ตอนที่ 360 นัดพบที่ศาลาฉิงเฟิง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 360 นัดพบที่ศาลาฉิงเฟิง

อันหลิงเกอยุ่งอยู่กับเรื่องพวกนี้จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งวัน พริบตาเดียวราตรีกาลก็คืบคลานเข้าปกคลุมทั้งจวนโหวไว้เสียแล้ว

“คุณหนูใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ บุตรของฮูหยินหวัง บุตรของฮูหยินหวังหายตัวไปเจ้าค่ะ ! ”

อันหลิงเกอจัดเก็บยาที่เตรียมเสร็จเรียบร้อยและกำลังเข้านอน พลันได้ยินเสียงตะโกนแสนคุ้นหูดังมาจากด้านนอกเรือน เสียงตะโกนดังจนคนทั้งเรือนตื่นตกใจ

เรื่องของหวังซื่อแต่มิไปแจ้งอันอิงหาว ทว่ามาหาอันหลิงเกอครั้งแล้วครั้งเล่า สาวใช้คนนี้ต้องการสิ่งใดกันแน่ ?

ปี้จูได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแล้วภายในใจก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

นางกำลังจักพุ่งออกไปตำหนิสาวใช้คนนั้น แต่โดนอันหลิงเกอจับมือไว้ก่อน

“ข้าจักออกไปดูเอง”

ในเมื่อรู้ว่าสาวใช้คนนี้มีบางอย่างน่าสงสัย อันหลิงเกอจึงอยากรู้ว่าอีกฝ่ายได้รับคำสั่งจากผู้ใด แล้วเหตุใดต้องดึงนางเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของหวังซื่อด้วย ?

เมื่อนางเดินออกมาจากเรือนก็พบสาวใช้คนที่มาเมื่อเช้าเข้าจริง ๆ อีกฝ่ายยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าร้อนรน ปากก็ตะโกนเสียงดังเข้าไปถึงด้านใน

เมื่อเห็นอันหลิงเกอเดินออกมาแล้วสาวใช้คนนั้นก็รีบเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว “คุณหนูใหญ่ ในที่สุดท่านก็ออกมาเสียที บ่าวกังวลจักแย่อยู่แล้ว ฮูหยินหวังให้บ่าวมาตามท่านไปพบเจ้าค่ะ”

นางพูดออกมาโดยไร้กาลเทศะ อยู่ต่อหน้าเจ้านายเยี่ยงอันหลิงเกอแต่มิมีความเคารพแม้แต่น้อย

อันหลิงเกอขมวดคิ้วมุ่นพลางมองสาวใช้เสแสร้งต่อหน้าโดยมิได้กล่าวอันใดออกมา

สาวใช้พูดอยู่พักใหญ่ว่าหวังซื่อเสียใจและตกใจมากเพียงใด รวมทั้งต้องการคนปลอบโยนมากที่สุด

อันหลิงเกอหาได้มีอารมณ์ร่วมแต่อย่างใด โดยมิรออีกฝ่ายพูดจบก็ถามเสียงเรียบว่า “อาสะใภ้รองให้เจ้ามาเรียกข้าอย่างนั้นหรือ ? ”

ร่างของสาวใช้คนนั้นแข็งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นจึงกลับเป็นปกติ “คุณหนูใหญ่ฉลาดเช่นนี้คงเดาบางอย่างได้แล้วกระมัง ถูกต้อง บ่าวมิใช่คนที่ฮูหยินหวังส่งมาแต่คุณหนูใหญ่ลองฟังสิ่งที่บ่าวจักกล่าวสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายกวาดตามองไปรอบ ๆ ครู่หนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สมควรได้รู้ นางจึงส่งสายตาให้อันหลิงเกอสั่งคนอื่นถอยออกไป

อันหลิงเกอเมื่อเห็นว่านางมีแผนอื่นซ่อนอยู่จริงก็เข้าใจในทันทีและอยากรู้ด้วยว่านางมีกลอุบายอันใดกันแน่ เหตุใดจึงต้องการให้สาวใช้และบ่าวที่อยู่รอบ ๆ ถอยออกไป

“คุณหนูใหญ่ ความจริงแล้วคุณหนูสามเป็นคนสั่งให้บ่าวมาหาท่านในเวลานี้เจ้าค่ะ” สาวใช้กระซิบพลางขยับเข้ามาข้างกายของอันหลิงเกอ “ที่วันนี้ฮูหยินหวังเกิดเรื่องก็เป็นแผนการของคุณหนูสามเช่นกัน ท่านก็เห็นความสามารถของคุณหนูสามแล้วว่านางอยากให้ฮูหยินหวังเกิดเรื่องก็แค่ชี้นิ้วสั่งเท่านั้น นางรู้ว่าท่านกำลังสืบเรื่องอันใดอยู่ อย่างเช่น…เรื่องของฮูหยินใหญ่อันในอดีตเจ้าค่ะ”

สาวใช้ชะงักไปครู่หนึ่ง นางพูดตามที่อันหลิงอีสั่งพร้อมประเมินสีหน้าของอันหลิงเกอไปด้วย

เมื่อเห็นอันหลิงเกอยังมีสีหน้าเรียบเฉย มิเห็นความผิดปกติใด นางจึงเอ่ยอย่างผิดหวัง “คุณหนูสามบอกว่ารู้ความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและในมือยังมีหลักฐานอีกด้วย หากท่านอยากสืบเรื่องในตอนนั้น มิสู้ไปหานางจักดีกว่าเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอได้ยินสิ่งที่สาวใช้กล่าว ภายในใจจึงรู้สึกคล้ายเกิดลมพายุโหมกระหน่ำ

อันหลิงอีรู้ได้อย่างไรว่านางกำลังสืบเรื่องของมารดาอยู่ ทว่าจากคำพูดของสาวใช้เมื่อสักครู่ก็แสดงให้เห็นว่าอันหลิงอียอมรับเรื่องการตายของฮูหยินใหญ่อันมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ มิหนำซ้ำคำว่า ‘หลักฐาน’ ที่กล่าวอ้างก็ชัดว่าท่านแม่มิได้ป่วยตายแต่ต้องมีคนลอบทำร้ายจนตาย!

แม้อันหลิงเกอมิแสดงสีหน้าใดออกมา แต่ภายในใจก็มิได้สงบเอาเสียเลย

แต่การที่อันหลิงอีสั่งให้สาวใช้ทำเช่นนี้ อาจแค่ต้องการบอกนางว่าอันหลิงอีสามารถจัดการทุกคนได้ง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือ ให้นางเชื่อฟังและอย่าขัดขืน แค่ทำตามคำสั่งของอันหลิงอีอย่างนั้นหรือ ?

มิเหมือนนิสัยของอันหลิงอีแม้แต่น้อย !

ภายในใจของอันหลิงเกอเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย ทว่าสาวใช้รู้สึกร้อนรนขึ้นมาแทน

“คุณหนูสามบอกว่าพรุ่งนี้เช้าจักไปรอท่านที่ศาลาฉิงเฟิงนอกเมืองจิง มีเพียงโอกาสนี้เท่านั้นที่ท่านจักได้รู้ความจริง ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจักรักษาโอกาสนี้ไว้หรือไม่เจ้าค่ะ”

โชคดีที่ปี้จูมิอยู่ตรงนี้ด้วย มิเช่นนั้นนางคงได้พ่นคำด่าใส่อันหลิงอีว่าเป็นบุตรอนุภรรยา นอกจากมิสงบเสงี่ยมอยู่ในที่ของตนแล้วยังคอยยั่วโทสะบุตรภรรยาเอก พูดจาแสดงความยโสโอหัง ทั่วทั้งต้าโจวคงไร้บุตรอนุคนใดที่โอหังเช่นนี้อีกแล้ว

ทั้งอันหลิงอียังถูกส่งไปที่เรือนจวงจื่อนอกเมืองจึงมิรู้ไปเอาความกล้าเช่นนี้มาจากที่ใด

หากปี้จูทราบเรื่องที่อันหลิงอีฆ่าตัวตายก็เกรงว่าจักหัวเราะเยาะพร้อมกล่าวว่าคนชั่วช้าเยี่ยงนี้ต้องอายุยืนเป็นพันปีเสียมากกว่า

ดวงตาดำขลับของอันหลิงเกอมองไปยังสาวใช้คนนั้น นัยน์ตาคล้ายสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่งจนทำให้สาวใช้อดเกรงกลัวถึงขั้นก้าวถอยหลังมิได้ “คุณ คุณหนูใหญ่ เหตุใดมองบ่าวเช่นนี้เจ้าคะ ? บ่าวแค่มาถ่ายทอดถ้อยคำของคุณหนูสามเท่านั้น บ่าวมิกล้าแอบอ้างหรอกเจ้าค่ะ”

“มิกล้าแอบอ้างก็ดี” อันหลิงเกอยกมุมปากขึ้น ใบหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็มิยิ้ม “ข้าเห็นเจ้าเอ่ยออกมาได้อย่างไหลลื่นจนคิดว่าเป็นถ้อยคำที่เจ้าอยากพูดกับข้าเองเสียอีก ข้ายังคิดอยู่ว่าในจวนมีสาวใช้สามหาวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร คงต้องบอกท่านย่าให้ทราบแล้วช่วยสั่งสอนสาวใช้เสียหน่อย ที่แท้ก็เป็นข้าคิดมากไปเอง”

น้ำเสียงของอันหลิงเกออ่อนโยนนุ่มนวล แต่สาวใช้รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าก็มิปาน

ที่อันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ก็แค่จักบอกว่ามิเห็นอันหลิงอีอยู่ในสายตา ทั้งยังลบหลู่เจ้านายของสาวใช้อีกด้วย

สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็ตกใจเพราะเพิ่งตระหนักได้ว่าต่อให้คนที่อยู่เบื้องหลังคืออันหลิงอีทั้งยังมีหลี่กุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน อย่างไรนางก็ยังเป็นสาวใช้ของจวนโหว หากอันหลิงเกออยากกำจัดนางก็แค่กล่าวออกมาคำเดียวเท่านั้น

นางทานดีหมีหัวใจเสือเข้าไปหรืออย่างไรจึงคิดว่าอันหลิงเกอจักโชคร้ายโดนอันหลิงอีเหยียบย่ำเข้าจริง นางจึงกล้าวางมาดต่อหน้าอันหลิงเกอเช่นนี้ ?

“คุณหนูใหญ่ บ่าวจักกล้าเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร คำเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำของคุณหนูสามและบ่าวแค่มาส่งข่าวเท่านั้นเจ้าค่ะ”

นางเอ่ยออกมามิตรงกับใจ ต่อให้ภายในใจอยากเห็นอันหลิงเกอถูกอันหลิงอีเหยียบย่ำมากเพียงใด ทว่าปากก็ยังเอ่ยออกมาอย่างนอบน้อม

อันหลิงเกอหาได้ใส่ใจสาวใช้ตัวเล็ก ๆ เช่นนี้ไม่ เพราะศัตรูที่แท้จริงของนางคือหลี่อี๋เหนียง อันหลิงอีรวมถึงหลี่กุ้ยเฟยและจวนตระกูลหลี่ที่อยู่เบื้องหลังสองคนแม่ลูก สาวใช้คนนี้เป็นเพียงดาบเล่มหนึ่งในมือของอันหลิงอีเท่านั้น แค่อาศัยบารมีเจ้านายมาอวดเก่งต่อหน้าจึงไร้ค่าพอให้ใส่ใจ

“อาสะใภ้รองมิได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่ ? ”

อยู่ ๆ อันหลิงเกอก็เปลี่ยนเรื่อง สาวใช้ยังตามมิทันจนผ่านไปชั่วครู่จึงตอบกลับ “ใช่เจ้าค่ะ มิมีอันใดเกิดขึ้นกับฮูหยินหวัง อีกครู่ก็จักได้พบคุณชายน้อยแล้วเจ้าค่ะ”

ตอนที่กล่าวประโยคนี้ สีหน้าของสาวใช้ยังแฝงไว้ด้วยความอวดดีราวกับบอกอันหลิงเกอเป็นนัยว่า ‘ดูสิ คุณหนูสามของข้าร้ายกาจมากเพียงใด นางสามารถขโมยเด็กไปจากฮูหยินหวังได้ก็สามารถส่งเด็กคืนโดยง่ายเช่นกัน’