ตอนที่ 748

Elixir Supplier

748 การพบเจอนั้นง่ายกว่าการบอกลา

 

“เข้ามาก่อนสิ” หวังเย้าพูด “เธอมาคนเดียวเหรอ?”

 

“เปล่าค่ะ ฉันมากับน้าเหลียน แต่เธอแยกตัวไปทำความสะอาดบ้านก่อนแล้วค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ

 

พ่อแม่ของหวังเย้าต่างตื่นเต้นดีใจเมื่อได้เห็นซูเสี่ยวซวี จางซิวหยิงยุ่งอยู่กับการชงชาและล้างผลไม้ เธอถามคำถามซูเสี่ยวซวีไม่หยุด พวกเขาต่างใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข

 

เมื่อถึงเวลาประมาณสามทุ่มกว่า หวังเย้าก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อ แม่ เสี่ยวซวีนั่งเครื่องมาไกลคงจะเหนื่อยมากแล้ว เราให้เธอกลับไปพักก่อนดีไหมครับ? ไว้ค่อยคุยกันใหม่พรุ่งนี้”

 

“ได้จ๊ะ หนูพักผ่อนให้เยอะๆนะจ๊ะ” จางซิวหยิงพูดด้วยความเป็นห่วง “ที่บ้านของหนูร้อนรึเปล่าจ๊ะ?”

 

“ไม่ร้อนเลยค่ะ ครั้งที่แล้ว หนูเอาแอร์มาติดไว้แล้ว” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ดีจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“เสี่ยวเย้า ลูกเดินไปส่งเสี่ยวซวีกลับบ้านด้วยล่ะ” หวังเฟิงฮวาพูด

 

“ครับ” หวังเย้ารับปากอย่างยินดี

 

ค่ำคืนภายในหมู่บ้านเงียบสงัด แม้จะเป็นช่วงหัวค่ำ แต่ก็ไม่มีคนเดินอยู่ตามท้องถนนเลย ชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็เข้านอนกันแล้ว

 

หวังเย้าและซูเสี่ยวซวีเดินเคียงคู่กันไป พวกเขาเพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดมาจากภูเขา

 

“เธอจะอยู่ที่นี่อีกสองสมวันเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมฤดูร้อนแล้วเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“ยังหรอกค่ะ” ซูเสี่ยวซวีตอบ “อีกหลายวันกว่าจะถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อน”

 

เธอต้องเรียนเสริมสำหรับช่วงเวลาที่เธอได้ลาป่วยไป มหาลัยปักกิ่งที่เธอเรียนอยู่นั้นมีการสอนที่เข้มข้น ดังนั้น เธอจึงต้องเข้าเรียนหลายวิชาเพื่อตามคนอื่นๆให้ทัน

 

“ถ้าถึงช่วงปิดเทอมเมื่อไหร่ บอกผมด้วยนะ” หวังเย้าพูด

 

หมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่นัก และบ้านที่ซูเสี่ยวซวีพักอยู่ที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านของหวังเย้าไปเพียงค่ำไม่กี่ซอยเท่านั้น

 

“สวัสดีค่ะ หมอหวัง” ชูเหลียนเดินออกมาด้านนอกหลังจากที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน

 

“สวัสดีครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด

 

“เข้ามานั่งข้างในก่อนสิคะ” ชูเหลียนพูด

 

เพราะมีฝนตกเมื่อไม่กี่วันก่อน อากาศภายในบ้านจึงค่อนข้างชื้น และมีกลิ่นไม่ค่อยดีนัก

 

“ที่นี่ดูเหมือนจะชื้นอยู่สักหน่อยนะครับ” หวังเย้าพูด

 

“ค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็เปิดแอร์เอาไว้แล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเองค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูดด้วยรอยยิ้ม

 

สภาพที่อยู่อาศัยของที่นี่เทียบกับบ้านของซูเสี่ยวซวีที่ปักกิ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่สนใจ เพราะหมู่บ้านแห่งนี้มีบางอย่างที่ปักกิ่งไม่มี และที่สำคัญก็คือ หวังเย้าอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนี้ด้วย

 

“พรุ่งนี้ เรามาแต่งบ้านของเธอกันดีไหม?” หวังเย้าถาม

 

มันเป็นเรื่องที่อยู่ๆหวังเย้าก็คิดขึ้นมาได้ว่า เขาสามารถทำให้สภาพแวดล้อมในบริเวณบ้านของซูเสี่ยวซวีคล้ายกับที่คลินิกของเขาได้ เขาสามารถติดตั้งค่ายกลง่ายๆเพื่อให้อากาศสดชื่นขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ชูเหลียนนั่งเงียบๆอยู่ข้างพวกเขา เธอไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับการสนทนาในครั้งนี้เลย

 

หลังจากที่คุยกับซูเสี่ยวซวีได้ไม่นาน หวังเย้าก็กลับออกมาจากบ้านของเธอ เขาไม่ได้กลับไปที่บ้าน แต่เดินตรงขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเลย

 

อยู่ๆอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปในตอนกลางดึก พายุฝนก่อตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อผ่านช่วงกลางดึกไป สายฝนก็เริ่มเทลงมาอย่างหนัก ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลัน

 

บนเนินเขาหนานชานมีลมพัดแรงกว่าปกติ ใบไม้เสียดสีตามแรงลม

 

“ซานเซียน ฉันจะออกไปดูข้างนอกหน่อยนะ” หวังเย้าพูด

 

เขาลุกขึ้นและเดินออกไปด้านนอกกระท่อม เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเจ้านาย ซานเซียนก็เดินออกมาจากบ้านสุนัขของมัน และเดินตามหวังเย้าไป

 

“นายอยู่ที่ยี่แหละ” หวังเย้าพูด

 

ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำลงมาไม่หยุด สายลมพัดพาไปทั่วบริเวณ แต่ลมฝนกลับหยุดห่างจากหวังเย้าไปครึ่งเมตรไม่ขาดไม่เกิน เขาเดินอยู่ท่ามกลางพายุฝน แต่กลับไม่เปียกเลยสักนิด

 

เขาเพียงแค่กังวลเรื่องต้นไม้ที่เพิ่งปลูกได้ไม่นาน โดยเฉพาะต้นไม้ที่ไม่ได้ปลูกอยู่บนเนินเขาและไม่ได้อยู่ในขอบเขตของค่ายกล เขาเดินขึ้นไปบนเนินเขาตงชานที่มีลมพัดแรงกว่าเนินเขาหนานชาน โชคดีที่ต้นไม้แข็งแรงพอที่จะต้านแรงลมได้ หวังเย้าพยายามทำให้พวกมันยึดอยู่กับพื้นดินให้ได้มากที่สุด ต้นไม้เหล่านี้ไม่ได้มีใบขนาดใหญ่ ดังนั้น ใบไม่จึงหลุดลอยปลิวไปกับสายลมมากนัก

 

ต่อจากนั้น หวังเย้าก็เดินลงไปที่ตีนเขาของเนินเขาหนานชาน มันเป็นจุดที่ถูกเนินเขาโดยรอบปกป้องเอาไว้ ดังนั้น ด้านล่างนี้จึงมีลมพัดอ่อนกว่าจุดอื่น ต้นไม้ตรงจุดนี้ถูกปลูกเอาไว้นานแล้ว พวกมันจึงแข็งแรงกว่า สุดท้าย หวังเย้าได้เดินขึ้นไปดูต้นไม้บนเนินเขาซีชาน แต่ก็ไม่พบปัญหาใหญ่อะไร หลังจากที่วางใจลงแล้ว เขาก็กลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชาน

 

ถึงต้นไม้ที่เขาปลูกจะไม่มีปัญหาอะไร แต่พืชผลที่ชาวบ้านปลูกกลับไม่ใช่ พืชไร่จำนวนมากถูกลมพัดปลิวไปไกล

 

เขาถอนหายใจ เขาไม่มีพลังพอที่จะควบคุมสภาพอากาศได้ การเกษตรล้วนต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เป็นใจ

 

ฝนตกต่อเนื่องไปตลอดทั้งคืน และเริ่มอ่อนแรงลงเมื่อถึงเวลาเช้า

 

หวังเย้าลงมาจากเนินเขาแต่เช้าตรู่ เขาต้องการใช้เวลากับซูเสี่ยวซวี ในช่วงที่เธออยู่ที่นี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สองสามวันต่อจากนี้ เขาจะไม่เปิดทำการคลินิก ดังนั้น เขาจึงแจ้งคนไข้ไว้บนหน้าเวยป๋อของเขา

 

“โอ้โห แม่ทำอาหารไว้เยอะเลยนะเนี้ย” เมื่อกลับไปถึงที่บ้าน เขาก็พบว่าแม่ของเขาทำกับข้าวเอาไว้เต็มไปหมด

 

“เสี่ยวซวีไม่มากินข้าวเช้ากับเราเหรอจ๊ะ?” จางซิวหยิงถาม เธอตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารเช้าให้กับว่าที่ลูกสะใภ้ในอนาคตของเธอ

 

“ไม่ครับ ฝนยังไม่หยุดตกเลย” หวังเย้าพูด

 

“งั้นก็ไม่เป็นไร กินข้าวกันเถอะ” จางซิวหยิงพูด

 

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ หวังเย้าก็มุ่งหน้าไปที่บ้านพักของซูเสี่ยวซวีในทันที

 

“หมอหวัง เราจะแต่งบ้านทั้งๆที่ฝนยังตกอยู่แบบนี้น่ะเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถาม

 

“ถ้าอย่างนั้น เรามาวางแผนกันก่อนก็แล้วกัน” หวังเย้าพูด “เธออยากปลูกต้นไม้อะไรบ้าง?”

 

“ฉันชอบต้นไผ่, กล้วยไม้, ลิลลี่…” ซูเสี่ยวซวีเอ่ยชื่อต้นไม้ที่เธอชอบออกมา

 

“อืม” หวังเย้าเขียนชื่อต้นไม้ทั้งหมดลงไปบนกระดาษ และเริ่มร่างแบบไปด้วย

 

เขาได้ความรู้เรื่องการตกแต่งลานบ้านจากการตกแต่งคลินิกของเขาในครั้งก่อน เขาเขียนแบบที่เหมือนกับในคลินิกและทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เขาคิดจะปลูกต้นไม้ที่ซูเสี่ยวซวีชอบลงไปแทน

 

“ใกล้เสร็จแล้วล่ะ” หวังเย้าพูด

 

เขาเขียนแบบลงไปอย่างง่ายๆ และเขียนคำบรรยายกำกับลงไปด้วย พร้อมกับอธิบายให้ซูเสี่ยวซวีฟัง

 

“มันคือค่ายกลเหรอคะ?” ซูเสี่ยวซวีถามด้วยความสงสัย

 

“ก็ประมาณนั้น” หวังเย้าพูด

 

หลังจากที่ซื้อบ้านหลังนี้มา บริเวณลานบ้านก็มีการปูคอนกรีตเอาไว้แล้ว ดังนั้น คอนกรีตทั้งหมดจะต้องถูกรื้อออกไป เพื่อที่หวังเย้าจะสามารถปลูกต้นไม้และดอกไม้ลงไปได้ มันคงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเสร็จเรียบร้อย

 

“เธอคิดว่ายังไง? เธอชอบแบบนี้ไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ชอบสิคะ” ซูเสี่ยวซวีพูด เธอจะไม่ชอบแบบที่หวังเย้าเขียนเอาไว้ให้ได้ยังไง?

 

“เยี่ยม เธอเอากุญแจประตูบ้านให้ผมไว้ ถ้าว่างเมื่อไหร่ผมจะจัดการทำลานบ้านใหม่ให้” หวังเย้าพูด

 

“ได้ค่ะ” ซูเสี่ยวซวีเอากุญแจบ้านให้หวังเย้าชุดหนึ่ง โดยที่เธอเตรียมไว้ให้เขาก่อนหน้านี้แล้ว “ทีนี้ คุณเล่าเรื่องปราบปีศาจให้ฉันฟังได้รึยังคะ?”

 

“ได้สิ” หวังเย้าพูด

 

ชูเหลียนชงชามาให้พวกเขาหนึ่งกา

 

หวังเย้าเล่าเรื่องการเดินทางไปหงโจวให้ซูเสี่ยวซวีอย่างละเอียด เธอและชูเหลียนต่างถูกดึงดูดด้วยเนื้อเรื่องที่พวกเธอได้ฟัง พวกเธอคิดไม่ถึงว่า จะมีภูตผีปีศาจอยู่บนโลกนี้จริงๆ เรื่องแปลกๆเหล่านี้มักจะมีให้ได้เห็นหรืออ่านจากในหนังกับนิยายมากกว่า เมื่อได้มาฟังเรื่องเล่าจากปากของหวังเย้า มันก็ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง

 

“จริงสิ ผมมีรูปด้วยนะ” หวังเย้าพูด เขาหยิบมือถือขึ้นมาและเปิดรูปให้ซูเสี่ยวซวีกับชูเหลียนดูภาพของปีศาจ “นี่ก็คือปีศาจที่ผมว่า มันอยู่ข้างในสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้คนเข้าไปด้านใน ยังมีการสลักวัชระเอาไว้ที่บานประตูเพื่อขังปีศาจเอาไว้ภายในด้วย”

 

มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่า หวังเย้าได้ประสบพบเจออะไรมาบ้าง โดยที่ตัวเองไม่เคยได้เจอกับตัวเองมาก่อน

 

“งั้นก็แสดงว่า ผีมีจริงน่ะสิ!” ซูเสี่ยวซวียังไงประหลาดใจไม่หาย

 

“ใช่ อย่างน้อยๆผมก็ได้เห็นมาตนหนึ่ง” หวังเย้าพูด

 

ก่อนหน้าที่จะได้ไปเห็นปีศาจร้ายตัวนี้ หวังเย้าก็ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้มาก่อนเช่นเดียวกัน มีสิ่งต่างๆมากมายที่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ และไม่ใช่อยู่เพียงแค่ในเรื่องเล่าเท่านั้น

 

“ไม่มีทาง” อยู่ๆชูเหลียนก็พูดขึ้นมา “พวกมันอันตรายมาก คุณไม่มีทางใช่สามัญสำนึกทั่วไปจัดการได้แน่”

 

คนเราสามารถใช้วิชากังฟูหรืออาวุธในการต่อสู้กับเหล่าร้ายได้ แต่การจะทำให้ภูติผียอมสยบหรือสลายหายไปได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดถึง

 

“หนูก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง อย่าคิดมากเลยนะคะ น้าเหลียน” ซูเสี่ยวซวีพูด “หนูไม่คิดว่า ในชีวิตจริงจะมีภูตผีปีศาจมากมายขนาดนั้น แล้วตลอดทั้งชีวิตของหนูก็อาจจะไม่ได้เจอเลยสักครั้งก็ได้นี่คะ”

 

“น้าก็ได้แต่หวังว่า คุณหนูจะไม่ต้องเจอกับอะไรพวกนี้เลยตลอดทั้งชีวิต” ชูเหลียนพูด

 

ทั้งสามพูดคุยกันไปและดื่มชาไปด้วย ก่อนที่จะทันรู้ตัวก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

 

“ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้ว” หวังเย้าพูด “ไปกินข้าวที่บ้านผมกันไหม? น้าเหลียนไปด้วยกันไหมครับ?”

 

“ไม่ดีกว่าค่ะ ขอบคุณ” ชูเหลียนปฏิเสธคำเชิญทานอาหารที่บ้านหวังเย้าไปสองครั้งแล้ว และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง

 

“ไม่เป็นไรครับ น้าเหลียน” หวังเย้าพูด

 

“ตามสบายเลยนะคะ ฉันจะหาอะไรทานง่ายๆที่บ้านคนเดียว” ชูเหลียนพูด

 

จางชิวหยิงทำอาหารเที่ยงเอาไว้มากยิ่งกว่ามื้อเช้า อาหารมีทั้งหมด 16 จานสำหรับคนทั้งสี่

 

“โอ้โห! คุณป้าทำอาหารเอาไว้เยอะเลยนะคะเนี่ย!” ซูเสี่ยวซวีอุทาน

 

“ไม่ได้เยอะอะไรเลย มานั่งนี่สิจ๊ะ” จางซิวหยิงพูด

 

“อย่างดื่มอะไรหน่อยไหม?” หวังเย้าถาม

 

“อะไรก็ได้ค่ะ ฉันดื่มได้หมด” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“งั้นดื่มน้ำผลไม้ดีไหม?” หวังเย้าถาม

 

“ดีค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

จางซิวหยิงเติมอาหารใส่ในจานซูเสี่ยวซวีไม่หยุด

 

“ขอบคุณนะคะ คุณป้าจาง” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

ด้านนอกยังคงมีฝนตกลงมาไม่ขาดสาย หลังจากจบมื้อเที่ยง ซูเสี่ยวซวีก็เดินออกจากบ้านของหวังเย้าไปพร้อมกับเขาและกางร่มไปด้วยกัน

 

“หมอหวังคะ เสื้อของคุณเปียกหมดแล้ว ขยับร่มไปทางคุณอีกหน่อยสิ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ผมไม่เป็นไร ฝนแค่นี้เอง” หวังเย้าตอบ “จริงสิ ผมคิดอะไรออกแล้ว”

 

เขาพับร่มเก็บและปลดปล่อยพลังฉีออกมาครอบตัวเขาและซูเสี่ยวซวีเอาไว้ ฝนยังคงตกลงมาพร้อมกับลมที่พัดแรง แต่ทั้งลมและฝนกลับถูกปิดกั้นเอาไว้ด้วยพลังฉีของหวังเย้า

 

“นี่มันวิเศษไปเลย!” ซูเสี่ยวซวีประหลาดอย่างที่สุด

 

“ผมก็แค่ปล่อยพลังฉีออกมาเท่านั้น ถ้าเธอฝึกไปเรื่อยๆก็จะทำแบบผมได้เอง” หวังเย้าพูด

 

พวกเขาเดินไปที่คลินิกของหวังเย้า และอยู่คุยกันด้านในนั้นตลอดทั้งบ่าย พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน, อนาคตของพวกเขา, อาชีพ, การใช้ชีวิต, ข่าวสาร, และเรื่องซุบซิบนินทา พวกเขาคุยทุกเรื่องที่คิดได้

 

“ฉันเกือบลืมถามไปเลย คุณแม่อยากให้ฉันถามคุณเรื่องรักษาคนไข้คนหนึ่งน่ะค่ะ” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“ใครเหรอ?” หวังเย้าถาม

 

“เป็นพวกที่ถูกเลี้ยงตามใจจนเสียคนน่ะค่ะ เขามีชื่อว่า โฮ่วชื่อต๋า” ซูเสี่ยวซวีพูด

 

“เขาน่ะเหรอ?!” หวังเย้าประหลาดใจ เขาไม่คิดว่า บ้านของโฮ่วชื่อต๋าจะเข้าไปคุยกับแม่ของซูเสี่ยวซวีในเรื่องนี้ “ เขามันก็แค่สวะ แล้วที่เขาป่วยอยู่ก็เป็นฝีมือผมเอง”

 

“อะไรนะคะ?” ซูเสี่ยวซวีตกตะลึง

 

หวังเย้าเล่าเรื่องที่เขาเจอจากภายในบ้านพักของโฮ่วชื่อต๋าในเมืองเต๋าให้ซูเสี่ยวซวีฟัง