Chapter 23: เสียวเฟยจอมตระหนี้

 

เสี่ยวหลัวไม่ได้ลงมือจัดการพวกเขาหนักจนเกินไป ใช้เวลาพักเพียงสีถึงห้าวันก็หายดีแล้ว

 

จูเสี่ยวเฟยและเติ้งไค นั้นรู้สึกเทิดทูนเสี่ยวหลัวราวกับเขานั้นเป็นแม่น้ําเหลืองที่ทอดยาวไร้สิ้นสุด เมื่อมองไปที่เขาก็ราวกับสูญเสียจิตวิญญาณไป เขาไม่เพียงแต่หล่อเหลาเท่านั้นแต่เขายังสามารถเล่นเกมได้ดี และเขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้ดีเช่นกัน เขาเป็นคนที่เก่งรอบด้าน

 

เป็นเรื่องดีที่ ชู หยุนเชียง นั้นได้จัดการกับประวัติของเสี่ยวหลัวมาเป็นอย่างดีก่อนที่เขาจะมาที่มหาลัยหัวเย่ มิฉะนั้นเสี่ยวหลัวคงไม่สามารถที่จะอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ได้

 

“พี่หลัวเป็นที่แน่ชัดว่าคนที่มาเพื่อสร้างปัญหา คือคนที่พวกเราเล่นเกมด้วยในก่อนหน้านี้ พวกเขานั้นอายุเท่าๆกันกับเรา พวกเขาทั้งสามคนคนคือ ถัง หยู่เจ๋อ,เฉินเจีย และ เซียปิน พวกเขานั้นพึ่งพา ซ่ง เจียหนาน ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกีฬามวยจีน ให้การสนับสนุนพวกเขาพวก และนั้นมันทําให้พวกเขาเดินกร่างไปได้ทั่วมหาลัย มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่พวกเขาแพ้เกมบาสเก็ตบอล หลังจากจบเกมพวกเขาก็พาคนไปรุมกระทืบทีมที่ชนะ จูเสี่ยวเฟยกล่าวอย่างโกรธเคือง

 

มีคนที่สนับสนุนพวกเขาอยู่เบื้องหลัง?

 

เสี่ยวหลัวขมวดคิ้วและถามว่า “ซ่ง เจียหนาน มีเส้นสายมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

“เขารู้จักกับพวกระดับบิ๊กจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาฝึกฝนในด้านของมวยจีนจนแข็งแกร่งราวกับวัว และเขาก็เป็นประธานชมรมมวยจีนของมหาลัยเรา เขาสามารถแยกอิฐได้ด้วยมือเปล่ามีทักษะที่น่ากลัวมาก.” จูเสี่ยวเฟย กล่าวออกมาอย่างช้าๆ

 

“และเขาก็ยังเป็นแฟนของอันหวน ที่อยู่ในชั้นเรียนของเราอีกด้วย!” เติ้งไคกล่าวเพิ่มเติม

 

เสี่ยวหลัวพยักหน้าแสดงว่าเขาเข้าใจแล้ว

 

เติ้งไคถอนหายใจออกมาด้วยความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก: “ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะตอบโต้พวกเรากลับเช่นเดียวกับที่พวกเราทําให้พวกเขาพ่ายแพ้ และจับพวกเราโยนออกไปไหม”

 

“นายจะกลัวอะไร? เรามีพี่หลัว ผู้ซึ่งเคยเป็นทหารมาก่อนและเคยได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ถ้า ซ่ง เจียหนาน กล้าที่จะมาหาพวกเรามันก็ไม่แน่ว่าใครจะสอนใคร” จูเสี่ยวเฟย กล่าวออกมาอย่างกล้าหาญ

 

อย่างไรก็ตาม เติ้งไค ก็ยังคงกระวนกระวายใจและพูดด้วยความกลัวขณะที่ตัวสั่นว่า “ไม่ ฉันควรไปหาอันหวน แล้วขอให้เธอช่วยพูดให้พวกเรามันจะดีกว่า ฉันไม่ต้องการให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ฉันมาที่หัวเยว่เพื่อมาศึกษา ถ้ามันไม่ได้ผลฉันก็จะไปบอกที่ปรึกษา “

 

หลังจากพูดเสร็จเติ้งไคก็เตรียมตัวที่จะไปหาไปอันหวน

 

เสี่ยวหลัวยื่นมือออกแล้ววางลงบนไหล่ของเขา: “เติ้งไค มหาวิทยาลัยนั้นเป็นสังคมขนาดเล็กที่มีผู้คนทุกประเภทปะปนกันอยู่ นายอย่าตกใจไปเมื่อต้องเจอกับความยากลําบาก นายต้องสงบสติอารมณ์เพื่อที่จะแก้ปัญหา “

 

“เติ้งไค นี่ไม่ใช่เมื่อตอนที่นายยังเป็นนักเรียนชั้นประถมที่นายจะไปบอกครูและผู้ปกครองเมื่อใดก็ตามที่นายประสบปัญหา ตอนนี้นายอยู่ในวัยยี่สิบนายควรที่จะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและมั่นคงได้แล้ว?” จูเสี่ยวเฟยกล่าวตําหนิ

 

เติ้งไค มองไปที่เสี่ยวหลัวอย่างงุนงง: “แล้วเราจะทําอย่างไรกันดี?”

 

“ไม่ต้องกังวลฉันเป็นคนที่เอาชนะชายทั้งหกคนด้วยตัวคนเดียว ถ้า ซ่ง เจียหนาน มันมาหาเรื่องมันก็ต้องมาหาฉันอยู่ดี ดังนั้นนายและเสี่ยวจู ไม่ต้องทําอะไรทั้งนั้น” เสี่ยวหลัวตบไหล่เขาเพื่อปลอบ

 

“พี่หลัว ฉันไม่อยากได้ยินพี่พูดแบบนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน ถัง หยู่เจ๋อ ก็คงไม่ได้มาหาพวกเรา มันเป็นเพราะฉัน พี่ไม่ต้องทนแบกรับมันคนเดียวก็ได้”

 

จูเสี่ยวเฟยกําหมัดและต่อยไปที่มือของเขาและสัญญาว่า “ถ้าพวกของ ซ่ง เจียหนาน กล้าที่จะมาฉันก็จะยืนหยัดและต่อสู้กับพวกเขา”

 

คําพูดนี้มันทําให้เติ้งไค รู้สึกตื่นตระหนก จะต่อสู้กับประธานชมรมมวยจีนนั้นบ้าไปแล้วเหรอ?

 

แต่เขาก็บังคับให้ตัวเองตะโกนออกมา: “ฉัน … ฉัน … ด้วยคน!”

 

เสี่ยวหลัวยกคิ้วขึ้นทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเพื่อนร่วมห้องทั้งสองคนของเขาน่าสนใจมากทีเดียว บางทีการอยู่ที่นี้สามเดือนมันอาจจะไม่น่าเบื่อมากขนาดนั้น

 

******

 

ในตอนเย็นทั้งสามคนออกไปทานอาหารเย็นพวกเขาดื่มเบียร์ไปกว่าหนึ่งโหลและกลับมาที่หอพักทั้งเมาๆ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามค่อยๆใกล้ชิดกันมากขึ้น

 

เสี่ยวหลัวนอนอยู่บนเตียงและมองดู 10,000 แต้มที่อยู่ในระบบเสี่ยวหลัวไม่สามารถบอกได้ว่าเขาตื่นเต้นมากแค่ไหน เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเลยจะได้รับแต้มมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ จริงๆแล้วเขามีรายได้มากขนาดนี้ก็เพราะจากการเล่นเกมในระหว่างวัน

 

เสี่ยวหลัวอยากรู้อยากเห็นและถามว่า “อะไรคือทักษะที่แพงที่สุดในระบบร้านค้าในตอนนี้?”

 

“ติ้ง,ฟื้นคืนชีพ เป็นทักษะที่แพงที่สุดการใช้งานครั้งเดียวต้องการแต้ม 500,000 แต้ม!” ระบบตอบกลับ

 

เสี่ยวหลัวรู้สึกประหลาดใจ สิ่งนี้เกินกว่าความเชื่อทั้งหมดของเขา การฟื้นคืนชีพนั้นเป็นเรื่องใหญ่อย่างแท้จริง

 

“เป็นไปได้หรือไม่ว่า มันจะต้องมีเงื่อนไขอะไรถึงจะใช้ได้”

 

“ติ้ง, โรค, อายุ, การบาดเจ็บ, การบาดเจ็บภายใน, ฯลฯ ปัจจัยทั้งหมดที่น่าไปสู่การเสียชีวิตของโฮสต์”

 

เสี่ยวหลัวตกตะลึงจริงๆตอนนี้: “อีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่ฉันมีแต้มมากพอฉันจะไม่ตายเลยงั้นเหรอ?”

 

“ติ้ง ก็ประมาณนั้น แต่ทุกครั้งที่โฮสต์ต่ออายุชีวิตแต้มที่ใช้ในครั้งต่อไปจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณนั่นคือโฮสต์จะต้องใช้แต้ม 500,000 แต้มในครั้งแรก 5 ล้านแต้ม เป็นครั้งที่สอง 50 ล้านแต้ม เป็นครั้งที่สามและครั้งต่อๆ ไป ไม่มีที่สิ้นสุด! “

 

เสี่ยวหลัวตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้และเขาคิดว่าห้าแสนแต้มนั้นไม่แพงอีกต่อไป การขึ้นราคาเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของเขาอย่างมาก

 

จะต้องไม่ลืมว่าเขาจะต้องรักชีวิตของเขาไม่ว่าจะมีหรือไม่มีระบบนี้ก็ตาม ชีวิตนั้นก็มีค่ามาก นอกจากนี้เขายังเคยเดินกลับออกมาจากประตูแห่งนรก ดังนั้นเขาเข้าใจถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น (หมายถึงตอนเกิดอุบัติเหตุตอนแรก)

 

ในวันที่สองตอนเช้าตรู่ เสี่ยวหลัวก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงของเสี่ยวเฟยจู

 

“เติ้งไคกระดาษช่าระอยู่ที่ไหน ก้นของฉันต้องการมันอย่างเร่งด่วน ข้าศึกกําลังจะบุกทะลวงด่านออกมาแล้ว”

 

“ในตู้เสื้อผ้า ไปหาเอาเอง”เติ้งไค ที่กําลังสลึมสลือตอบกลับ

 

จูเสี่ยวเฟยเปิดตู้เสื้อผ้าทันที เขาหยิบกระดาษชําระที่ซ่อนอยู่ในกองเสื้อผ้าออกมาแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ํา หลังจากปิดประตูเขาก็ไม่ลืมที่จะบ่นว่า: “ทําไมนายถึงต้องซ่อนพวกมันเอาไว้อย่างลึกลับขนาดนี้ด้วย มันก็แค่กระดาษชําระก้อนหนึ่ง”

 

เติ้งไคเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองมานานแล้ว เมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาก็กระโดดขึ้นจากเตียงทันทีและรีบไปที่ห้องน้ําเพื่อต่อว่า: “นายไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไง หลังจากที่ใช้เวลาร่วมกันมานานกว่าหนึ่งปี นายไม่เคยจะซื้อกระดาษชําระด้วยตัวเองเลย นายใช้ของฉันทุกครั้ง ฉันรู้สึกสงสัยว่านายทําอะไรอย่างอื่นในห้องน้ําด้วยใช่ไหม “

 

“เอาล่ะหยุดบ่นได้แล้ว ฉันจะไปซื้อในวันนี้โอเค” เสี่ยวเฟยจูตอบกลับเสียงดังจากในห้องน้ํา

 

“นายก็พูดอย่างนี้ทุกที” เติ้งไค สูญเสียความหวังในตัวเขาไปอย่างสิ้นเชิงตั้งนานแล้ว

 

เสี่ยวหลัวรู้สึกขบขันและพูดติดตลกว่า “เขาไม่ได้ซื้อกระดาษชําระมานานกว่าหนึ่งปีแล้วงั้นเหรอ?”

 

“เขายังไม่ได้ซื้อจริงๆ”

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เติ้งไคก็เต็มไปด้วยข้อร้องเรียน พี่หลัว พี่ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าเจ้าอ้วนจูของเรานั้นมันตระหนี้ขนาดไหน เขาไม่ต้องการใช้เงินหนึ่งหยวนหรือสิบหยวน พูดได้เลยว่าเขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ซื้อกระดาษชําระก้อนหนึ่งเท่านั้น แต่มันก็ยังมียาสีฟันผงซักฟอก แป้ง, ไม้แขวนเสื้อ … เขาก็ไม่ได้ซื้อสิ่งเหล่านี้เลยและเขาก็ใช้ของฉันทั้งหมดมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว! “

 

เสี่ยวหลัวพยักหน้าเห็นด้วย: “เขาขี้เหนียวไปหน่อย!”

 

“มันเป็นอะไรที่มากกว่าขี้เหนียวเล็กน้อย พี่หลัวพี่ดูรองเท้าแตะของเขาสิ” เติ้งไค ชี้ไปที่รองเท้าแตะของเสี่ยวเฟยจู

 

เสี่ยวหลัวมองที่ด้านล่างที่วางรองเท้า รองเท้าแตะแปลกๆอยู่ เขามองไปที่มัน เขารู้แล้วว่าทําไมเติ้งไคถึงบอกให้เขามองไปที่รองเท้า เพราะรองเท้าแตะมันถูกทําขึ้นมาโดยการตัดขวดสไปรต์จากตรงกลางใช้ปากขวดกับเกลียวและถูกเย็บเข้าด้วยเข็ม

 

“เสี่ยวจูสร้างมันขึ้นมาเหรอ?”

 

“ใช่แล้ว ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก เขาคิดค้นรองเท้านี้ขึ้น เมื่อรองเท้าแตะของเขาขาดเพื่อประหยัดการซื้อรองเท้าแตะที่มีราคาสิบหยวน”เติ้งไคบ่นออกมา

 

“พรสวรรค์นี่มันพรสวรรค์ชัดๆ!”

 

เสี่ยวหลัวรู้สึกยกย่องเสี่ยวเฟยจู

 

“เติ้งไค นายหยุดใส่ร้ายภาพพจน์ของฉันต่อหน้าพี่หลัวได้แล้ว ฉันเป็นศิลปินดังนั้นอย่ามาพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้านายไม่เข้าใจ” จูเสี่ยวเฟยแง่มช่องประตูห้องน้ําออกมา แล้วพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

 

ทันทีที่ประตูห้องน้ําถูกแง้มเปิดมันก็มีกลิ่นเหม็นลอยออกมาทันที กลิ่นนั้นไม่ได้น่ายกยอแต่อย่างใด

 

เสี่ยวหลัวขมวดคิ้วและบีบจมูกของเขาในทันที

 

เติ้งไคต่อว่า: “ฉันจะพูดในสิ่งที่ฉันต้องการจะพูด และนายอย่าเปิดประตูห้องน้ํา กลิ่นของมันในตอนนี้ราวกับหมูขึ้นอืดตายมาแล้วกว่าอาทิตย์!”