 

นางให้หลิวต้าไปช่วยสืบข่าวเหล่าเจอกู บัดนี้แม้จะได้ข่าวแล้ว แต่เห็นหลิวต้ามิได้พาคนมาด้วย จึงนึกอยู่แล้วว่าสภาพของเหล่าเจอกูน่าจะไม่ดีนัก

 

 

จากนั้นนางก็ล้วงเศษเงินจากกระเป๋ายื่นให้หลิวต้า “ค่าตอบแทนเล็กน้อย ขอบพระคุณพี่ใหญ่หลิวและอาซ้อที่ช่วยชีวิต”

 

 

แม้เงินในมือของชิวเยี่ยไป๋จะเล็กน้อย แต่คนชนบทที่เคยเห็นเงินน้อยยิ่งกว่าน้อย ส่วนมากมักใช้เหรียญกษาปณ์ทองเหลือง บัดนี้เห็นเงินแท่งก็ตกใจ หลิวต้ารีบปฏิเสธ “พวกเราหากินตามริมน้ำ ช่วยคนเป็นการสร้างกุศล ตลอดปีเรามักช่วยขึ้นมาหลายคน ถือว่าไม่ผิดต่อมโนธรรม ท่านเทพมังกรเห็นพวกเราจิตใจดีงามย่อมคุ้มครองพวกเรา เจ้าให้ข้าไปเจียดยาก็ให้ค่ายาแก่พวกเราแล้ว เงินอื่นๆ รับไว้ไม่ได้!”