บทที่ 394 ข่มขู่?

บทที่ 394 ข่มขู่?

“เป็นหัวหน้าชินห่าวนี่เอง ฉันอยากจะรู้จักคุณมานานแล้ว”

หลิวเฉียงเหว่ยพยักหน้ารับผู้เล่นหนุ่มหน้าหล่อผู้นั้นด้วยความสุภาพ ชินห่าวนั้นเป็นชื่อของตัวละครของอีกฝ่าย และชื่อนี้ก็เป็นชื่อของหัวหน้ากิลด์กางเขนเหล็กด้วย

“ฮ่า ๆ เมืองแห่งความโศกเศร้านี้ช่างวิเศษมาก ๆ แม้ว่าแคมป์ของกางเขนเหล็กจะมีระดับเป็นเมืองขนาดเล็กแล้วก็จริง แต่พอมาเทียบกับที่นี่แล้ว พวกเราใหญ่ไม่ถึง 1% ของเมืองแห่งความโศกเศร้าเลย สมแล้วที่เป็นเมืองหลักเลเวล 2 ดูท่าคุณหัวหน้าโรสคงจะทุ่มทุนให้กับที่นี่มากเอาการเลยสินะครับ?” ชินห่าวมองไปยังขนาดของเมืองแห่งความโศกเศร้าด้วยความชื่นชม

“ก็ไม่ได้มากอย่างที่คุณคิดหรอก ยังไงซะ ที่นี่ก็เป็นเมืองหลักที่พร้อมจะพัฒนาเป็นเลเวล 2 มาตั้งแต่แรกแล้ว อีกอย่างก็เพราะกิลด์มิดซัมเมอร์กิลด์มีหลาย ๆ อย่างพร้อมอยู่แล้ว เพราะงั้นมันจึงค่อนข้างช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลยทีเดียว” เมื่อพูดถึงเมืองแห่งความโศกเศร้า แววตาของหลิวเฉียงเหว่ยก็เหลือบมองไปทั่วทั้งเมืองด้วยความภาคภูมิใจ

“ยังไงก็เถอะ ผมได้ยินมาว่าเมืองแห่งความโศกเศร้ากำลังเผชิญหน้ากับการโต้กลับที่ค่อนข้างรุนแรงสินะครับ? แล้วก็…ถ้าสูญเสียเมืองแห่งความโศกเศร้าไป มิดซัมเมอร์เองก็จะได้รับผลกระทบครั้งรุนแรงไปด้วย ถูกไหม? บางทีอาจจะแรงถึงขนาดที่ว่าสูญเสียเกียรติยศที่สั่งสมมาและสถานะในเกมไปเลยก็ได้”

ชายหนุ่ม ๆ ค่อย ๆ กวาดตากลับมามองหลิวเฉียงเหว่ยขณะที่พูดเช่นนั้น ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังดูชื่นชมเธออยู่เป็นนิจ

“คุณหัวหน้าชินห่าว ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นก็ได้นะ นั่นเพราะเมืองแห่งความโศกเศร้าไม่มีทางพ่ายแพ้แน่” น้ำเสียงของหลิวเฉียงเหว่ยนั้นราบเรียบดั่งที่พูดกับคนอื่น ๆ กระนั้นก็ยังหนักแน่นซึ่งความมั่นใจ

“ผมรู้ว่านี่เป็นภารกิจของระบบ เลยทำให้มีผู้เล่นมากมายที่จะเข้ามาร่วมในสงครามป้องกันเมืองครั้งนี้ ผนวกกับศักยภาพของกิลด์มิดซัมเมอร์ในตอนนี้ บางทีอาจจะมีผู้เล่นที่เป็นสมาชิกสูงแตะร้อยล้านคนแล้วก็ได้ เพราะงั้นการต่อสู้กับทัพแห่งความมืดน่ะ ไม่ใช่งานยากนักหรอก บางทีท่านหัวหน้าอาจจะมีจำนวนคนเหนือกว่าอีกฝ่ายแบบขาดลอยเลยด้วยซ้ำ” ชินห่าวพูดอย่างต่อเนื่อง

“แต่ยังไงพวกมันก็ยังมีบอสอยู่ เรื่องนี้ผมคิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าของเธอจะจัดการเจ้าพวกนี้ยังไงดี? เท่าที่เขาลือกันมา มันมีบอสระดับทองกว่า 20 ตัวเลยนะ แถมยังเลเวลสูงกว่า 50 กันซะด้วย ขนาดเป็นแค่ทัพหน้านะเนี่ย เพียงแค่พวกมันตัวเดียวก็สามารถฆ่าผู้เล่นได้เป็นหมื่นแล้ว น่ากลัวกันจริง ๆ เลยน้า ไม่ต้องพูดถึงบอสเทพเจ้าเลยก็ยังได้ เพราะบอสพวกนั้นน่ะ แข็งแกร่งเทียบเท่าพวกเราที่มีเลเวล 50 คลาส 4 กันได้เลย ดังนั้นด้วยเลเวลของพวกเราที่ยังอยู่ได้แค่คลาส 3 น่ะ ทำอะไรมันไม่ได้หรอก แล้วเมื่อไหร่ถ้าบอสเทพเจ้าปรากฏตัวออกมาจริง ๆ จำนวนผู้เล่นที่มากมายก็ไม่ได้มีค่าอะไรเลยในสายตาพวกมัน โดยเฉพาะถ้ามันเล็งเป้าหมายที่เมืองแห่งความโศกเศร้าแล้ว ต่อให้ขนคนมาทั้งฮัวเซีย ก็ไม่สามารถหยุดยั้งมันได้”

“ที่สำคัญสุด ผมพอจะรู้มาด้วยว่าหัวหน้าทัพหน้าของพวกทัพแห่งความมืดน่ะ ยังมีเลเวลสูงกว่าบอสระดับเทพเจ้าที่มากับมันด้วยอีกขั้นนึงนะ เพราะงั้นมันน่าจะเป็นบอสระดับตำนานแน่ ๆ ! คุณคิดว่ายังไงบ้างล่ะ มีวิธีรับมือบอสระดับตำนานไหม? ผมคิดว่าท่านหัวหน้าโรสน่าจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่มีทาง! เพราะงั้นถ้ามันปรากฏตัว เมืองแห่งความโศกเศร้าก็จะพ่ายแพ้ในทันที ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าผู้เล่นที่มาเข้าร่วมภารกิจนี้ก็จะพลอยถูกฆ่าตายไปกันจนหมดอีกด้วย”

น้ำเสียงของชินห่าวเริ่มเปลี่ยนจากชื่นชมไปเป็นคนละทิศละทาง แต่ถึงอย่างงั้น เรื่องที่เขาพูดก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย

“ทัพหน้าของทัพแห่งความมืดยังไม่ปรากฏตัวขึ้นมาเลย ทำไมคุณถึงรู้ข้อมูลพวกนี้ได้ล่ะ?” ในที่สุดหลิวเฉียงเหว่ยก็หันไปมองชินห่าวด้วยแววตาที่เฉียบคม

“จากข้อมูลต้นทางน่ะ เป็นหน่วยข่าวลับภายในของพวกเรากางเขนเหล็ก เพราะงั้นผมคงต้องขออภัยด้วยที่ต้องเก็บเป็นความลับต่อไป” ชินห่าวยิ้ม และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา รอยยิ้มนี้ทำให้เขาดูมีเสน่ห์ขึ้นเป็นอย่างมาก

“ไม่ว่าบอสของศัตรูจะมีมากมายขนาดไหน เมืองแห่งความโศกเศร้าก็แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีได้อยู่แล้ว อีกอย่าง ถ้าทัพแห่งความมืดส่งบอสออกมา เราเองก็จะส่งบอสออกไปด้วยเช่นกัน” หลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้ซอกแซกถามต่อ

“จริงเหรอ? ไม่ใช่ว่า NPC สัมพันธมิตรที่รับผิดชอบเรื่องการป้องกันเมืองสำหรับภารกิจในครั้งนี้ยังไม่ตอบรับกันหรอกเหรอครับ? ผมล่ะกลัวว่าเมืองแห่งความโศกเศร้าจะไม่มี NPC บอสที่สามารถรับมือบอสพวกนั้นไหวจังเลยน้า…” ชินห่าวยังไม่ยอมหยุดที่จะถามต่อ

“ดูเหมือนว่าหน่วยข่าวกรองลับของกางเขนเหล็กนี่จะกว้างขวางใช่ย่อยเลยนะ แล้วมีข่าวอะไรอยากจะบอกฉันอีกไหมล่ะ?” คราวนี้เป็นฝ่ายหลิวเฉียงเหว่ยบ้างที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส

“ท่านหัวหน้าโรส เป็นเกียรติของผมจริง ๆ ที่ได้รับการชื่นชมเช่นนั้น มีคนของผมเผอิญไปพบกับกลุ่มทัพของ NPC ที่กำลังหลงทางอยู่น่ะ บางทีอาจจะเป็น NPC ที่รับหน้าที่ป้องกันเมืองในภารกิจนี้ก็ได้ แต่น่าเสียดายที่คนของผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าไปเจอที่ไหน” ใบหน้าหล่อนั้นพูดต่อเมื่อได้โอกาส และไม่ลืมที่จะยิ้มอย่างพึงพอใจไปด้วย

“โอ้? หัวหน้าชินห่าวกำลังจะบอกฉันว่า กลุ่มของ NPC ที่เจอนั้นประกอบไปด้วยคนของวิหารแห่งแสงที่หายไปด้วยหรือเปล่านะ?” ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยของหลิวเฉียงเหว่ย แม้เธอจะพูดตอบรับทุกคำ แต่ก็ไม่สามารถเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่

“ฮ่า ๆๆ ท่านหัวหน้าโรสเนี่ย ไม่ทำให้ผมผิดหวังเลยจริง ๆ นอกจากจะสวยแล้วยังฉลาดไม่น้อยเลยด้วย เธอพูดถูกแล้ว ไม่ใช่แค่เท่านี้นะ ผมยังมีข่าวอีกเรื่องหนึ่ง ที่คิดว่าจะต้องเป็นประโยชน์กับท่านหัวหน้าโรสแน่ ๆ ” เขาหัวเราะ

“เชิญพูด”

“การมีอยู่ของเมืองแห่งความโศกเศร้าทำให้หลาย ๆ ฝ่ายใหญ่ ๆ รู้สึกอิจฉา เป็นเหมือนกับคำที่กล่าวไว้ว่า ‘ดอกไม้ป่าที่งดงาม ย่อมถูกรังควานจากลมพายุ’ เพราะเมืองแห่งความโศกเศร้า มันเลยทำให้กิลด์มิดซัมเมอร์ถูกเพ่งเล็ง ผมได้ยินมาว่าบางฝ่ายเตรียมพร้อมที่จะผสมโรงเข้าโจมตีเมืองแห่งความโศกเศร้าในสงครามครั้งนี้ด้วย และถ้ามันเป็นเรื่องจริง นั่นหมายถึงเธอจะไม่เพียงแต่ต้องรับมือจากเหล่าบอสระดับสูง แต่ยังต้องรับมือกับผู้เล่นที่อยากจะก่อความวุ่นวายด้วย สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความพ่ายแพ้ของเมืองแห่งความโศกเศร้ามาถึงเร็วขึ้น คุณเองก็น่าจะเข้าใจดีใช่ไหม?” ชินห่าวยิ้มทิ้งท้าย

“แล้วกางเขนเหล็กอยู่ฝั่งที่ว่าด้วยหรือเปล่าล่ะ?” หลิวเฉียงเหว่ยถามกลับ

คำพูดของชายคนนี้มันเปิดเผยความลับออกมาหลายอย่างแล้ว ถ้าหากหลิวเฉียงเหว่ยยังไม่สามารถเข้าใจล่ะก็ เธอจะต้องเป็นยัยโง่จริง ๆ แน่ ๆ

การที่ต้องรับมือจากการโจมตีของกลุ่มบอสระดับสูงก็นับว่าหนักหนาพอแล้ว นี่ยังต้องมารับมือกับผู้เล่นที่จ้องจะลอบโจมตีเมืองอีก อย่างไรก็ตาม อาจจะโชคดีหน่อยที่พวกเขาเหล่านี้ทำได้เต็มที่ก็แค่ฆ่าผู้เล่นฝั่งตน ไม่สามารถทำความเสียหายกับเมืองได้เพราะนี่ไม่ใช่สงครามระหว่างผู้เล่น

แต่ปัญหาเช่นนี้มันก็ชี้ชัดว่า ข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของเมืองแห่งความโศกเศร้าก็คือ พวกเขาไม่มีทหาร NPC ที่คอยคุ้มกันเมือง ลำพังเพียงแค่สมาชิกกิลด์มิดซัมเมอร์มันก็ถือเป็นอะไรที่ตึงมือมากอยู่ ในยามที่สมาชิกกิลด์ทั้งหมดไปยืนประจันหน้ารับแนวปะทะด้านนอก หากเกิดการปะทะกันของผู้เล่น มันจะต้องกลายเป็นปัญหาอย่างที่อีกฝ่ายว่าแน่

“ท่านหัวหน้าโรส คุณกำลังเข้าใจผิดแล้ว กางเขนเหล็กนั้นนับถือในสถานะของกิลด์มิดซัมเมอร์ที่เป็นเจ้าแห่งฟากใต้ ดังนั้นพวกเราจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?” รอยยิ้มบนใบหน้าของชินห่าวสดใสยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

“หัวหน้าชินห่าว คุณกำลังข่มขู่ฉันงั้นเหรอ?” หลิวเฉียงเหว่ยไม่พูดอ้อมค้อม เธอถามไปตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ยังคงเดาอารมณ์ไม่ถูกดังเดิม

“ไม่เลย ไม่เลยสักนิดเดียว ผมน่ะตกหลุมรักหัวหน้าโรสมาตั้งเนิ่นนาน ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” ชินห่าวรีบปฏิเสธ

“ถ้างั้นหัวหน้าชินห่าวต้องการจะสื่ออะไร?”

“ผมก็แค่เผอิญไปได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณมา ท่านหัวหน้าโรส เพราะงั้นผมก็เลยอยากจะมีโอกาสได้เป็นผู้ร่วมงานกับเธอด้วย” รอยยิ้มบนใบหน้าชินห่าวนั้นแสดงออกถึงความขี้เล่นออกมา

“เรื่องเกี่ยวกับฉัน? เรื่องอะไรกันล่ะ?” หลิวเฉียงเหว่ยถาม

“ผมได้ยินมาว่าหัวหน้าโรสน่ะค่อนข้างจะชอบเป็นมิตรกับหนุ่มผู้มีอิทธิพลสูง ๆ ตั้งแต่ที่เธอพยายามเข้าหาเจ้าแห่งฮีลเลอร์แบบลับ ๆ หลังจากที่รู้ว่าเขาคนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน จากนั้นก็ใช้อิทธิพลของเขาในการพัฒนากิลด์มิดซัมเมอร์ ไม่นานนักเจ้าแห่งฮีลเลอร์ก็หายตัวไป หรือควรจะบอกว่าถูกบีบให้หายไปดีนะ? เธอมีเรื่องกับท่านไนท์คูนเนอร์ผู้ที่เธอเคยใช้ไปปราบเทพดาบอย่างคลุมเครือ และในตอนท้ายก็สามารถปราบแอนติควิตี้ลงได้ กลายมาเป็นเจ้าผู้ครองฟากใต้และมิดซัมเมอร์ในปัจจุบันนี้” ชินห่าวมองไปยังหลิวเฉียงเหว่ยด้วยสายตาแปลก ๆ ตลอดเวลาที่พูดเช่นนี้

“อยากจะบอกอะไรกับฉันอยู่หรือเปล่า?” หลิวเฉียงเหว่ยไร้ซึ่งการแยแสใด ๆ ทั้งสิ้น

“สิ่งที่ผมอยากจะพูดนั่นก็คือ ผมเองก็เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้ากิลด์กางเขนเหล็ก แต่ยังสามารถช่วยกิลด์มิดซัมเมอร์ให้รอดพ้นจากการวิกฤตครั้งนี้ได้ด้วย อย่างเช่นการไปตามหา NPC สัมพันธมิตรที่หลงทาง หรือช่วยป้องกันผู้เล่นอื่นที่หมายจะสร้างปัญหาภายในเมืองอะไรแบบนี้ สิ่งเดียวที่ผมต้องการก็คือ การที่ คุณ สตรีผู้งดงามอันดับ 1 ของเขตฮัวเซียหยิบยื่น ‘ความร่วมมือร่วมใจ’ ให้กับผมก็เท่านั้น”

พูดถึงตรงนี้ ชินห่าวก็ยิ้มกว้างจนแก้มปริไปแล้ว

“หัวหน้าชินห่าว หากไปพูดอะไรแบบนี้ให้คนอื่นได้ยิน บางทีคุณจะเป็นคนแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ตนเองนะ” หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ปรากฏขึ้นในน้ำเสียงของเธอราวกับว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับประโยคเหล่านั้นเลย

“โอ๊ะ? คุณหมายถึง คราวน์ปรินซ์ หรือเปล่า? ถ้าใช่…” น้ำเสียงของชินห่าวเริ่มจะไม่สุภาพขึ้นมาแล้ว

“หัวหน้าชินห่าว ฉันยุ่งกับการที่จะต้องดูแลแนวป้องกันของเมืองมาก ๆ เพราะงั้นฉันต้องไปก่อน ถ้ายังไงก็พิจารณาต่อเองนะว่าต้องทำยังไงต่อ อ้อ แล้วก็…ในเมื่อกิลด์มิดซัมเมอร์สามารถมาถึงจุดนี้ได้ ดังนั้นพวกฉันไม่เคยเกรงกลัวต่อการท้าทายใด ๆ อยู่แล้ว” สาวเจ้าไม่ทนเสียเวลากับเขาอีกต่อไป เธอเบือนหน้าหนีแล้วเดินออกไปอย่างไม่รีรอ

“น่าสนใจดีนี่ ผมหวังว่าหลังจากนี้อีกสักชั่วโมง เธอจะยังคงมีความมั่นใจแบบนี้อยู่นะ อยากจะรู้เหลือเกินว่าเธอจะงดงามได้ถึงเพียงไหน”

ขณะที่มองตามหลังของหลิวเฉียงเหว่ยผู้ไร้ที่ติ ชินห่าวก็บ่นพึมพำกับตนเองเบา ๆ

“ชินห่าว! ไอ้สาวเลว! ในที่สุด ฉันก็หาตัวแกเจอ!”

ทว่าตอนนั้นเอง เสียงก่นด่าก็ดังขึ้นจากด้านหลังของชินห่าว

เมื่อชินห่าวหันกลับไปมอง เขาก็พบว่าเจ้าของเสียงตะโกนนั้นคือนักธนูที่สวมชุดเสื้อคลุมของผู้เริ่มเล่นใหม่ ส่วนชื่อตัวละครก็คือ หานเฟิง ชินห่าวไม่ทันได้เตรียมตัวเขาก็ต้องรีบถอยออกเพราะนักธนูผู้นั้นคว้าธนูมาและยิงทริปเปิ้ลช็อตใส่เขาเสียแล้ว

“บ้าเอ้ย! นี่แกอีกแล้วงั้นเหรอ!? สนุกกับหมู่บ้านเริ่มต้นไม่พอหรือไง?”

ขณะที่หลบหลีกลูกธนูนั้น ชินห่าวก็ก่นด่ากลับไปด้วยพร้อมกับเตรียมจะหนีออกจากที่นี่ เพราะแม้ว่าเลเวลกับอุปกรณ์ของเขาจะอยู่ในระดับสูงมาก แต่เขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มากสักเท่าไหร่ ดังนั้นต่อให้หานเฟิงจะใช้อุปกรณ์เริ่มต้น ตัวเขาเองก็อาจจะไม่สามารถชนะอีกฝ่ายได้เลยก็ได้ เผลอ ๆ อาจจะถูกฆ่าด้วยซ้ำ

“ท่านหัวหน้าครับ! ทัพแห่งความมืดเริ่มส่งกำลังมาแล้วครับ!”

หลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้ตระหนักถึงเสียงเอะอะด้านหลังเลย นั่นเพราะเธอกำลังสนใจอยู่กับการเคลื่อนไหวที่ภายนอกเมืองอยู่

ที่ด้านหน้าของเมืองแห่งความโศกเศร้านั้น ทุ่งทมิฬที่กว้างใหญ่กำลังเต็มไปด้วยวงเวทสำหรับเคลื่อนย้ายมากมายที่เปล่งประกายแสงออกมา วงเวทเหล่านั้นปล่อยเหล่ามอนสเตอร์สายพันธุ์อันเดดออกมาเป็นจำนวนมาก ราวกับว่ามันคือคลื่นที่โถมเอากองพันกระดูกจากอีกโลกหนึ่งให้เข้ามายึดครองแดนมนุษย์ด้วยความเร็วที่ไม่น้อยเลย!

ทัพหน้าของทัพแห่งความมืดนั้นเป็นอันเดดหมดเลยจริง ๆ ด้วย! ทุกครั้งที่วงเวทเหล่านั้นเปล่งแสงออกมา กองทัพอันเดดกว่าแสนตัวก็จะทยอยออกมา ดังนั้นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ทุ่งทมิฬก็มีกองทัพที่มีจำนวนอันเดดทะลุพันล้านตัวไปแล้ว! แถมมันยังดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย!

“ลาดตระเวนแล้วได้เรื่องอะไรกลับมาบ้าง?”

หญิงสาวกล่าวถามขณะที่สายตากำลังจ้องมองวงเวทที่ผลัดกันเปล่งแสงขณะปลดปล่อยทัพแห่งความมืดออกมาเรื่อย ๆ

“บอสปรากฏตัวแล้ว แล้วตอนนี้มอนสเตอร์ตัวเล็ก ๆ เองก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย จำนวนของมันระบุไม่ได้ แต่กองทัพของบอส มีระดับทองคำเลเวล 50 ราว ๆ ยี่สิบกว่าตัว แล้วก็บอสระดับเทพเจ้าหกตัวเลเวล 50 เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าของพวกมัน…คือลิชคิง เจ้าตัวนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะงั้นมันน่าจะเป็นบอสระดับตำนาน!”

ซือเยี่ยจิ๋งปรากฏตัวขึ้นที่ข้าง ๆ หลิวเฉียงเหว่ย เธอพูดเสียงเบาแต่ก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น กลุ่มของนักฆ่าที่เธอดูแลมีหน้าที่ลาดตระเวนเพื่อหาข้อมูลของอีกฝ่ายมา

“ไม่เป็นไร ฉันเชื่อมั่นในการจัดการของเซียวเฟิง” หลิวเฉียงเหว่ยถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย

“อือ…เอ้อ เมื่อครู่นี้ ฉันบันทึกข้อความของไอ้สารเลวจากกางเขนเหล็กเอาไว้แล้ว หลังจากที่ไอ้ตาบ้าโรคจิตกลับมา ฉันจะไปจัดการกับไอ้สารเลวจากกางเขนเหล็กเอง” ซือเยี่ยจิ๋งสบถเบา ๆ

“ฮึ” ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องอย่างหลิวเฉียงเหว่ยไม่ได้ว่าอะไร เธอเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับเท่านั้น

ตอนนี้เธอได้กลายเป็นผู้หญิงของเซียวเฟิงไปแล้ว ดังนั้นเธอควรจะมั่นใจในสิทธิที่เธอพึงมีบางอย่างที่จะทำให้เธอรู้สึกดี ยังไงเสีย หลิวเฉียงเหว่ยก็ไม่เคยเป็นคนที่ยอมกลืนคำพูดตนเองอยู่แล้ว