ตอนที่ 362 ยั่วยุอันหลิงเกอ
เรื่องที่มู่จวินฮานไปหอนางโลมนั้นอันหลิงเกอมิได้รู้เรื่องแต่อย่างใด
เวลานี้นางมาถึงศาลาฉิงเฟิงที่อยู่นอกเมืองโดยมาเพียงคนเดียว แม้แต่ปี้จูก็มิได้พามาด้วย
“เจ้ารู้ว่าตอนนั้นท่านแม่ของข้าตายอย่างไรหรือ ? ”
อันหลิงเกอมาถึงด้านในศาลาฉิงเฟิง เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่ก็อดขมวดคิ้วขึ้นมามิได้
ชาติก่อนนางรู้เรื่องที่มารดาถูกคนลอบสังหารจากปากของอันหลิงอี
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนี้อีกสองปี ส่วนอันหลิงอีในตอนนี้รู้ความจริงหรือเพียงใช้มาเป็นข้ออ้างให้นางออกนอกจวน อันหลิงเกอก็มิมั่นใจเช่นกัน
“ในใจของพี่หญิงใหญ่ก็มีคำตอบอยู่แล้วมิใช่หรือ ? ”
อันหลิงอีลุกขึ้นจากเก้าอี้หิน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่แตกต่างจากเดิม นางค่อยๆ เดินมาหาอันหลิงเกอ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมแววตาเย็นชา “เอ่ยตามตรงคือหลังจากที่ข้าทราบว่าพี่หญิงใหญ่แอบสืบความจริงเรื่องการตายของฮูหยินใหญ่อัน ข้าก็คิดนัดท่านออกมาพบเช่นนี้ เพียงแต่ยังไร้โอกาสเท่านั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? ”
คิ้วของอันหลิงเกอขมวดมุ่นขึ้น นางรู้สึกว่าอันหลิงอีที่อยู่ตรงหน้าช่างแปลกไปเหลือเกิน
หรือว่า…
“พี่หญิงใหญ่ยังมิเข้าใจอีกหรือ ? ”
อันหลิงอีหัวเราะคิกคักออกมา ปิ่นระย้าที่ปักอยู่บนมวยผมส่ายไปมาอย่างมีความสุขตามจังหวะหัวเราะของนาง เสียงกังวานที่ดังขึ้นยิ่งทำให้นางดูแปลกประหลาดกว่าเดิม ทั้งที่ตอนนี้ท้องฟ้ากำลังปลอดโปร่ง แต่ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาได้
อันหลิงอีกล่าวไปพลางใช้พัดมาปิดบังใบหน้าไว้ เหลือให้เห็นเพียงดวงตาที่โค้งราวกับพระจันทร์เสี้ยว “ต้องขอบคุณที่พี่หญิงใหญ่ให้ท่านพ่อส่งข้าออกนอกจวน ข้าจึงสามมารถนัดท่านออกมาที่นี่ได้”
“เจ้าคิดจักทำอันใด ? ”
เมื่อเห็นว่าอันหลิงอีพูดแต่เรื่องไร้สาระและมิยอมกล่าวเรื่องในตอนนั้นเสียที อันหลิงเกอก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา
เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฮูหยินใหญ่อันก็ดูเหมือนความอดทนของนางจักน้อยลงกว่าปกติ
ทว่าพอตั้งสติได้แล้วอันหลิงเกอจึงยกมือทั้งสองข้างกอดอกและมีท่าทีสงบนิ่งดังเดิม ใบหน้าที่ยิ้มออกมาเล็กน้อยมองไปยังอันหลิงอี จากนั้นก็มองไปรอบๆ เมื่อเห็นอันหลิงอีพาสาวใช้มาแค่คนเดียวก็อดหัวเราะออกมามิได้ “เหตุใดเจ้าจึงคิดหาวิธีหลอกล่อข้ามาที่นี่ ต้องการสังหารข้าอย่างนั้นหรือ ? ”
“พี่หญิงใหญ่คิดมากไปแล้ว ข้ามิได้คิดทำร้ายท่านเลย”
อันหลิงอีและสาวใช้ด้านหลังยิ้มออกมาแล้วมองอันหลิงเกออย่างเย้ยหยัน “พี่หญิงใหญ่อยากรู้ความจริงมิใช่หรือ ข้าจักบอกให้ก็ได้…”
คำที่เอ่ยออกมาของอันหลิงอีราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะของอันหลิงเกอจนสติหลุดลอยไปชั่วขณะ แต่อันหลิงอีมิเปิดโอกาสให้นางได้ตอบโต้เพราะพูดต่อทันที “ท่านคิดว่าตอนนั้นฮูหยินใหญ่อันป่วยตายจริงหรือ ? ใครที่คิดเช่นนั้นก็คงโง่เกินเยียวยาแล้ว แต่พี่หญิงใหญ่เป็นคนฉลาดจึงสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว ทั้งได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ ข้านับถือท่านจริง ๆ ”
“ตอนนั้นภายในสำนักหมอหลวงมีคนของท่านแม่อยู่ ทั้งตอนนั้นท่านน้าก็กำลังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท การที่ท่านแม่จักแอบทำบางอย่างในสำนักหมอหลวงจึงเป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย”
“แต่เมื่อกล่าวถึงแล้วก็ต้องขอบคุณยาที่หมอหลวงคนนั้นจัดให้ เช่นนั้นจักทำให้ท่านแม่ของพี่หญิงใหญ่อาการทรุดหนักจนตายเร็วขึ้นได้อย่างไร ? นางเป็นฮูหยินใหญ่แล้วอย่างไร สุดท้ายก็แพ้ให้ท่านแม่ของข้าอยู่ดี ! ฐานะของนาง ตำแหน่งและสมบัติทุกอย่างที่เป็นของนางสุดท้ายก็ตกอยู่ในมือท่านแม่ทั้งสิ้น ! ”
ถ้อยคำร้ายกาจมากมายดังก้องอยู่ในหูของอันหลิงเกอประโยคแล้วประโยคเล่าจนมิมีช่องว่างให้นางได้โต้ตอบ จนสุดท้ายสมองของนางก็ขาวโพลนไปหมด !
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังโดนยั่วยุมิมากพอ อันหลิงอีจึงโค้งริมฝีปากขึ้น ภายในดวงตากลมโตทอประกายชั่วร้ายออกมาและเริ่มอธิบายอย่างละเอียดว่าตอนนั้นฮูหยินใหญ่อันโดนยาพิษทรมานอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็ไร้ยารักษาและตายไปอย่างน่าอนาถ
“เพราะเหตุใด…”
แววตาของอันหลิงเกอคล้ายมีหมอกหนาปกคลุม คล้ายมีอสูรร้ายซุกซ่อนตัวอยู่ภายใน พริบตาเดียวก็สามารถกลืนกินผู้คนเข้าไปในนั้นได้ก็มิปาน
นางจ้องมองอันหลิงอีอย่างมิอยากเชื่อ บัดนี้เมื่อได้ฟังความทรมานที่ฮูหยินใหญ่อันได้รับก่อนสิ้นใจก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างตะกุกตะกัก
“เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดพวกเจ้าต้องทำเช่นนี้ ! ”
อันหลิงเกอจ้องอันหลิงอีพร้อมขอบตาแดงก่ำ นางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเฉียบคมกว่าปกติ “ท่านแม่เป็นคนมีเมตตา นางมิเคยมีความแค้นต่อพวกเจ้า เหตุใดพวกเจ้าต้องสังหารนาง ทั้งยังทรมานจนตายด้วย ? ”
“หากจักโทษก็ต้องโทษที่นางมาขวางทางท่านแม่ของข้า ! ”
“แม่ของเจ้าเป็นแค่สาวชาวบ้านแต่กล้ายั่วยวนท่านพ่อจนทำให้มิสนใจคำเย้ยหยันของผู้คนในเมืองหลวงและยืนกรานแต่งนางเข้ามาเป็นฮูหยิน ส่วนท่านแม่ของข้าแม้มิได้มีฐานะสูงส่งแต่ก็ถือเป็นบุตรสาวขุนนาง ท่านพ่อตั้งใจแต่งเข้ามาในจวนแต่มิยอมหย่าขาดกับแม่ของเจ้า เท่ากับต้องการให้ท่านแม่คอยก้มหัวให้แม่เจ้าไปตลอดชีวิต”
“ท่านแม่จักยอมให้สาวชาวบ้านมากดหัวได้อย่างไร ตอนแรกท่านแม่มิได้คิดสังหารนางหรอก เพียงแต่ไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อให้หย่ากับนาง แต่มิว่าอย่างไรท่านพ่อก็มิยอม ท่านแม่จึงต้องลงมือกำจัดนางเพื่อยกฐานะของตนขึ้นมาแทนที่”
มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวของอันหลิงเกอสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธแค้น เมื่อเห็นท่าทางมิรู้สึกรู้สาของอันหลิงอีก็ยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บในใจ ร่างทั้งร่างเหมือนถูกแช่แข็งแม้แต่มือและเท้าก็เย็นไปหมด
ส่วนอันหลิงอีได้เห็นท่าทางเคียดแค้นของอันหลิงเกอก็อดรู้สึกสาสมใจมิได้
วันนี้นางมาพูดเรื่องพวกนี้ก็เพราะตั้งใจยั่วยุอันหลิงเกอ !
ผู้ใดใช้ให้อันหลิงเกอตัวดีมายึดตำแหน่งบุตรีภรรยาเอกเอาไว้ แม้แต่การหมั้นหมายกับมู่ซื่อจื่อก็โดนแย่งไปด้วย
แม้การหมั้นหมายครั้งนี้จักถูกยกเลิกไปแล้ว แต่นางบังเอิญเห็นจดหมายที่มู่ซื่อจื่อเขียนถึงอันหลิงเกอจึงพบว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมิได้ตัดขาดเหมือนที่แสดงออกมา ถึงขั้นแอบคบหากันลับหลังนานแล้วด้วยซ้ำ !
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้อันหลิงอีก็รู้สึกปวดใจ นางเฝ้าฝันว่าอยากแต่งงานกับมู่ซื่อจื่อ แต่อันหลิงเกอใช้มารยายั่วยวนมู่ซื่อจื่ออย่างไร้ยางอาย อีกทั้งมู่ซื่อจื่อยังอุตส่าห์เขียนจดหมายหาคนชั่วช้าแม้ตัวอยู่ม่อเป่ย !
ความริษยาในดวงตาของอันหลิงอีลุกโชน นางทนต่อความเกลียดชังที่สุมในอกมิไหว ทันใดนั้นนางก็เงื้อมือขึ้นสูงและเตรียมฟาดลงใบหน้าของอันหลิงเกอ “เจ้าอย่าคิดว่าการแสร้งทำตัวเป็นคนโง่จนมีชีวิตรอดได้จนปานนี้ข้าจักยอมอยู่เฉย ตอนนี้แม้เจ้ามิได้ลำบากเหมือนก่อน แต่ก็หาได้มีอำนาจอันใด ต่อให้ฝ่าบาททรงเห็นค่าเจ้า ทว่าตัวเจ้าก็เป็นแค่หมอหญิงไร้อำนาจเท่านั้น ข้ากับท่านแม่อยากสังหารเจ้าเมื่อไรก็สามารถทำได้ง่ายราวกับฆ่ามดปลวก ! ”
นิสัยเยี่ยงอันหลิงเกอจักยืนเฉยให้ตบอย่างนั้นหรือ ?
นางจ้องมือที่เงื้อขึ้นสูงของอันหลิงอีและก่อนที่ฝ่ามือนั้นจักกระทบใบหน้าของตน นางก็ยกมือขึ้นจับข้อมือของอันหลิงอีเอาไว้ ดวงตาสีนิลเต็มไปด้วยความเย็นชา
“แล้วการที่เจ้าบอกความจริงข้าในวันนี้เพื่อสิ่งใด ? ”