คนในรถไอหนักขึ้นทันทีราวกับปอดจะฉีก คล้ายกับจะไอเอาปอดของตนออกมา และท่าทางเหมือนกำลังจะหมดสติ

 

 

นึกไม่ถึง หัวหน้าหมวดเห็นสตรีไอหนักผู้นั้นแล้วพลันถามว่า “เมียเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร”

 

 

ผู้เยาว์ท่าทางกลัดกลุ้มเจ็บปวด หลุดปากสองคำ “วัณโรค”

 

 

คำนี้ทำเอาทหารคนนั้นและหัวหน้าหมวดสะดุ้ง สีหน้าเปลี่ยนไป “วัณโรค?”

 

 

ผู้เยาว์พยักหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ถูกต้อง เมียข้าแต่งกับข้าไม่ถึงสองปีก็ป่วยเป็นโรคนี้ และอาการหนักขึ้นทุกที ท่านหมอบอกว่า ให้ข้าน้อยอยู่กับนางให้มาก เพราะมีเวลาไม่กี่วันแล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงพานางออกมาชมโลกกว้างบ้าง”

 

 

พูดจบก็ยกแขนเสื้อปิดหน้าคล้ายร่ำไห้

 

 

วาจาของเขาทำเอาผู้ที่ได้ยินต่างน้ำตาไหล เหล่าชาวบ้านผู้ใสซื่อต่างพากันส่งเสียงทอดถอนใจ

 

 

หัวหน้าหมวดฟังแล้วรีบโบกมือเหมือนไล่แมลงวัน “ไป ไป ไป!”

 

 

ทหารที่อยู่ข้างๆ กำลังได้ใจ นึกอยู่ว่าไว้หัวหน้าตนได้กินเนื้อนุ่มขาวของแม่นางคนนี้แล้ว ตัวเขาจะมากหรือน้อยคงได้แอ้มบ้าง ไหนๆ ก็คนต่างถิ่น ต่อให้ตายอยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครมาสืบพบ

 

 

ปรากฏว่าพลันได้ยินหัวหน้าสั่งให้ปล่อยตัว เขาจึงมองดูหัวหน้าของตนอย่างงงงัน “หัวหน้า…ไม่ได้…”

 

 

หัวหน้าหมวดบันดาลโทสะเตะใส่น่องเขาในพริบตา แล้วถีบจนคะมำกับพื้น “ไอ้โง่ เจ้าไม่รู้หรือว่าวัณโรคติดต่อได้!”

 

 

ว่าแล้วก็รีบหันกายพาผู้ใหญ่บ้านไปด้วยราวกับหนีโรคร้าย

 

 

ผู้เยาว์มองดูทหารที่เกลือกกับพื้นอย่างทุลักทุเลด้วยสายตาดูแคลน กำลังเตรียมจะเก็บของแห้งบนพื้น กลับได้ยินนอกหมู่บ้านจู่ๆ ก็มีเสียงม้าขบวนหนึ่งควบกุบกับ

 

 

ฟังเสียงแล้วน่าจะมากันหลายคน พวกชาวบ้านมองไปนอกหมู่บ้านอย่างไม่สบายใจ ก็เห็นฝุ่นฟุ้งตลบไม่นานนัก ขบวนม้าก็เข้ามาในหมู่บ้าน ทหารและองครักษ์ชุดเขียวรัดกุมกลุ่มหนึ่งออกันคุ้มกันรถม้าหรูหราคันหนึ่ง

 

 

หัวหน้าหมวดงงงัน และจำได้ทันทีว่าเป็นรถม้าของใคร จึงรีบพาลูกน้องไปต้อนรับ กล่าวกับหัวหน้าชายชุดเขียวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านองครักษ์เจิ้งหยาง ทำไมคุณชายใหญ่จึงมาด้วย”

 

 

ใบหน้าเข้มแข็งของเจิ้งหยางไร้ความรู้สึก “ตรวจตราค้นคน”

 

 

หัวหน้าหมวดรีบยิ้มประจบ “ขอรับๆ ท่านดูสิ พวกเราก็กำลังตรวจค้นเหมือนกัน จะไม่มีทางให้ใครที่ต้องสงสัยหนีไปได้แม้แต่คนเดียว”

 

 

เหมยซูหลับตาพักผ่อนในรถ หญิงรับใช้หน้าตาดีคนหนึ่งกำลังใช้ตัวของนางเป็นหมอนเนื้อให้อิงกาย เพื่อไหล่ซ้ายและแขนซ้ายของเจ้านายผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้ไม่ถูกกระแทกขณะรถโคลงเคลง

 

 

ฟังรายงานของเจิ้งหยางแล้วเขาจึงลืมตาอย่างเกียจคร้าน ให้สัญญาณหญิงรับใช้เลิกม่านแพรสีมรกตประณีตขึ้น แล้วมองดูสภาพภายนอก “อย่าทำให้ชาวบ้านเสียเวลาทำมาหากิน แค่ตรวจค้นก็พอ เรียกหัวหน้าหมวดกับผู้ใหญ่บ้านมาหน่อย”

 

 

นี่เป็นหมู่บ้านที่สี่ที่เขาปิดทางและตรวจค้น ตามขอบเขตลุ่มน้ำที่ประมาณไว้ก่อนเคลื่อนพล ถ้าออกจากหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีหมู่บ้านอื่นแล้ว ไม่มีร่องรอยผู้คนและจะหาเบาะแสได้ยากยิ่งขึ้น

 

 

หัวหน้าหมวดได้ยินเสียงนุ่มนวลของเหมยซู ก็รีบสะบัดก้นนำผู้ใหญ่บ้านไปทันที

 

 

แต่ไม่มีใครทันสังเกตว่า เวลาเดียวกันนี้ผู้เยาว์ที่เดิมทีเก็บข้าวของที่พื้นกลับเปลี่ยนทิศทางเป็นตรงข้าม หันหลังให้ทุกคนและเก็บข้าวของต่อไปราวกับมิได้แปลกใจที่จู่ๆ มีคนและม้าขบวนมาถึงแม้แต่น้อย

 

 

“ค้นได้อะไรบ้าง” เหมยซูแลดูหัวหน้าหมวดและผู้ใหญ่บ้านที่ไม่กล้าเข้าใกล้ยืนอยู่ห่างออกไปด้วยสายตาเรียบเฉย

 

 

หัวหน้าหมวดค้อมกายกล่าวว่า “เรียนคุณชายใหญ่ พวกเราได้รับคำสั่งแต่เช้าและรีบมาถึง คนในหมู่บ้านยังไม่ทันกินข้าวเช้าด้วยซ้ำ นอกจากผู้ใหญ่บ้านแล้วมีคนออกจากบ้านหมู่บ้านไม่กี่คน ที่เหลือล้วนไปหาปลาในคลองขุดที่คลองขุดก็ปิดทางแล้ว หนีออกไปไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยพบคนใหญ่คนโตมาก่อน จึงรีบเสริมอย่างประจบประแจงว่า “ตามที่ท่านสั่ง ให้สังเกตคนต่างถิ่นเป็นพิเศษ เอ้อไม่ เมื่อครู่ยังตรวจค้นสามีภรรยาต่างถิ่นคู่หนึ่งอย่างละเอียดนะขอรับ”

 

 

เหมยซูฟังแล้วก็มองตามที่เข้าชี้ เห็นบุรุษคนหนึ่งกำลังยองกับพื้น พยายามเก็บปลาแห้งที่เกลื่อนพื้นยัดใส่กระสอบ นอกจากนี้บนรถม้ายังมีสตรีชาวบ้านชนบทนั่งซมอยู่ดูแล้วเหมือนเจ็บป่วย

 

 

“นี่อะไรกัน” สายตาเย็นเยียบของเขามองดูบุรุษที่เก็บปลาบนพื้น เห็นเขาถลกแขนเสื้อขึ้นเผยผิวกายเหลืองคล้ำ

 

 

อืม ผมเผ้าแห้งเหลือง เอวใหญ่ หลังค่อม ยองลงก้นกระดกดูท่าเป็นบุรุษธรรมดาที่มิได้ผ่านการอบรมแต่อย่างใด

 

 

“ไม่มีอะไรขอรับ ตอนตรวจค้นข้าวของคนคนนั้นไม่ทันระวัง ทำเอาของแห้งร่วงหล่น” หัวหน้าหมวดรีบตอบอย่างประจบ

 

 

ผู้ใหญ่บ้านก็อยากพูด ไม่มีเรื่องจึงหาเรื่องพูดว่า “สตรีผู้นั้นกลับเป็นคนงามที่พบไม่บ่อย”

 

 

สายตาของเหมยซูตกลงที่สตรีบนรถม้า พลันนึกในใจกล่าวเนือยๆ ว่า “ไปนำตัวสตรีบนรถม้ามาหน่อย”

 

 

ตอนแรกเขาออกประกาศให้จับตัวบุรุษต่างถิ่น เย่ไป๋กลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ อาจไม่แต่งตัวเป็นชายก็ได้ ถ้าเกิดเล่นกลปลอมตัวเป็นสตรี ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้

 

 

หัวหน้าหมวดงงงัน นึกพึมพำในใจ เจ้าคุณชายใหญ่ตระกูลเหมยก็ตาต่ำเพียงนี้หรือ แต่เขายังคงกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ แม่นางผู้นั้นเป็นวัณโรค มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน กำลังจะไปหาท่านหมอในเมืองขอรับ”

 

 

เหมยซูฟังแล้วเลิกคิ้ว “อ้อ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

 

 

เจิ้งหยางที่อยู่ข้างๆ ได้ยินสตรีบนรถปิดปากไอเสียงต่ำๆ จึงกระซิบเหมยซูว่า “คุณชายใหญ่ขอรับ ข้าน้อยฟังดูเสียงไอนั่นไม่เหมือนเสแสร้ง เพื่อสุขภาพของท่านยังคงอย่าได้เข้าใกล้จะดีกว่านะขอรับ”

 

 

เหมยซูมองดูสตรีผู้นั้นแวบหนึ่ง มิรู้เพราะอะไรลางสังหรณ์บอกเขาว่าสตรีงดงามของบ้านพ่อค้าตัวเล็กที่จู่ๆ โผล่ขึ้นมาในชนบทเป็นเรื่องไม่ปกติ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่ปกติอย่างไร จึงกล่าวว่า “ให้นางอย่าปิดหน้า เผยโฉมก็พอ”

 

 

หัวหน้าหมวดผงกศีรษะทันที แล้วเตะใส่ทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นอย่างไม่เกรงใจ “ไปสิ ไม่ได้ยินที่ใต้เท้าสั่งหรือ”

 

 

แม้ทหารคนนั้นจะกลัวติดวัณโรค แต่ก็จำต้องแข็งใจไปสั่งการ

 

 

ครู่เดียวเหมยซูก็เห็นสตรีผู้นั้นลังเลชั่วขณะ ท่าทางสองจิตสองใจ บุรุษเยาว์วัยที่ยองอยู่ข้างๆ จึงเข้าไปดูเหมือนขออะไรบางอย่าง และแล้วนางจึงเบือนหน้าข้างหนึ่ง เอาผ้าเช็ดหน้าลงอย่างขวยเขิน