ตอนที่ 361 ตรวจสอบ
อันหลิงเกอรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังมากขึ้นทุกที อันหลิงอีที่มีนิสัยมุทะลุแต่หลังจากถูกส่งไปอยู่ที่หมู่บ้านชนบทอันห่างไกล อยู่ดี ๆ ก็เกิดคิดฆ่าตัวตายขึ้นมา พอฟื้นคืนสติก็ส่งคนมาลักพาตัวนาง มิหนำซ้ำตอนนี้ยังลงมือกับหวังซื่อและใช้เรื่องในตอนนั้นหลอกล่อนางออกนอกจวน การกระทำต่าง ๆ ล้วนผิดวิสัยไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง
แต่มิว่าอย่างไร โอกาสที่จักสืบความจริงก็อยู่ตรงหน้าแล้วนางมิมีทางพลาดโอกาสนี้เด็ดขาด !
“เจ้ากลับไปบอกอันหลิงอีว่าข้าจักไปพบที่ศาลาฉิงเฟิงแน่นอน”
นางจักสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นแล้วล้างแค้นให้มารดา !
*สองบุปผาผลิบาน ต้องพิจารณาความงามทีละดอก
หลังจากที่มู่จวินฮานกลับถึงจวนอ๋องมู่ เขามิได้เตรียมตัวเพื่อไปม่อเป่ยแต่ส่งสัญญาณไปยังบริเวณห้องที่มืดมิดเพื่อเรียกคนกลุ่มหนึ่งออกมา
“เรื่องที่ให้พวกเจ้าไปสืบได้ความถึงไหนแล้ว ? ”
อีกมิกี่วันเขาต้องไปม่อเป่ย ทว่าในเมืองหลวงยังมีสายลับของแคว้นชิงเยว่ซ่อนตัวอยู่ หากมิถอนรากถอนโคนสายลับพวกนี้ให้หมดสิ้น เขาคิดว่าเมืองหลวงต้องเกิดเรื่องขึ้นสักวัน
องครักษ์เงาที่ถูกมู่จวินฮานเรียกมา รับรู้ได้ถึงความดุดันที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของอีกฝ่ายจึงอดสั่นสะท้านมิได้ พวกเขาจึงรีบคุกเข่าลง “เรียนซื่อจื่อ ครั้งนี้พวกเราได้เบาะแสมาเล็กน้อย เพียงแต่คนเหล่านั้นไหวตัวทันจึงจับตัวยังมิได้ขอรับ”
เดิมทีมู่จวินฮานรู้ว่าพวกเขาคงไร้ความคืบหน้าอันใดมากนัก แต่ข่าวนี้ก็ถือว่าดีกว่ามิได้อันใดเลย เขาวางถ้วยชาในมือลงพร้อมเอ่ยออกมาด้วยเสียงเย็นเยือก “พาข้าไปจุดที่พวกเจ้าพบพวกสายลับ”
สายลับแฝงตัวอยู่ในเมืองจิงและต้องมีแผนการบางอย่าง หากเขาไปตรวจสอบจุดที่พวกมันไปเป็นประจำ มิแน่อาจพบอันใดบ้างก็ได้
ยามนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เมฆหนาลอยทั่วนภาปกคลุมแสงดาว แม้แต่แสงจันทร์ก็ยังถูกบดบังจนไร้แสงใดสาดส่องยังพื้นดิน
เป็นเวลาที่ผู้คนกำลังหลับใหล แสงโคมไฟมากมายมลายหายไปจนสิ้นมีเพียงเสียงสุนัขจากหมู่บ้านที่ห่างไกลซึ่งนานครั้งจักเห่าหอนขึ้นมา
มู่จวินฮานเดินตามคนของตนด้วยท่าทางตื่นตัวอย่างมาก ร่างแข็งแกร่งเดินไปตามถนนในยามราตรีราวกับผีสาง เขาเข้าไปใกล้อาคารสูงที่งดงามตระการตาหลังหนึ่ง
เหล่าองครักษ์เงาที่นำทางอยู่ก็รู้สึกเป็นกังวลมาก พวกเขาติดตามซื่อจื่อมาตั้งแต่ท่านเป็นเด็ก ย่อมรู้ดีว่าซื่อจื่อมิได้ไร้ฝีมือดังเช่นที่เห็นภายนอกแต่ก็มิเคยจริงจังเช่นนี้มาก่อน
เหล่าองครักษ์กังวลใจทว่ามิมีใครกล้าคาดเดาความคิดของมู่จวินฮาน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่นำทางเจ้านายไปยังแหล่งอโคจร
นัยน์ตาของมู่จวินฮานเย็นเยือก องครักษ์เงาจึงรีบอธิบายทันที “เรียนนายท่าน ครั้งก่อนพวกเราพบสายลับที่นี่ขอรับ”
ต่อให้มิอยากมาสถานที่เช่นนี้ แต่เพื่อจับสายลับของแคว้นชิงเยว่ก็ต้องทำ
มู่จวินฮานยังอดขยะแขยงขึ้นมามิได้ เขามิสนใจกลิ่นฉุนตรงปลายจมูกและยังก้าวต่อเพื่อเข้าไปด้านใน
“ไอหยา คุณชายท่านนี้เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหมเจ้าคะ ช่างรูปงามเสียจริง”
มู่จวินฮานที่เพิ่งเดินเข้าไปก็มีแม่เล้าที่แต่งตัวยั่วยวนคนหนึ่งเดินบิดเอวเข้าหาเขาทันที ผิวขาวนวลอวบอูมทั้งสองเต้าปิดไว้เกือบมิมิด มันแทบพุ่งเข้าใส่ร่างของมู่จวินฮาน
ริมฝีปากของมู่จวินฮานเม้มเป็นเส้นตรง สายตาที่มองแม่เล้าคนนั้นแฝงไว้ด้วยความเย็นชาที่ทำให้คนรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจ
บางทีอาจเพราะกลิ่นอายรอบกายของมู่จวินฮานเย็นเยียบ แม่เล้าที่ใบหน้าผัดแป้งเอาไว้จนหนาถึงขั้นตัวสั่นสะท้านและค่อย ๆ ก้าวถอยหลังไป
นางรู้สึกทำหน้ามิถูก รอยยิ้มบนใบหน้าจึงหุบลง มือที่ถือพัดก็คอยพัดอยู่อย่างนั้น “มิทราบว่าเหตุใดท่านจึงมาที่หอชุนเฟิงของเราหรือเจ้าคะ ? ”
นางมองมู่จวินฮานอย่างประเมินครู่หนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเขามิเหมือนคนมาหาความสุขเลยสักนิด ภายในใจก็เริ่มรู้สึกมิพอใจขึ้นมา
มาถึงหอนางโลมแต่มิหาความสุข ทั้งยังทำท่าราวกับมาหาเรื่อง ช่างแปลกคนเสียจริง !
แม่เล้ามีสีหน้ามิพอใจ มู่จวินฮานก็มิได้กล่าวสิ่งใดออกมาจนองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังทนมิไหวจึงก้าวเข้ามาเอ่ยใกล้ ๆ นางว่า “สองวันมานี้มีคนแปลกหน้ามาหาความสุขที่นี่หรือไม่ ? มาครั้งหนึ่งก็อยู่ทีละหลายวันรวมทั้งมีพฤติกรรมแตกต่างจากแขกทั่วไป”
แม่เล้าได้ยินว่ามาสืบข่าว สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดทันที แขกแปลกหน้าที่มีท่าทางประหลาดก็พวกเขาทั้งสี่ห้าคนนี้มิใช่หรือ ?
นางเบะปาก แม้แต่สายตาก็ยังมิเหลือบแล “หากพวกเจ้าจักมาสืบข่าวก็เกรงว่ามาผิดที่แล้ว เพราะที่นี่เป็นแหล่งให้ความสุขสำราญแก่เหล่าบุรุษ มิใช่แหล่งข่าว ! ”
องครักษ์เงาหยิบทองคำก้อนหนึ่งออกมาแล้วโยนให้ แม่เล้าเห็นเช่นนั้นจึงลนลานรีบเก็บขึ้นมาประเมินน้ำหนักทันที จากนั้นจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “หลายวันก่อนมีชายไว้หนวดเคราสองสามคนมาจากทางตะวันตกโดยบอกว่าจักมาทำการค้าที่เมืองหลวง แต่พวกเขามิได้พกข้าวของติดตัวมาเลยจึงมิรู้ว่ามาค้าขายอันใด ตอนนี้ก็ยังดื่มสุราอยู่กับสาว ๆ ในห้องนั้นเจ้าค่ะ มิทราบว่านายท่านต้องการหาใครหรือ ? บางทีข้าอาจให้เบาะแสแก่ท่านได้ ! ”
ภายในใจของแม่เล้าเต็มไปด้วยความสุขเพราะเห็นคนเหล่านี้แต่งตัวมิธรรมดา เวลาใช้จ่ายก็ใจกว้างมิเบา
คนมีเงินล้วนเป็นนายท่านทั้งนั้น แค่บอกข่าวให้สักเรื่องสองเรื่องก็ได้เงินมากกว่าพวกสาว ๆ ต้องอยู่เป็นเพื่อนดื่มกินเสียอีก
นางนำพวกเขาไปหาเหล่าชายมีหนวดที่กล่าวถึง แต่พบว่าพวกนั้นเป็นพ่อค้าธรรมดามิมีอันใดน่าสงสัย
องครักษ์เงามีสีหน้าเข้มขึ้นทันทีพร้อมตะโกนใส่แม่เล้าด้วยความโมโห “ท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องมู่ สืบพบว่าคนร้ายของราชสำนักมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ หากมีคนกล้าขัดขวางการสืบสวนก็จักโดนลงโทษด้วยข้อหาช่วยคนร้ายปกปิดที่ซ่อน ! ”
คำพูดขององครักษ์เงาทำให้แม่เล้าถึงขั้นตกใจ ใบหน้าซีดขาวและมิกล้าวางท่าใส่มู่จวินฮานอีก จากนั้นนางก็รีบยิ้มประจบทันที “ที่แท้ก็มู่ซื่อจื่อนี่เอง ข้าน้อยมีตาหามีแววจึงจดจำมู่ซื่อจื่อมิได้ แต่ตัวข้าเพียงเปิดหอนางโลมเท่านั้น จักเกี่ยวข้องกับคนร้ายของราชสำนักได้อย่างไรเจ้าคะ ? ”
องครักษ์หน้าตึงพร้อมกล่าวออกมาด้วยเสียงน่าเกรงขาม “เช่นนั้นเจ้าจงพูดความจริงว่าช่วงนี้มีคนท่าทางแปลกประหลาดเข้าออกที่นี่บ้างหรือไม่ ? ”
แม่เล้าที่ต้องการทำความดีไถ่โทษจึงขมวดคิ้วมุ่นพยายามนึกย้อนไป ผ่านไปชั่วครู่ก็คล้ายกับว่านางนึกอันใดบางอย่างออกจึงรีบเอ่ยออกมา “ข้าน้อยมิทราบว่าซื่อจื่อกำลังหาผู้ใดอยู่ แต่มิกี่วันก่อนหน้านี้เห็นคนแปลก ๆ กลุ่มหนึ่งมักมาที่นี่ทุกวันแต่มิได้แตะต้องพวกสาว ๆ เลย มีแค่มิกี่คนที่เลือกไปบรรเลงเพลงเท่านั้น พวกเขาจักนั่งฟังอยู่ครึ่งค่อนวัน ทั้งยังมาติด ๆ กันหลายวัน หากมิใช่เพราะที่นี่เปิดประตูรับแขกเสมอ ข้าน้อยคงไล่พวกเขาไปนานแล้ว เพราะดูก็รู้ว่ามิใช่คนดี…”
กล่าวถึงตรงนี้มู่จวินฮานก็เหลือบมองแม่เล้าปราดหนึ่ง ทำให้รอยยิ้มของนางแข็งค้างทันที
นางเปิดหอนางโลมแต่กล้ากล่าวหาลูกค้าว่าเป็นคนมิดี กล้าตำหนิผู้อื่นทั้งที่ตนเองก็มีความผิด
แต่คนเยี่ยงแม่เล้าใช้ชีวิตอยู่ในแหล่งอโคจรเช่นนี้มาครึ่งค่อนชีวิต หน้าของนางคงหนาจนฟันแทงมิเข้าเสียแล้วจึงยิ้มได้เหมือนมิรู้สึกอันใด “หากมู่ซื่อจื่อต้องการตรวจสอบคนพวกนั้น ข้าน้อยจักพาท่านไปเองเจ้าค่ะ”
มู่จวินฮานพยักหน้าพลางโบกมือให้แม่เล้าพาพวกตนไปหาคนเหล่านั้นทันที
…
*สองบุปผาผลิบาน ต้องพิจารณาความงามทีละดอก หมายความว่า เมื่อเรื่องราวดำเนินไปสองทิศทางก็ต้องแจกแจงไปทีละเรื่อง