บทที่ 441 ถูกไล่ออก
บทที่ 441 ถูกไล่ออก
“บัดซบ! ใครมันกล้าทำร้ายฉันวะ! อยากตายหรือไง! มาช่วยฉันเร็วสิ!”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มรู้จัก
“ใคร? ใครหน้าไหนกล้าทำร้ายนายน้อยจาง?”
เมื่อผู้อำนวยการจ้าวได้ยินดังนั้นก็โกรธจัด ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องทันที
ผู้อำนวยการจ้าวคือชายหัวล้านวัยห้าสิบปี หลังจากเห็นว่ามีคนถูกทำร้ายในโรงเรียน ใบหน้าของเขาก็มืดมนลง!
“สวีรุ่ย! คุณเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้?”
“คือฉัน…”
เมื่อได้ยินคำถามของผู้อำนวยการจ้าว สวีรุ่ยจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังจากทำงานที่นี่มาหลายปี เธอแทบไม่เห็นผู้อำนวยการจ้าวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เธอจึงรู้สึกกลัวเล็กน้อย
“พวกมันสองคน! เวรเอ๊ย! กล้าดียังไงมาแตะต้องฉัน อยากตายมากเหรอ!”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยจางไม่สบอารมณ์ เขาชี้ไปที่ทั้งสองพร้อมสบถถ้อยคำหยาบคาย
ใบหน้าของอวี้ฮ่าวหรานเย็นชาลงเล็กน้อยพร้อมแค่นเสียง
“ฮึ ดูเหมือนว่ามีคนไม่เข็ดหลาบสินะ?”
จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อเห็นอย่างนั้น นายน้อยจางก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาจึงก้าวถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
เขาทั้งโกรธทั้งอับอาย
“แม่งเอ๊ย! แกเป็นใคร? แกจะเล่นแบบนี้ใช่ไหม? รอก่อนเถอะ ฉันจะโทรเรียกพวกพี่น้องของฉันมาจัดการแก!”
เขาข่มขู่ขณะใบหน้ามืดมนลงเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ งั้นก็ลองดูสิ”
อวี้ฮ่าวหรานเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเหยียดหยาม
ทันใดนั้นผู้อำนวยการจ้าวก็โพล่งขึ้นอีกครั้ง
“สวีรุ่ย! คุณรู้จักเขาเหรอ?”
เขาไม่ได้ถามชายหนุ่มที่มีท่าทางเคร่งขรึมตรงหน้า แต่กลับหันไปถามอาจารย์สาวที่อยู่ข้าง ๆ เสียงแข็ง
“ร…รู้จักเขา เขามาส่งลูกสาวเข้าเรียนที่นี่”
สวีรุ่ยมีท่าทีลังเล แต่ยังคงเปิดเผยตัวตนของชายตรงหน้า
“ผู้ปกครอง?”
เมื่อผู้อำนวยการจ้าวหัวล้านได้ยินอย่างนั้น เขาจึงหันมองชายหนุ่มตรงหน้าและพบว่าอีกฝ่ายดูคุ้นตาจริง ๆ
“เป็นแค่ผู้ปกครอง กล้าดียังไง?”
คำพูดของเขาถือเป็นการดูถูกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“คุณรู้ไหมว่าครอบครัวของนายน้อยจางเป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของโรงเรียนเรา? คุณทำร้ายเขาอย่างนี้แล้วเราจะเอาเงินทุนจากไหนไปสอนลูกคุณล่ะ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกมาจากปากเขา สวีรุ่ยก็หน้าซีดทันที
“ผู้อำนวยการจ้าวคะ ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ เมื่อกี้…”
“เงียบ! คุณจะแก้ตัวแทนเขาเหรอ?”
ผู้อำนวยการจ้าวหัวโล้นกระซิบ
ก่อนหน้านี้ครูสาวได้รับความนิยมจากผู้ปกครอง เขาจึงหลงคิดว่าเธอมีความสามารถมาก
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้นเลย
ยังต้องพูดอีกเหรอว่าเขาจะเลือกใครระหว่างผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของโรงเรียนกับผู้ปกครองธรรมดา ๆ?
ขณะนั้นเองดูเหมือนว่านายน้อยจางจะคิดอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นขี้เล่นอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ วันนี้เปิดเทอมวันที่สองไม่ใช่เหรอ ไอ้หน้าอ่อน แกยังจะหยิ่งแบบนี้ได้อยู่ไหมถ้าฉันไล่ลูกแกออก?”
ถึงใบหน้าของอวี้ฮ่าวหรานจะยิ้ม แต่พลังวิญญาณบางส่วนไหลมารวมที่มือแล้ว เขาสามารถบดขยี้ไอ้มนุษย์ธรรมดาที่อยู่ในห้องรับรองนี้ได้ในพริบตาแน่
ตอนนี้โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งเปิดภาคเรียนแล้ว ซึ่งเวลารับสมัครนักเรียนใหม่ล่วงเลยไปแล้ว ถ้าเด็กถูกไล่ออกเวลานี้ กลัวว่าจะรอกว่าครึ่งปีถึงจะสมัครเรียนที่ใหม่ได้
มากไปกว่านั้นอาจส่งผลกระทบไปถึงโรงเรียนปฐมศึกษาด้วยก็ได้ ผลที่ตามมาอาจร้ายแรงกว่าที่ชายหนุ่มคิด!
สวีรุ่ยตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“ผู้อำนวยการจ้าว เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายนายน้อยจาง เราอย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ”
เธอกลัวว่าผู้อำนวยการจะเชื่อฟังคำพูดของอีกฝ่ายแล้วไล่ถวนถวนออกจริง ๆ
ถึงอย่างนั้นผู้อำนวยการหัวล้านก็ยังคงมีท่าทีลังเล เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดหนัก
เมื่อเห็นอย่างนั้น นายน้อยจางก็อดหัวเราะไม่ได้
“หึ ตอนนี้กลัวแล้วเหรอ? แกรู้หรือเปล่าว่าทำอะไรลงไป? ฉันบอกแล้วไงว่าแกกับฉันมันคนละชั้นกัน!”
พูดจบ เขายกเท้าที่สวมรองเท้าหนังสีดำไปข้างหน้าชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้าม ขณะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาพึงพอใจ
“แน่นอนว่าฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในเมื่อแกถีบฉันแล้วอยากจะขอโทษ งั้นคุกเข่าแล้วโขกหัวสามครั้ง จากนั้นก็เลียรองเท้าหนังให้ฉันจนเงาวับ แค่นี้เรื่องก็จบแล้ว”
“ฮ่า ๆ นายน้อยจางใจกว้างจริง ๆ คุณให้โอกาสผู้ชายคนนี้แก้ตัวด้วยเหรอครับ”
ผู้อำนวยการหัวโล้นรีบประจบประแจงทันที เมื่อได้เห็นอย่างนั้น อวี้ฮ่าวหรานแทบหัวเราะด้วยความโกรธจัด!
แม้แต่ขุนเขาและแม่น้ำต้นกำเนิดของโลกเทวะก็ยังไม่กล้าให้เขาคุกเข่า!
ไอ้ขี้โกงตรงหน้าที่เป็นแค่เดรัจฉานตาบอด ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว!
พอนายน้อยจางเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ตอบสนอง สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที!
“ฉันให้โอกาสนาย แต่นายไม่อยากได้เหรอ? โอเค!”
พอพูดจบก็หันมองอาจารย์ใหญ่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ทันที
“ไล่ลูกมันออกเดี๋ยวนี้! หึ! ฉันจะทำให้ลูกแกไม่ได้เข้าเรียนที่ไหนเลย!”
“เอ่อ…เข้าใจแล้วครับ”
ผู้อำนวยการลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ทำตามคำสั่งอีกฝ่ายโดยดี
แต่ดูเหมือนนายน้อยจางยังไม่หนำใจ
“เดี๋ยวก่อน! เด็กคนนั้นกำลังเรียนอยู่เหรอ? งั้นพาตัวเด็กมาที่นี่ แล้วประกาศไล่ออกต่อหน้าทุกคน!”
เขามองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงข้ามด้วยท่าทางพึงพอใจ
“หึ กล้าแตะต้องตัวฉันงั้นเหรอ! ฉันจะทำให้เด็กคนนั้นเห็นว่าพ่อมันไร้น้ำยาแค่ไหน!”
“ครับ…ผมจะไปเดี๋ยวนี้”
ผู้อำนวยการจ้าวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าคำสั่งของอีกฝ่ายจะขัดแย้งกับความคิดเขา แต่เพื่อให้นายน้อยอารมณ์เย็นลง เขาจึงต้องทำตาม
เขาทำได้เพียงตำหนิชายหนุ่มตรงหน้าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาทำร้ายนายน้อยจาง
ผู้อำนวยการหัวโล้นเหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนหันหลังกลับแล้วเดินจากไป!
สวีรุ่ยกัดริมฝีปากแล้วรวบรวมความกล้าทั้งหมดก่อนตะโกนเสียงดัง
“ผู้อำนวยการจ้าว! คุณย้ำมาตลอดว่าอยากเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็ก ๆ ไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมคุณถึงทำอย่างนี้! คุณเรียนรู้คำพูดประจบประแจงมาจากหนังสือเหรอคะ?”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ผู้อำนวยการหยุดชะงัก
เขามองหญิงสาวตรงข้ามด้วยสายตายากอธิบายพร้อมถอนหายใจยาวอย่างจนปัญญา สุดท้ายแล้วเธอก็เด็กและไร้เดียงสาเกินไป
ปณิธานมีไว้เตือนสติตัวเอง ปกติแล้วคนเรามักจะทำตามความตั้งใจของตัวเอง แต่ตอนนี้มันเกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน ดังนั้นเขาจึงคิดแล้วว่ามันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง
เขาลืมไปแล้วว่าตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะมาถึงตำแหน่งนี้
แต่นายน้อยจางกลับไม่พอใจเมื่อเห็นอย่างนั้น!
“ลังเลเหรอ? ครูผู้หญิงคนนี้! ฉันไล่เธอออกเหมือนกัน! ฉันไม่ชอบเธอ!”
เขาชี้ไปที่สวีรุ่ยขณะแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ ยังต้องการเหตุผลจากเขาอีกเหรอ?
ทำไมโลกของผู้ใหญ่ถึงมีความจริงที่เจ็บปวดมากมายขนาดนี้?
“เอาล่ะ! สวีรุ่ย! ผมจะมอบหนังสืออย่างเป็นทางการให้คุณทีหลัง ตอนนี้คุณเริ่มเก็บข้าวของออกไปได้เลย!”
ผู้อำนวยการพูดอย่างไม่ลังเล เขายังคงทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย เพราะถ้าขัดใจนายน้อยจางแค่ครั้งเดียว เขาอาจหลุดออกจากตำแหน่งนี้ก็ได้
ร่างกายสวีรุ่ยสั่นเทาทันทีที่ได้ยิน
“ผู้อำนวยการ…ฉัน…ฉันเตรียมตัวสำหรับการเปิดเทอมมานาน แล้ววันนี้ฉันก็มีตารางสอนด้วย”
เธออุทิศร่างกายและจิตใจให้แก่โรงเรียนแห่งนี้มานานหลายปี แล้วเธอจะยอมรับคำพูดของชายคนนั้นได้ยังไง?