อาซ้อสกุลหลิวแม้จะตาเป็นประกายเมื่อเห็นเศษเงิน แต่จะอย่างไรก็เป็นสตรีชนบทที่ซื่อสัตย์ เห็นบุรุษบ้านตนพูดเช่นนี้แล้ว นางย่อมผงกศีรษะแรงๆ “ไม่ผิด หนุ่มน้อยไป๋ พวกเจ้ารอนแรมค้าขายก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูพวกเขาและยิ้มอย่างอบอุ่น “สองท่านรับไว้เถิด วันหน้าเกรงว่ายังต้องไปเจียดยาให้ญาติผู้น้องของข้าผู้นั้นด้วย คงต้องรบกวนพวกท่านอีก ถือว่าเป็นค่ายาเถิด ต่างก็ไม่ง่ายเหมือนกัน”

 

 

หลิวต้ากับอาซ้อเห็นนางยืนกราน คิดในใจว่าไปเจียดยาก็ต้องใช้เงินจริงด้วย จึงรับไว้อย่างลังเล

 

 

เห็นหลิวต้ารับเงินไว้ และยังกระสับกระส่ายเร่งให้อาซ้อรีบไปต้มยา นางลอบถอนใจให้กับความสมถะของคนชนบทบ้านนี้

 

 

หวังว่าจะไม่มีเรื่องลุกลามมาถึงพวกเขาจึงจะดี

 

 

นางลุกขึ้นเดินเข้าด้านใน โจวอวี่เห็นนางเข้ามา ผมดำเต็มศีรษะครึ่งหนึ่งตกอยู่กับไหล่ ก็หันไปยิ้มกับนาง ใบหน้าซีดเซียวมีวงสีแดงเรื่อๆ จากพิษไข้ ทำให้ดูแล้วรูปงามไม่น้อย

 

 

“ใต้เท้า”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขาแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “อืม ไม่เสียทีที่เป็นคุณชายโจวชื่อกระฉ่อนของเมืองหลวง ยามปกติยังไม่รู้สึก วันนี้จึงพบว่าสมชื่อจริงๆ”

 

 

โจวอวี่ขวยเขิน พิษไข้บนใบหน้าแดงกว่าเดิม ฝืนยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าอย่าหัวร่อข้าน้อยเลย เรื่องเหลวไหลเมื่อก่อน…”

 

 

เขาหยุดลงแล้วกล่าวอีก “ข้าน้อยยังพอไหว ใต้เท้ามิต้องกังวลว่าข้าน้อยจะไม่สบายใจ เมื่อครู่ก็

 

 

ได้ยินที่หลิวต้าพูดแล้ว ในเวลาอันสั้นคงไม่สามารถพาเหล่าเจอกูมาอย่างราบรื่น ใต้เท้ามีอะไรก็สั่งเถิด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ดูแล้วเขาท่าทางไม่ดีเลย เมื่อครู่จึงเย้าแหย่ แต่เขารู้ทันจึงถอนใจคราหนึ่ง “ไม่ผิด ด้านเหล่าเจอกูเราต้องวางแผนระยะยาว แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องไปจากที่นี่”

 

 

ในแถบไหวหนานเหมยซูสามารถปิดฟ้าด้วยมือเดียวได้จริง แต่ที่นี่ก็เป็นศูนย์กลางการสัญจรทางน้ำ เชื่อมโยงกับทุกทิศ มิใช่บอกว่าปิดข่าวก็จะปิดได้ นางได้ใช้วิธีการพิเศษของสำนักหอซ่อนกระบี่ส่งข่าวแจ้งพวกเป๋าเป่าแล้ว

 

 

โจวอวี่ลังเลครู่หนึ่งกล่าวว่า “ท่านติดต่อกับพวกเป๋าเป่าได้หรือยัง แต่ถ้าข้าน้อยจำไม่ผิด พวกเป๋าเป่าเดินทางช้ากว่าเรา ยามนี้น่าจะอยู่ฝั่งใต้ห่างจากตงอั้นยังมีระยะทางอยู่ และบอกตามตรง ถ้าเป๋าเป่าพาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่มาด้วยก็ดีไป ถ้าพาพวกกองคั่นเฟิงมา ไม่เพียงแต่ช่วยพวกเราไม่ได้ ยังอาจเป็นตัวถ่วงใต้เท้าด้วยซ้ำ”

 

 

พวกเฮงซวยในกองคั่นเฟิงเป็นอย่างไร เขารู้อยู่แก่ใจ ในไหวหนานเหมยซูควบคุมข้าราชการและทหารทั้งหมด จะจัดการกับพวกพี่น้องกระสอบหญ้าของกองคั่นเฟิงกำลังเหลือเฟือ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋นั่งลงกลับสั่นศีรษะกล่าวว่า “คนของหอซ่อนกระบี่จะเป็นอริกับทหารทางการซึ่งหน้าไม่ได้ นี่เป็นกฎเกณฑ์ของยุทธจักร ข้าก็ไม่อยากให้ยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ดังนั้นคราวนี้เราจึงต้องอาศัยพวกเป๋าเป่า”

 

 

โจวอวี่ฟังแล้วก็ใจหาย จะมากหรือน้อย เขาก็รู้ว่าหอซ่อนกระบี่มีฐานะในยุทธจักรเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถ้าม้วนเข้าไปก็เป็นฝ่ายต่อต้านทหารทางการโดยตรง ย่อมจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ในยุทธจักร

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเขา ตาเป็นประกาย “โจวอวี่ เจ้าเชื่อข้าไหม”

 

 

โจวอวี่มองดูนางไม่ลังเลแม้แต่น้อย มุมปากเชิดขึ้นเล็กน้อย “ข้าน้อยเชื่อ ใต้เท้ามีแผนอย่างไรโปรดสั่งเถิด”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูใบหน้าขาวผ่องของเขา พลันเอื้อมมือดีดใส่ริมฝีปากของเขาอย่างไม่สำรวม “ข้าต้องการเมียคนหนึ่ง มิทราบว่าคุณชายโจวจะแต่งกับข้าได้ไหม”

 

 

โจวอวี่ตะลึง พลันก้มหน้าลง พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง หางตาก็กระตุกคิ้วคางจู่ๆ ก็ปรากฏแววของความเจ้าชู้ยั่วยวน “ข้าน้อยย่อมยินดีเจ้าค่ะ”

 

 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เลิกผ้าม่าน ตอนไปเอายาที่หลังบ้าน บังเอิญเห็นหยวนเจ๋อนั่งสัปหงกบนธรณีประตู นางมองดูหยวนเจ๋อ ดวงตาฉายแววสับสน

 

 

นางนึกถึงตอนหลังจากที่โจวอวี่ฟื้นขึ้นมาแล้วเล่าเรื่องประหลาดให้นางฟัง

 

 

โจวอวี่บอกว่าคนที่ทำเขากับเหล่าเจอกูตกน้ำ เป็นคนที่เหมือนหยวนเจ๋อมาก แต่ไม่ใช่หยวนเจ๋อ แต่ตอนพวกเขาอยู่ในถ้ำนางไม่เห็นคนลึกลับผู้นี้เลย เรื่องนี้ยากจะเข้าใจจริงๆ

 

 

และอีกเรื่องหนึ่งที่รบกวนจิตใจของนางคือ หยวนเจ๋อรู้ความลับของนางหรือไม่ ตอนนางฟื้นขึ้นมาหยวนเจ๋อก็สลบไสลอยู่ในเรือ หรือว่าเป็น ‘คนลึกลับ’ ที่ผลักโจวอวี่กับเหล่าเจอกูตกน้ำ เป็นคนวางพวกตนไว้บนเรือ

 

 

บวกกับป้ายไม้เล็กๆ พวกนั้นในมือเขา ซึ่งนางยังไม่ทันมีโอกาสตรวจดูให้ละเอียดด้วย

 

 

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนไร้เบาะแสและไม่เป็นตรรกะเลย ทำให้นางปวดศีรษะกับหลวงจีนผู้นี้ สำหรับนางแล้วเขาได้กลายเป็น ‘สิ่งของ’ ที่ต้องผูกติดกับตัวคอยดูต่อไป แม้แต่ตอนจะหลบหนีก็ต้องพาเจ้าตัวถ่วงนี้ไปด้วย

 

 

แต่เจ้าหลวงจีนที่ซุกกับมุมห้องหลับอุตุจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ วันๆ กลับรอให้คนมาป้อน เสร็จแล้วก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ นอน นี่คือวัฏจักรการดำรงชีวิตของเขา

 

 

ดูเหมือนเขาก็เหมือนหลวงจีนธรรมดา สำรวมจิตรักษาศีลมือไม่เคยเปื้อนคาวเลือด และบนตัวไม่เคยมีความลับอะไรเลย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ก้าวข้ามเขาอย่างว้าวุ่น ตั้งใจจะไปหาอาซ้อสกุลหลิวเพื่อเอายา กลับได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ

 

 

“น้องสาวสกุลหลิว วันก่อนคนที่พวกเจ้าช่วยไว้เป็นใครกัน จะเป็นโจรราคะที่ทางการในเมืองต้องการจับตัวหรือไม่” เสียงชราแหลมเล็กดังขึ้น

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ชะงักเท้า แล้วรีบยืนซ่อนที่มุมผนัง เฝ้าดูสตรีสองนางที่ประตูบ้านเงียบๆ

 

 

อาซ้อสกุลหลิวกำลังยองตัวใช้พัดเล่มน้อยในมือพัดเตาไฟพลางกล่าวอย่างไม่เห็นด้วยว่า “อาซิ้มสกุลจู ท่านว่าอะไรนะ พี่น้องแซ่ไป๋นั่นเป็นคนเคยเรียนหนังสือมาบ้าง เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาจะไปสอบ จึงได้ติดตามคนในบ้านออกมาค้าขายเล็กๆ น้อยๆ นึกไม่ถึงว่าติดตามพวกท่านตาออกจากบ้านมาค้าขายครั้งแรกก็เคราะห์ร้ายตกน้ำ”

 

 

หญิงชราร่างกายผ่ายผอมที่พิงรั้วบ้านใบหน้ารูปสามเหลี่ยมหัวกลับ สองตาเล็กเหมือนถั่วเขียวดูเหมือนจะมีแววเจ้าเล่ห์ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหญิงชราตามตลาดที่ขี้ตืดและชอบเอาเปรียบคนอื่น ยามนี้นางได้ยินอาซ้อสกุลหลิวพูดเช่นนี้ก็กลอกตากล่าวว่า “มันก็ไม่แน่ ข้าเคยเห็นเด็กแซ่ไป๋ที่ประตูบ้านแวบหนึ่ง เห็นเขาแม้จะหน้าตาดี แต่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกเจ้าชู้ พวกดรุณีน้อยในเมืองมักถูกคนประเภทนี้หลอกง่ายที่สุด”

 

 

นางหยุดลงแล้วพูดต่อ “ฟังว่าประกาศข้างนอกให้ทุกคนนำตัวคนต่างถิ่นวานนี้ไปมอบให้กับผู้ใหญ่บ้าน ถ้าเป็นคนร้ายจริงจะได้รางวัลเงินหนึ่งร้อยตำลึงเชียวนะ!”

 

 

อาซ้อขมวดคิ้วแลดูนาง “อาซิ้มสกุลจู ท่านจะทำอะไร เด็กสองคนนั้นออกจะน่าสงสาร คนเป็นน้องยังไข้รุมนอนซมกับเตียงจะส่งตัวไปได้อย่างไร นี่มันผิดคุณธรรมชัดๆ ท่านเทพมังกรดูอยู่นะ!”

 

 

อาซิ้มสกุลจูเห็นอาซ้อแซ่หลิวถลึงตาใส่คน ก็หัวร่อแห้งๆ สองคำ “เปล่าๆ…ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง น้องสาวทำไมจึงจะทะเลาะกับคนบ้านเดียวกันเพราะคนนอกสองคนเล่า!”