“เป็นหุ่นเชิดที่ร้ายกาจจริงๆ!”

หลังจากที่ได้ทำการประทับตราวิญญาณกับหุ่นเชิด เซี่ยปิงก็เข้าใจถึงวิธีการใช้งานสิ่งประดิษฐ์วิญญาณขั้นกลางนี่อย่างชัดเจน ล่วงรู้ว่าการที่หุ่นเชิดอนันต์นี้จะทรงพลังมากแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับพลังอำนาจของผู้ใช้ทั้งหมด

ด้วยพลังเวทมนตร์ของเขาในตอนนี้นั้น สามารถที่จะทำให้หุ่นเชิดอนันต์แยกร่างโคลนออกมานับหมื่นร่างได้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นทหารหุ่นเชิดที่เป็นอมตะ เพียงพอที่จะเข้ายึดครองเมืองขนาดใหญ่เมืองหนึ่งได้

เนื่องจากหุ่นเชิดอนันต์นี้มีวัสดุที่พิเศษ จึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้หลายพันรูปแบบ สามารถที่จะเปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างต่างๆได้

เดิมที ฟางกุ่ยก็ใช้หุ่นเชิดอนันต์นี้ในการเปลี่ยนกลายเป็นรูปลักษณ์ของตนเองและให้ออกไปทำภารกิจลอบสังหาร ทว่าเขานั้นก็คอยควบคุมอยู่ในระยะไกล หากเป็นเช่นนี้ เขาก็จะมีความปลอดภัยอย่างแน่นอน

ดังนั้นภารกิจในการลอบสังหารของเขาจึงมีอัตราการสำเร็จถึง100% เป็นที่นับถือว่าคือนักฆ่าที่ไม่เคยล้มเหลว ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินชื่อของเขา นี่ก็ทำให้มูลค่าในการจ้างวานเขาสูงขึ้นเช่นกัน

อีกทั้งเขาก็ยังใช้หุ่นเชิดอนันต์นี่เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตัวเขาเอง หากเป็นเช่นนี้ ต่อให้จะมีศัตรูที่ลอบโจมตีเข้ามา ก็จะกำจัดร่างโคลนของหุ่นเชิดอนันต์ไปเพียงเท่านั้น ร่างหลักของเขายังคงไร้รอยขีดข่วน

ทว่าเป็นเพราะว่าฟางกุ่ยนั้นพึ่งพาหุ่นเชิดอนันต์นี่มากเกินไปและคอยควบคุมอยู่ในระยะไกลนั้น เมื่อใดที่ร่างหลักของเขาตกอยู่ในอันตรายนั้น เขาจึงไม่สามารถปกป้องตนเองได้

มันดูเหมือนว่าในเวลานั้น เขาก็ไม่คาดคิดว่ากลุ่มของตนเองจะถูกซุ่มโจมตีเช่นกัน ดังนั้นจึงประมาทไปชั่วขณะ ทำให้เผชิญกับหายนะ

อีกทั้งเซี่ยปิงก็ได้เดินเข้ามาโดยตรงและสังหารเขาไปโดยที่ไม่ทันได้นำหุ่นเชิดอนันต์ออกมาด้วยซ้ำ ช่างเป็นการตายที่ไม่ยุติธรรมจริงๆ

“เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางไปที่สำนักวิญญาณสาขาหลัก”

เซี่ยปิงได้เก็บทุกสิ่งทุกอย่างไป

ในเมื่อจัดการปัญหาของกลุ่มเจ็ดนักฆ่ามือฉมังได้นั้น ก็ไม่มีใครที่จะขัดขวางเขาในการไปที่สำนักวิญญาณสาขาหลักอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้สำนักวิญญาณสาขาหลักก็อยู่ในสภาวะที่ไร้การป้องกันที่สุด ยอดฝีมือจำนวนมากได้เดินทางออกไป ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสทองในการที่จะแอบลักลอบเข้าไปข้างใน

หากพลาดโอกาสนี้ไป ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่

………..

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง การเทเลพอร์ตของสำนักวิญญาณสาขาเมืองฮวายหนิงก็ได้เริ่มต้นขึ้น

วินาทีต่อมา เซี่ยปิงและหลิวหยูหลานทั้งสองคนก็ได้ปรากฏตัวมาที่สำนักวิญญาณสาขาหลัก

หลิวหยูหลานก็ได้ติดตามมา เพราะว่าเซี่ยปิงนั้นไม่ได้ล่วงรู้ถึงข้อมูลของสำนักวิญญาณสาขาหลักนี่มากนัก การที่มีความช่วยเหลือของหลิวหยูหลานอยู่นั้น จะสามารถช่วยให้เขาเข้าไปในสถานที่ต่างๆของสำนักวิญญาณสาขาหลักได้อย่างง่ายดาย

“มาที่นี่แล้วจริงๆ”

ดวงตาที่งดงามของหลิวหยูหลานเผยให้เห็นถึงความสับสน เธอไม่คาดคิดว่าตนเองจะมีโอกาสได้กลับมายังสำนักวิญญาณสาขาหลักอีกครั้ง เธอจำจดได้ว่าครั้งล่าสุดที่ได้มานั้นเป็นครั้งที่เธอได้รับการสืบทอดทักษะลับมาจากสำนักวิญญาณ หลังจากตอนนั้นเธอก็ไม่ได้มีโอกาสมาที่นี่อีกเลย

อีกทั้งตอนนี้เธอก็ไม่ได้มาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่านำพาปีศาจต่างถิ่นมาเช่นกัน หากถูกค้นพบโดยยอดฝีมือของสำนักวิญญาณล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาที่ใหญ่ขนาดไหน

คาดการณ์ได้ว่าทั่วทั้งทวีปโลหิตวิญญาณจะต้องสั่นสะเทือน

อีกทั้งตอนนี้เธอก็ได้ร่วมหัวจมท้ายกับเซี่ยปิง ยากที่จะถอนตัวออกจากเสือ  ต่อให้จะต้องการล่าถอยออกไปก็เป็นไปไม่ได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอนั้นถูกจั่วฮาวใส่ร้ายว่าร่วมมือกันปีศาจต่างถิ่น นี่เป็นความผิดที่ร้ายแรงซึ่งทำให้ตระกูลของเธอถูกฆ่าล้างไป ในทวีปโลหิตวิญญาณนั้นไม่มีที่ให้เธอได้อยู่อีกต่อไป ตอนนี้ทำได้เพียงแค่ติดตามเจ้าปีศาจต่างถิ่นนี่มาเท่านั้น

“ที่นี่คือสำนักวิญญาณสาขาหลักหรือ?”

เซี่ยปิงเงยหน้ามองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นว่าตนเองอยู่ในห้องโถงหลัก รอบๆนั้นมีจุดเทเลพอร์ตมากมาย จะมีแสงกระพริบขึ้นมาเป็นครั้งคราว ภาพเงาแต่ละเงาได้ออกมาจากจุดเทเลพอร์ต

คนเหล่านี้ก็คือผู้คนที่ได้เดินทางมาจากส่วนต่างๆของทวีปโลหิตวิญญาณ พวกเขามาถึงที่สำนักวิญญาณสาขาหลักนี้ด้วยเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป

จิตตระหนักรู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้แผ่ออกไป รู้สึกได้ว่าตึกขนาดใหญ่นี้ซ่อนออร่าที่ทรงพลังไว้มากมาย แม้ว่าข่าวของเซนต์โลหิตวิญญาณจะทำให้ยอดฝีมือจำนวนมากเดินทางออกไปนั้น ทว่าสถานที่ศูนย์กลางของทวีปโลหิตวิญญาณแห่งนี้นั้นก็ยังคงมีพลังป้องกันที่อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถคาดฝันได้

ทั่วทั้งตึกขนาดใหญ่นี้มีการติดตั้งค่ายกลระดับสุดยอดอยู่ ส่วนลึกของความว่างเปล่าเหมือนกับเป็นว่ามีออร่าของกฎบางอย่าง เป็นเหมือนกับห่วงโซ่ของกฎ ทำให้ตกลงไปสู่ความว่างเปล่า

หากค่ายกลของสถานที่แห่งนี้เริ่มต้นทำงาน จะสามารถตรวจสอบศัตรูที่อยู่ภายในและจะทำให้ศัตรูนั้นตายไปโดยที่ไร้ซากศพอย่างกะทันหัน

“สำนักวิญญาณสาขาหลักนั้นจะแยกออกเป็นตำหนักมากมาย อย่างเช่นตำหนักสมบัติ ตำหนักวิทยายุทธ ตำหนักสืบทอด ตำหนักกลั่นกรองเม็ดยาและตำหนักอื่นๆ ซึ่งครั้งนี้พวกเราจะต้องเข้าไปที่ตำหนักสืบทอด”

หลิวหยูหลานได้ถ่ายทอดข้อความไปสู่เซี่ยปิงอย่างลับๆ “ตำหนักสืบทอดนั้นมีศิลาจารึกอยู่ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของเซนต์โลหิตวิญญาณ มีทักษะลับระดับสุดยอดมากมายของชนเผ่าวิญญาณ”

“แต่ไม่ว่าจะต้องการครอบครองทักษะลับอะไรมานั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคดวงเพียงเท่านั้น”

“เพราะว่ากันว่าศิลาจารึกนี้นั้นเป็นสมบัติระดับสุดยอด มันมีพลังอำนาจในการตรวจสอบพรสวรรค์ของลูกศิษย์ สามารถที่จะมอบทักษะลับที่เหมาะสมกับผู้สืบทอดได้อย่างอัตโนมัติ”

“โดยปกติแล้วตำหนักสืบทอดนั้นจะไม่ได้เปิดให้เข้าไปในทุกวัน ทว่าทุกๆสามปีจะเปิดขึ้นมาหนึ่งครั้ง ให้เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆของทวีปโลหิตวิญญาณได้เข้าไปรับการสืบทอด ซึ่งวันนี้ก็ไม่ใช่วันที่ตำหนักสืบทอดจะเปิดขึ้นเช่นกัน”

‘’ดังนั้น ตำนักวิญญาณจึงมีการคุ้มกันที่เข้มงวดอย่างมาก การที่ต้องการเข้าไปนั้นไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย”

เธอคิดว่าการที่ต้องการรับสืบทอดทักษะลับของสำนักวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ในตอนนี้ยอดฝีมือส่วนใหญ่ของสำนักวิญญาณจะเดินทางออกไป ทว่าก็ยังคงมีส่วนน้อยที่คุ้มกันที่นี่อยู่

ผู้คุ้มกันเหล่านี้ก็ควบคุมค่ายกลของสำนักวิญญาณอยู่ ซึ่งสามารถที่จะบดขยี้ผู้บุกรุกที่เข้ามาในสำนักวิญญาณสาขาหลักได้ในทันที

“ตำหนักสมบัติ? ข้างในมีสมบัติอะไรอยู่หรือ?”

เซี่ยปิงมีสายตาเป็นประกายทันที

“อย่าแม้แต่จะคิด ตำหนักสมบัตินั้นมีการคุ้มกันที่แน่นหนายิ่งกว่าตำหนักสืบทอดกว่าร้อยเท่า เรียกได้ว่าเป็นกองทัพที่คุ้มกันอยู่ หากมีแม้แต่ใครคนเดียวที่ค้นพบพวกเราล่ะก็ พวกเราจะต้องตายอย่างแน่นอน” หลิวหยูหลานมองไปที่เจ้าโจรบัดซบนี่ด้วยสีหน้าที่ไม่สบอามรณ์ เป็นปีศาจต่างถิ่นจริงๆ เมื่อได้ยินคำว่าสมบัติ ก็มีสายตาที่ส่องแสงเหมือนกับดวงอาทิตย์ทันที

“น่าเสียดายจริงๆ”

เซี่ยปิงรู้สึกเสียดายอย่างมาก ทว่าเทียบกับสมบัติจำนวนมากนั้น ทักษะลับของสำนักวิญญาณนั้นมีความสำคัญกว่ามาก เพราะว่าถึงอย่างไรหากสามารถที่จะครอบครองทักษะพลังวิญญาณที่ทรงอำนาจมาได้ ในอนาคตก็จะสามารถค้นหาสมบัติมาได้อีกมากมาย

ภายในจักรวาลนั้น ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สมบัติเหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งของนอกกายเท่านั้น

เพื่อที่จะได้สมบัติบางอย่างมา ทว่าต้องแลกด้วยการทำลายแผนการในการลักลอบเข้ามาในสำนักวิญญาณครั้งนี้นั้น สิ่งที่ได้รับมานั้นจะไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป

“มากับข้า”

หลิวหยูหลานได้พาเซี่ยปิงออกไปจากจุดเทเลพอร์ตแห่งนี้และลักลอบเข้าไปในสำนักวิญญาณสาขาหลักอย่างเงียบๆ

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทั้งสองก็ได้เดินเปลี่ยนทิศทางอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การนำทางของหลิวหยูหลานนั้น เธอก็ล่วงรู้ถึงเส้นทางที่ถูกต้อง เธอได้นำพาเซี่ยปิงหลีกเลี่ยงผู้คุ้มกันจำนวนนับไม่ถ้วนจนในที่สุดมาถึงที่ราชวังสีดำแห่งหนึ่ง

ทว่าข้างบนราชวังนี้นั้นมีป้ายขนาดใหญ่ที่ติดไว้อยู่ เขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ไว้ว่า:ตำหนักสืบทอด เหมือนกับว่ามีการประทับตราวิญญาณอยู่เช่นกัน ทำให้ผู้คนไม่สามารถที่จะมองเข้าไปตรงๆได้

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นพื้นที่หวงห้าม รอบๆนั้นมีการติดตั้งค่ายกลยับยั้งที่ทรงอำนาจอยู่ ไม่สามารถที่จะเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ทว่าในตอนนี้ทางเข้าของราชวังนั้นเหมือนกับว่าจะไม่มีผู้คุ้มกันอยู่

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงไม่มีใครคุ้มกันสถานที่แห่งนี้?”

หลิวหยูหลานรู้สึกสงสัยอย่างมาก ดวงตาที่งดงามของเธอกระพริบอย่างต่อเนื่อง

“ง่ายมาก ข้างในตำหนักสืบทอดนั้นมียอดฝีมือในระดับกายาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดอยู่5-6คน ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรับการสืบทอดจากศิลาจารึกอยู่” ผ่านระบบการตรวจจับของแมวนักปราชญ์ เซี่ยปิงก็ล่วงรู้ได้อย่างกะทันหันว่าข้างในตำหนักสืบทอดนั้นมียอดฝีมือหลายคนปรากฏตัวอยู่