บทที่ 392 ไม่ต้องกังวล
บทที่ 392 ไม่ต้องกังวล
“ใครสักคนหนึ่งเผอิญทำเงื่อนไขของภารกิจหลักช่วงต่อไปได้สำเร็จ เพราะงั้นกองทัพแห่งความมืดจึงเริ่มตั้งทัพและพร้อมที่จะโจมตีโต้กลับเมืองแห่งความโศกเศร้าแล้วในอีกสองชั่วโมง ตัวระบบเองก็ประกาศแล้วด้วย” หลิวเฉียงเหว่ยพูด
“ทำไมเร็วจัง?”
เซียวเฟิงที่กำลังไล่เก็บไอเทมบนพื้นอยู่นั้นถึงกับหยุดเดินต่อในทันที น้ำเสียงของเขาค่อนข้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขาพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวพวกกองทัพแห่งความมืดพวกนั้นจะต้องกรีฑาทัพขนาดใหญ่เข้าโจมตีเมืองแน่ ๆ แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ เพราะดูจากการที่บอสของทั้งฝั่งเผ่าพันธุ์แห่งความมืดและฝั่งพันธมิตรแห่งแสงมีเลเวลสูงกว่า 50 กันทั้งคู่ เขาคาดว่าสงครามน่าจะปะทุตอนที่ผู้เล่นทุกคนถึงเลเวล 50 ขั้นต่ำกันแล้ว
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเซียวเฟิงเองที่สำเร็จภารกิจหลักของเกมเร็ว สงครามเลยกระชั้นชิดเข้ามา แต่ก็ไม่ควรจะกระชั้นชิดขนาดนี้!
แต่ก่อนหน้านี้เซียวเฟิงก็ไม่ได้ออนไลน์มานานถึงหนึ่งเดือน ภารกิจหลักมันควรจะมีอัตราความสำเร็จที่ลดลง แต่นี่มันกลับไม่ได้ช้าลงเลย แสดงว่ามันต้องมีผู้เล่นคนอื่นที่ไปกระตุ้นเงื่อนไขของภารกิจหลักส่วนถัดไปสำเร็จแน่ ๆ
“นี่ไม่ใช่ทัพใหญ่ของมัน เป็นแค่การโต้กลับจากแนวหน้าของพวกมันเฉย ๆ ดังนั้นมันไม่ถือว่าเร็วไปหรอกหนึ่งเดือนที่นายหายตัวไป เกือบจะทุกคนในเขตฮัวเซียต่างก็พยายามทำภารกิจหลักกัน พวกเราทลายรังซ่องสุมกำลังของเผ่าพันธุ์แห่งความมืดทุกที่แล้ว มันเลยกลายเป็นเรื่องปกติที่มันจะต้องโต้กลับบ้างน่ะ” หลิวเฉียงเหว่ยอธิบาย
“งั้นถ้าเป็นแค่ทัพหน้าของมัน เธอไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องป้องกันหรอก จริงไหม?” เซียวเฟิงพยักหน้าก่อนจะถามกลับ
“คืองี้นะ ถึงแม้ว่าเป้าหมายของพวกทัพแห่งความมืดนี้จะเป็นเมืองแห่งความโศกเศร้า แต่ระบบก็ได้ประกาศภารกิจป้องกันออกมาแล้ว ด้วยรางวัลที่ระบบมอบให้ ทำให้มีผู้เล่นมากมายตัดสินใจเข้าร่วม แม้จะยังไม่รวมพันธมิตรที่อยู่ในฟากใต้นี้ ดังนั้นแล้วในแง่ของความแข็งแกร่ง พวกเราน่าจะเหนือกว่าเป็นอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย แต่…” เมื่อถึงจุดนี้ จู่ ๆ หลิวเฉียงเหว่ยก็แสดงความกังวลออกมา
“มันมีปัญหาอะไรหรือไงน่ะ?”
“ถึงมันจะเป็นการโจมตีจากทัพหน้าของทัพแห่งความมืด แต่มันก็มีบอสระดับสูงที่เลเวลสูงกว่า 50 ปนอยู่ด้วย พวกเราไม่มีพลังที่มากพอจะจัดการกับบอสประเภทนี้ นายเองก็น่าจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของบอสระดับสูงมันหนักหนาขนาดไหน หากมันเป็นแค่บอสธรรมดาหรือบอสอีลิท พวกเราไม่มีปัญหาอะไรหรอก แถมด้วยภารกิจนี้มันก็ทำให้พวกเราสามารถใช้วิธีตะลุมบอนเพื่อกำจัดบอสได้อีกด้วย แต่ถ้าเมื่อไหร่อีกฝ่ายเป็นบอสระดับทองหรือบอสระดับเทพเจ้าล่ะก็ มันคงไม่ต่างอะไรกับหายนะ โดยเฉพาะบอสระดับเทพเจ้า จำนวนที่มากกว่าของพวกเรานั้นไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับมัน พวกเราไม่มีทางต้านการบุกของมันได้แน่” เธอพูดถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในตอนนี้
“ไม่ใช่ว่าจะมีทัพของ NPC มาช่วยด้วยหรอกเหรอ? อย่างทัพของจักรวรรดิหรือไม่ก็ของวิหารแห่งแสงน่ะ?” ได้ยินเช่นนั้นเซียวเฟิงก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันยังไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้นมานานแล้วนะ บางทีมันอาจจะขึ้นอยู่กับผู้เล่นที่เป็นตัวแปรที่ทำให้เงื่อนไขการโต้ตอบของทัพแห่งความมืดทำงาน แต่ผู้เล่นคนนั้นกลับไม่ยอมเอาทัพ NPC มาประจำการที่เมืองแห่งความโศกเศร้านี้ และฉันยังไม่รู้ว่าผู้เล่นคนนั้นเป็นใคร” เธอส่ายหน้า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงรีบโทรหาเซียวเฟิงเช่นนี้ เธอต้องการค่าชื่อเสียงของเขาที่สูงลิ่วมาช่วยเกลี้ยกล่อม NPC ให้
“เมืองแห่งความโศกเศร้ายังไม่ได้จ้างกองกำลัง NPC เป็นของตัวเองเลย ถึงแม้ว่าท่านหนี่อู๋จะบอกว่าเขาสามารถช่วยป้องกันเมืองได้ และมีเลเวลถึง 50 แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นทัพ NPC ของเราก็ยังถือว่าอ่อนแออยู่ เพราะอาจารย์ตี้อู่หยาและตี้ลู่นั้นมีพลังต่อสู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กำลังหลักของเราก็มีแต่จากอาร์คบิชอปเรนัลด์กับคนของเขาที่มาจากวิหารแห่งแสงเพียว ๆ แล้วก็ที่สำคัญ…พอปราศจากนายแล้ว พวกเราไม่สามารถขอยืมกำลังของพวกเขาได้ด้วย”
“โอ๊ะ ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลย จริง ๆ เมืองแห่งความโศกเศร้ามีระบบที่จะจ้างทหารยาม NPC มาอยู่นะ แต่มีแค่ฉันคนเดียวที่ใช้ระบบนี้ได้ เธอไม่มีสิทธิ์ ฉันลืมบอกเรื่องนี้ไปซะสนิท เพราะว่าเลเวลของทหารที่จ้างได้นั้นจะเท่ากับเลเวลสูงสุดของฉัน แล้วด้วยเลเวลที่ยังไม่สูงของฉันนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่า NPC พวกนี้มันแพงโดยไม่คุ้มค่า ก็เลยว่าจะรอไปจ้างทหารตอนที่เลเวลของฉันสูงกว่านี้อีกสักหน่อย แต่หลังจากที่ออฟไลน์ไปเดือนนึงก็ลืมไปแล้วว่าต้องบอกเธอด้วย” เซียวเฟิงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้แล้วจึงบอกหลิวเฉียงเหว่ยไปโดยไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
เช่นเดียวกับผู้เล่นที่มีแคมป์กิลด์ต้องรับผิดชอบ เมื่อใดก็ตามที่แคมป์กิลด์ของพวกเขาเติบใหญ่และพัฒนาเป็นระดับเมืองหลักได้แล้ว พวกเขาจะได้รับระบบที่สามารถว่าจ้าง NPC มาคุ้มกันเมืองได้ อย่างไรก็ตาม ระบบว่าจ้างที่ว่านั้นค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายและวัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้เลย เรื่องเลเวลของผู้เล่นเองก็เหมือนจะเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงไม่แพ้กัน เพราะมันไม่สามารถจ้าง NPC ที่เลเวลสูงกว่าผู้ว่าจ้างอย่างเจ้าเมืองหรือหัวหน้ากิลด์ได้ เซียวเฟิงรู้เรื่องนี้หลังจากที่ได้รับเมืองแห่งความโศกเศร้ามาแล้ว และเพราะมันยังมีปัญหาคาราคาซังอยู่ เขาจึงไม่ได้สนใจระบบนี้ ผนวกกับเขายังไม่อยากจะเสียเงินจ้าง NPC ทหารเลเวลต่ำ ๆ มาเพราะมันไม่คุ้ม ด้วยเหตุนี้เซียวเฟิงจึงไม่ได้นำเรื่องนี้มาพูดกับหลิวเฉียงเหว่ยหรือคนอื่น ๆ
“นาย…นายควรบอกเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้! ฉันก็คิดว่าเมืองหลักที่ระบบมอบให้นั้นไม่สามารถจ้าง NPC ทหารมาได้ซะอีก!”
หลิวเฉียงเหว่ยหมดคำพูดสุด ๆ ในฐานะหัวหน้ากิลด์ เรื่องระบบว่าจ้างนี้เธอย่อมต้องรู้อยู่แล้ว นี่เองก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าหัวหน้ากิลด์ขนาดใหญ่ทั้งหมดไม่ยอมให้เลเวลกิลด์ของตนเองน้อยหน้าคนอื่นด้วย
และเพราะแบบนี้ มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลิวเฉียงเหว่ยไม่หยุดพัฒนาแคมป์กิลด์มิดซัมเมอร์ที่อยู่ในพื้นที่โล่ง เพราะเธอเข้าใจว่าเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นไม่มีระบบว่าจ้าง NPC มาเป็นทหาร เธอจึงตั้งใจจะทำให้แคมป์มิดซัมเมอร์เข้าสู่ระดับที่สามารถว่าจ้าง NPC ได้แล้วจะได้โอนย้ายมายังเมืองแห่งความโศกเศร้าภายหลัง แต่เรื่องมันกลับกลายเป็นว่า เมืองมันมีระบบอยู่แล้ว แต่เซียวเฟิงลืมที่จะบอกเธอเท่านั้น!
“เธอกำลังจะบอกว่า ในบรรดา NPC ทั้งหมด มีแค่หนี่อู๋ที่สามารถช่วยเธอป้องกันเมืองได้งั้นเหรอ?” เซียวเฟิงรีบเปลี่ยนเรื่องแล้วถามกลับ ถึงแม้ว่าหนี่อู๋จะเป็นบอสระดับเทพเจ้าและมีเลเวลสูงถึง 50 แต่นั่นไม่พอแน่ ๆ หากเขาต้องสู้กับกองทัพแห่งความมืดเพียงคนเดียว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงทัพหน้าก็ตาม เพราะศัตรูเป็นถึงทัพแห่งความมืดที่มีบอสระดับเทพเจ้าเลเวลสูงกว่า 50 อยู่มากมาย อย่าว่าแต่ทัพแห่งความมืดเลย ขนาดวิหารแห่งแสงเก่า ๆ ในหุบเขาอาทิตย์ตกนี่ยังซ่อนบอสระดับสูงไว้ก็ตั้งหลายตัว ดังนั้นหากทัพหน้าของทัพแห่งความมืดจะมีบอสระดับสูงเป็นจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรนัก
“ใช่ เพราะงั้นฉันถึงอยากให้นายล็อกอินแล้วช่วยมาที่เมืองแห่งความโศกเศร้าให้เร็วที่สุดเลย” หลิวเฉียงเหว่ยพูด ในฐานะที่เป็นหัวหน้ากิลด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในฟากใต้แล้ว เธอมีกองกำลังขนาดใหญ่มากมายที่พร้อมรับคำสั่ง กระนั้นแล้วก็ยังมีปัญหาบางอย่างที่เธอไม่สามารถแก้ได้อยู่
และปัญหาที่เธอแก้ไม่ได้ หมายความว่ามันต้องเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก ๆ ขนาดที่อิทธิพลของเธอไม่สามารถแก้ได้ ครั้นเมื่อเจอปัญหาประเภทนี้ คนแรกที่เธอคิดถึงนั่นก็คือ เซียวเฟิง เสมอ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเซียวเฟิงนั้นได้พื้นที่ในใจของหลิวเฉียงเหว่ยไปครอบครองหมดแล้ว
“จริง ๆ แล้วฉันออนไลน์อยู่ แต่มันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ฉันเลยยังกลับไปไม่ได้” เซียวเฟิงพูดด้วยความหนักใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับนายน่ะ? ในรายชื่อเพื่อนของฉันก็แสดงให้เห็นชัดเจนนะว่านายออฟไลน์อยู่” ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น หลิวเฉียงเหว่ยก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
“เพราะตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในเขตฮัวเซีย แต่อยู่ในเขตฮันกึลที่เป็นต่างเขตกัน เพราะงั้นทั้งระบบเพื่อนหรือระบบติดต่อสื่อสารก็เลยใช้ไม่ได้เลย”
เซียวเฟิงอธิบาย ซึ่งขณะที่กำลังอธิบายอยู่นั้น อุปกรณ์มากมายที่ถูกดร็อปอยู่บนพื้นก็เริ่มถูกระบบเก็บกลับไปแล้ว เพราะงั้นเซียวเฟิงจึงไม่อ้อยอิ่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่อ เขาหันหลังกลับและเดินเข้าไปยังหุบเขาอาทิตย์ตกเพื่อจะกลับไปยังวิหารแห่งแสง เขายังแอบมีความหวังว่าที่นั่นอาจจะมีวิธีที่ทำให้เขาสามารถกลับไปยังเขตฮัวเซียได้อยู่
ในเมื่อเมืองแห่งความโศกเศร้าตกอยู่ในอันตราย เขาต้องหาทางกลับไปให้ได้ บางทีอาจจะมีเพียงบิชอปโจลีฟและ NPC ที่ไม่สามารถกลับไปได้ เขาอาจจะยังพอหาทางได้ ยังไงเสียเซียวเฟิงก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นของเขตฮัวเซีย เขาจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปเด็ดขาด
“…นายอยู่ในเขตฮันกึล?” หลิวเฉียงเหว่ยเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะทวนสิ่งที่เซียวเฟิงพูดด้วยความเข้าใจ
“อีกไม่นานนี้เดี๋ยวเธอก็คงจะเห็นข่าวของฉันในฟอรั่มเขตฮันกึลเองแหละ” เซียวเฟิงพูดต่อ
“…ถ้างั้นจะทำยังไงกับเมืองแห่งความโศกเศร้าล่ะ ต่อให้จำนวนผู้เล่นในฟากใต้จะมากถึงร้อยล้าน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยนะที่พวกเขาจะสามารถหยุดยั้งบอสเทพเจ้าได้แม้จะเพียงตัวเดียวก็ตาม” หลิวเฉียงเหว่ยพยายามสงบสติอารมณ์ไว้แล้วถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่ต้องกังวล ตราบใดก็ตามที่ยังไม่ถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้าย มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก เสี่ยวไป๋เองก็อยู่ในเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่ใช่หรือไง?” เขาดูจะไม่กังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย ฟังจากน้ำเสียงที่ดูจะใจเย็นนั้น
“วันนี้ฉันยังไม่เห็นเสี่ยวไป๋เลย บางทีเธออาจจะออกไปเล่นกับเซียวหลิงล่ะมั้ง” หญิงสาวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไป
“งั้นก็ไม่เป็นไร ไว้ค่อยบอกให้เซียวหลิงกลับมาทีหลัง ด้วยศักยภาพของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้ ไม่ว่าทัพแห่งความมืดจะมีจำนวนมากขนาดไหน ก็ไม่คณามือเธอหรอ จะเป็นปัญหาหน่อยก็ตรงที่บอสระดับสูง หากเธอไม่โดนข้อจำกัดเรื่องการเป็นสัตว์เลี้ยงควบคุมไว้ เธอสามารถฆ่าบอสทุกตัวได้ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะคิดถึงเรื่องนี้อีกทีหนึ่งก็แล้วกันนะ” เซียวเฟิงคิดตามแล้วพูดไป ตอนนี้เสี่ยวไป๋อยู่ในระดับตำนานแล้ว เธอไม่มีปัญหาอะไรกับการที่บอสระดับเทพเจ้าของทัพแห่งความมืดจะโผล่มาพร้อม ๆ กันหลายตัว ปัญหาของเธอมันอยู่ที่เธอเป็นสัตว์เลี้ยง ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเธอจึงถูกจำกัดวงลงมาเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับเซียวเฟิง เสี่ยวไป๋เองก็มีสกิล ‘พลังแห่งทวยเทพ’ อยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งมันจะทำให้เธอสามารถโจมตีระยะไกลได้อย่างน่ากลัว เมื่อใช้คู่กับผลของการที่อีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์แห่งความมืดแล้ว การกำจัดศัตรูปริมาณมากจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
“จากนั้นก็ให้โตวโตวไปจัดการเรื่องที่ควรทำ ฉันเคยพาเธอคนนั้นไปเก็บค่าชื่อเสียงจากวิหารแห่งแสงอยู่บ่อย ๆ บอกให้โตวโตวไปหาบิชอปเรนัลด์ภายใต้ชื่อของฉัน หรือไม่ก็เธอไปหาเขาเองแล้วพาเขาไปยังวิหารแห่งแสงสาขาเมืองเทียนหลงเพื่อขอให้กัปตันโบลตันช่วย บางทีเธออาจจะได้ความช่วยเหลือจากบิชอปไคเซอร์ด้วย” เซียวเฟิงพูดต่อหลังจากคิดตามสถานการณ์ตอนนี้แล้ว
“ถ้างั้นนายคงต้องหวังโตวโตวแล้ว เดี๋ยวฉันต้องไปปราสาทประจำเมืองก่อน” หลิวเฉียงเหว่ยตอบ แต่เดิมแล้วพวกเธอทั้งสามตั้งใจจะพักผ่อนสักคืนโดนไม่ล็อกอินเข้าเกมแท้ ๆ แต่กลายเป็นว่ามาเจอกับภารกิจเร่งด่วนนี้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อน ฉันมีอีกคำถามนึงที่อยากจะถามเธอสักหน่อย” ทันใดนั้นเอง น้ำเสียงของเซียวเฟิงก็เปลี่ยนไปขณะเอ่ยถาม
“อะไรเหรอ?” สาวเจ้าไม่รอช้าที่จะถามกลับและรอฟังด้วยความอยากรู้
“อืม…ในโลกของเกม เธอรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวบ้างหรือเปล่า? ฉันหมายถึง เธอรู้สึกเจ็บจนเดินไม่เป็นเลยไหม?” แม้แต่ตัวคนถามเองก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะถาม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ถามมันออกไป
“นะ…นายมัน…หยาบคายที่สุด!!” หลิวเฉียงเหว่ยชะงักด้วยความเขินอายไปครู่หนึ่งแล้วต่อว่าเซียวเฟิงกลับไปด้วยความเขินอายที่มากขึ้น
“เธอน่าจะไม่มีอาการนั้นใช่ไหม? นั่นสินะ เพราะขนาดอาการพิการยังไม่แสดงผลในโลกแห่งเกมเลย” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่เป็นอะไร เซียวเฟิงก็บ่นพึมพำเบา ๆ
ทว่าหลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้อยากจะฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดอยู่ ดังนั้นเธอจึงรีบวางสายไปทันที
เซียวเฟิงส่ายหน้าก่อนจะหันไปโทรหาเฉียนโตวโตวต่อ หลังจากที่ต่อสายได้ เขาก็รีบอธิบายเรื่องที่จะให้เธอไปหากำลังเสริมจากวิหารแห่งแสงทันที ในส่วนของจักรวรรดิ เซียวเฟิงไม่เคยพาเธอไปเพิ่มค่าชื่อเสียงกับเหล่า NPC ในนั้นมาก่อนเลย ดังนั้นเพียงแค่จะเข้าพบ NPC หลักสักคนก็น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว
“เซียวหลิง เธออยู่ไหนน่ะ?”
เมื่อคุยธุระกับเฉียนโตวโตวเสร็จ เซียวเฟิงก็หันไปโทรหาเซียวหลิงต่อ โทรศัพท์ของเซียวหลิงนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าตัวก็หาได้ยากที่จะหยิบใช้ ถึงอย่างนั้นเซียวเฟิงก็ยังรู้อยู่ดีว่าเบอร์โทรศัพท์ของเธอคืออะไร
“นั่นเจ้าทาสทึ่มเหรอ? ตอนนี้องค์หญิงเซียวหลิงกำลังช่วยเมดวัวนมเก็บเลเวลอยู่ที่หมู่บ้านเริ่มต้น มีอะไรน่ะ?” น้ำเสียงที่ชัดเจนและสดใสของเซียวหลิงดังขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเธอรับสายแล้ว
“เสี่ยวไป๋อยู่กับเธอหรือเปล่า? ถ้ายังไงเปิดลำโพงให้พี่คุยกับเสี่ยวไป๋หน่อย” เซียวเฟิงกล่าวถาม เหตุผลหลักที่ต้องให้เปิดลำโพงก็เพราะเขาไม่สามารถวีดีโอคอลไปในเกมได้ ไม่งั้นแล้วคงเลือกใช้วิธีนั้นมากกว่า เพราะหลังจากที่ไม่ได้เจอนางฟ้าสาวคนนี้เป็นเวลานาน เซียวเฟิงก็คิดถึงเธอขึ้นมานิดหน่อยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อระบบโทรศัพท์เข้ากับระบบเกมเองก็ถือว่ายากพอตัวเลยเหมือนกัน แม้จะเชื่อมต่อเสียงได้ แต่ก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อวีดีโอได้สมบูรณ์ ดังนั้นวีดีโอคอลตอนนี้นอกจากภาพจะช้าแล้ว มันยังทำให้ภาพกระตุกไม่ต่อเนื่องเหมือนดูภาพสไลด์ด้วย
“หยึย นายนี่มันโรคจิตคลั่งเด็กสาวจริง ๆ! ห้ามคิดจะทำอะไรแปลก ๆ กับเสี่ยวไป๋เชียว!” น้ำเสียงของเซียวหลิงนั้นแฝงด้วยความอิจฉาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะยอมเปิดลำโพงให้
“เสี่ยวไป๋ อยู่ที่นั่นหรือเปล่า?” เซียวเฟิงตะโกนใส่โทรศัพท์โดยไม่ได้ใส่ใจความหึงหวงของเซียวหลิงเลย
“นายท่าน…นายท่าน…นายท่าน…”
ท่ามกลางพื้นที่ของมอนสเตอร์เลเวล 10 ในหมู่บ้านเริ่มต้น 9191 เสี่ยวไป๋กำลังหันซ้ายหันขวาด้วยความงุนงงพร้อมกับสีหน้าเลิ่กลั่กหลังจากที่ได้ยินเสียงเซียวเฟิง เธอดูจะกระวนกระวายหันซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังหาเซียวเฟิงอยู่ น้ำเสียงของเธอที่ร้องเรียกหาเองก็ดูหวาดหวั่นและหมดหวังไปพร้อม ๆ กัน
“ไม่ต้องมองหาฉันเสี่ยวไป๋ ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น เพราะงั้นฟังฉันให้ดี ๆ นะ…” ขนาดไม่ได้เห็นด้วยตา เซียวเฟิงก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้เสี่ยวไป๋เป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้เธอสงบลงก่อนจะเริ่มพูด
ถึงแม้ว่าร่างกายของเสี่ยวไป๋นั้นจะยังเด็กมาก ๆ แต่ในฐานะที่เป็นสัตว์เลี้ยงระดับตำนาน ความฉลาดของเธอจึงไม่ใช่น้อย ๆ แล้วตอนนี้ เพราะแบบนี้เซียวเฟิงจึงไม่กังวลและไม่คิดด้วยว่าเสี่ยวไป๋จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด