บทที่ 152 ระวังจะเป็นขันทีคนต่อไป

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 152 ระวังจะเป็นขันทีคนต่อไป
มีคนประเภทหนึ่ง หากพวกเขาไม่สามารถได้ดี พวกเขาก็จะไม่อยากเห็นคนอื่นได้ดีเช่นกัน
เมื่อก้าวเข้าไปในสวนป๋าสังเกตฉ่าว ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนจากเฟิ่งชิงเฉินไปที่หวังจิ่นหลิง และทุกคนล้อมหวังจิ่นหลิงเอาไว้ แต่เมื่อคุณหนูเวินเเงยหน้าขึ้น นางเห็นเฟิ่งชิงเฉินและหวังชีกำลังซุบซิบกัน สีหน้าของนางแย่ลงทันที
ตามขั้นตอนของงานกวีแล้ว ตอนนี้ทุกคนควรไปที่หอฮุ่ยเหวิน ไปชิมเหล้าอภิปรายบทกวี เพลิดเพลินตามต้องการ และเลือกผู้ชนะในวันนี้ แต่ในขณะที่ทุกคนกัลงจะก้าวเข้าไปในหอฮุ่ยเหวิน คุณหนูเวินกลับพูดด้วยความหวังร้ายว่า “วันนี้เฟิ่งชิงเฉินมาสาย ตามกฎของงานกวี นางจะต้องถูกลงโทษ เมื่อสักครู้ทุกคนก็บอกแล้วว่า ลงโทษโดยการดื่มและแต่งบทกวีมิใช่หรือ?”
เพราะคำพูดของนาง ฝูงชนหยุดลงอีกครั้ง หลายคนที่ชอบสร้างเรื่องปัญหาก็ตะโกนว่า “ใช่แล้ว จะต้องลงโทษ งานกวีจัดขึ้นมาอยู่หลายครั้ง ไม่เคยมีใครมาสายเลยสักครั้ง ลงโทษโดยการแต่งบทกวี ให้นางแต่งสดเลย”
เมื่อเห็นทุกคนให้ความสนใจอย่างมาก คุณหนูเวินอมยิ้มเล็กน้อย และกล่าวต่อหวังจิ่นหลิงว่า ” คุณชายใหญ่ ทุกคนต่างก็บอกให้ลงโทษ เจ้าคิดว่า…….”
“มาสาย ก็ควรถูกลงโทษ เพื่อที่นางจะได้จำ” หวังจิ่นหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขามีความสนิทสนมและโปรดปรานเล็กน้อย ทุกคนสังเกตเห็น หลายคนที่หาเรื่องเมื่อสักครู่นี้ต่างก็กังวลอย่างมาก และแอบถอยหลังไปอย่างเงียบๆ
พวกเขาไม่กล้าทำให้คุณชายใหญ่โกรธเคือง
คุณหนูเวินกัดริมฝีปาก พยายามระงับความขมขื่นในใจของตนเอาไว้ “ในเมื่อคุณชายใหญ่เอ่ยปากแล้ว คุณหนูเฟิ่ง เจ้าปฏิเสธมิได้แล้วล่ะ”
วันนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่เสียหน้า พวกนางไม่ยอม
“คุณหนูเฟิ่ง…” มีคนเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
“นางอยู่ที่ใด? เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่ใด? อย่าบอกนะว่ากลัวจนหนีไปแล้ว”
พูดจบแล้วก็หัวเราะออกมา…
พวกเขาต่างก็พูดจาหยอกล้อนาง ราวกับว่าการเห็นเฟิ่งชิงเฉินเสียหน้านั้น เป็นเรื่องที่สนุกอย่างมาก
เฟิ่งชิงเฉิน และหวังชีอยู่หลังฝูงชน และพวกเขาไม่ได้สังเกตว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองกำลังพูดคุยกันเรื่องสร้างบ้านไม้ใหม่
ครั้งสุดท้ายที่บ้านไม้สร้างขึ้น หวังชีเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองที่เกิดจากทำงานผิดพลาด เฟิ่งชิงเฉินจึงเข้าไปถาม จนคนรอบข้างสังเกตเห็น และผลักท้องสองออกไป
“นี่ เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่”
ทุกคนต่างก็รู้งาน และหลีกทางให้เฟิ่งชิงเฉินเดินขึ้นมา
เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วและชำเลืองมองหวังชี มีคนมาหาเรื่องข้าเอง อย่าหาว่าข้าทำมากเกินไปแล้วกัน
หวังชีตอบกลับนางด้วยแววตาว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเป็นตัวปัญหาจริงๆ ถ้าเจ้าทำลายงานกวีของพี่ข้า ข้าจะทุบบ้านไม้เจ้าทิ้งซะ”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มแต่ไม่พูดอะไร และเดินไปที่ใจกลางฝูงชน กระโปรงของนางโบยบินไปตามทุกฝีก้าวของนาง ผมของนางปลิวไสวไปมา ทำให้อดไม่ได้ที่อยากจะยื่นมือออกไปคว้ามันเอาไว้
ผมดำเงาและเสื้อสีแดงสะดุดตา เต็มไปด้วยความโรแมนติกและความป่าเถื่อนที่บรรยายไม่ถูก เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์
คุณชายหลายคนมองเฟิ่งชิงเฉินจนยืนเหม่อลอย นานกว่าจะดึงสติตัวเองกลับคืนมา
คนข้างๆ เห็นสถานการณ์นี้จึงดึงเขากลับมาทันที และเตือนอย่างเงียบ ๆ ว่า ” เจ้าอยากตายหรืออย่างไร? เจ้าลืมเรื่องหน้าประตูเมืองหลวงไปแล้วหรือ เจ้าอยากเป็นเหมือนคุณชายเหยียนหรืออย่างไร?”
คุณชายเหยียน บุตรชายของอดีตหัวหน้าเมืองจักรพรรดิ เขาหยอกล้อเฟิ่งชิงเฉิน แต่ถูกเฟิ่งชิงเฉินเตะเข้าจุดสำคัญและตอนนี้เป็นเหมือนขันที
“เฟิ่งชิงเฉิน วันนี้เจ้ามาสาย” คุณหนูเวินยืนบนบันไดและมองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ราวกับเป็นราชาผู้สูงส่ง
“แล้วยังไงต่อ?” เฟิ่งชิงเฉินถามอย่างไม่พอใจ รอยยิ้มบนใบหน้าของนางทำให้คุณหนูเวินรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่ายืนอยู่ที่สูง แล้วจะน่าเกรงขามหรอกนะ
เช่นเสด็จอาเก้า
แม้ว่าจะยืนอยู่บนหลังคา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้า เจ้าก็ยังคงรู้สึกว่าตนนั้นต่ำต้อยเรี่ยดิน
“จากนั้น ก็ต้องถูกลงโทษยังไงล่ะ” คุณหนูเวินกล่าวอย่างใจเย็น รู้สึกราวกับว่าตนกำลังเดินตามเฟิ่งชิงเฉิน
“ลงโทษรึ? ลงโทษอย่างไร” เฟิ่งชิงเฉินตอบอย่างใจเด็ด
นางแค่อยากจะจบปัญหานี้ให้ไวที่สุด จากนั้นก็หาสถานที่นั่งคุยกับฮูหยินตระกูลเซี่ย วันนี้พวกเขาเชิญนางมา จะต้องมีเรื่องกระไรอย่างแน่นอน
แน่นอน เหตุผลหลักก็คือวันนี้ตัวเอกของงานกวีคือหวังจิ่นหลิง นางไม่อยากจะเป็นจุดสนใจมากกว่าหวังจิ่นหลิง
“ลงโทษโดยการแต่งบทกวี เขียนบทกวี และดื่มสุรา กวีนิพนธ์จะไม่สวยงามหากปราศจากสุรา”
งานกวี ว่ากันว่างานกวี
หากไม่มีกวีคงไม่สนุกสินะ
เฟิ่งชิงเฉินมองดูเหล่าคุณชายที่ฟุ่มเฟือยของตระกูลชั้นผู้ดี ไม่รู้ด้วยเหตุใดนางนึกถึงคนที่ล้มหัวฟาดพื้นและเกือบเสียชีวิตเพราะไม่มีเงินรักษา
เมื่อนึกถึงเหล่าเจ้าหน้าที่ในยุคปัจจุบัน อาหารมื้อเดียวราคาหลักหมื่นหลักแสน แต่เด็กๆ บนเขากลับได้สวมเสื้อคลุมเพียงตัวเดียวในฤดูที่หนาวเหน็บ นึกถึงภาพที่เด็กๆ หนาวจนตัวสั่น
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดว่าตนเป็นคนจิตใจดี แต่คราวนี้นางรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา เมื่อเงยหน้าเห็นท้องฟ้าสีคราม เฟิ่งชิงเฉินบอกกับตัวเองว่าอย่าคิดมาก สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกระไรกับตนเลย …….
แต่การกระทำของนางในสายตาของทุกคน คือการแสดงออกเพราะนางแต่งกวีออกมาไม่ได้ และพยายามจะหนี
แน่นอนคุณหนูเวินไม่มีทางปล่อยเฟิ่งชิงเฉินไปแน่ นางพูดอย่างได้ใจว่า ” ทำไมรึ? คุณหนูเฟิ่งแต่งบทกวีมิได้หรือ? คิดแล้วก็ไม่แปลก บทกวีที่ใช้ในการเข้าสวนป๋ายฉ่าว สามารถหาคนเขียนให้ล่วงหน้าได้ แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้”
การเตรียมบทกวีสำหรับเข้าสวนล่วงหน้าหรือขอให้ใครเขียนให้นั้น กลายเป็นวัฒนธรรมที่ใครก็ทำกัน ทุกคนรู้บทกวีที่ใช้ก่อนเข้ามาในสวน แต่พวกเขาจะไม่พูดออกมาโดยตรง
ทุกคนเหลือบมองคุณหนูเวินและเงียบลง เพื่อกลัวว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
หวังจิ่นหลิงยิ้มและส่ายหัว แต่ไม่ได้พูดกระไร
หวังชีถามเขาด้วยเสียงเบาว่า เหตุใดจึงไม่ช่วยนาง
หวังจิ่นหลิงกลับกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างมากว่า เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการความช่วยเหลือ สิ่งที่ข้าต้องทำในวันนี้คือการช่วยนางเผยแพร่ชื่อเสียงดีงามนี้ ให้นางได้ดียิ่งขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะพูดคุยกับเหล่าผู้คนตระกูลชั้นดีที่ไม่รู้ความทุกข์ของคนอื่น แต่ว่าสภาพแวดล้อมที่นางอยู่และอาชีพของนาง ทำให้นางต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้
แน่นอนว่านางมิได้เป็นคนโลภ แต่มีแค่คนเหล่านี้เท่านั้น ที่นางสามารถเอาเงินพวกเขามาจำนวนมาก
แม้ว่าระดับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์จะไม่สามารถกำหนดความแข็งแกร่งของคนเราได้ แต่การยืนอยู่ที่สูง ทำให้คุณหนูเวินดูแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากให้นางสมปรารถนา นางจึงเดินขึ้นบันไดไป ตรงเข้าไปหาคุณหนูเวิน
“เจ้าจะทำกระไร?” คุณหนูเวินตกใจกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของเฟิ่งชิงเฉิน นางเร่งคุมสติและกล่าวว่า
“เขียนบทกวีไงล่ะ คุณหนูเวินจะลงโทษข้ามิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเดินไปข้างหน้าคุณหนูเวินแล้วหยุด จากนั้นก็เดินขึ้นไปต่อ
“เซี่ยฮูหยิน คุณหนูเวินยืนยันที่จะลงโทษชิงเฉินด้วยการให้แต่งบทกวี ชิงเฉินมิกล้าขัดคำสั่ง” หากนางไม่เขียนออกมา บทกวีเกี่ยวกับโบตั๋นที่นางกล่าวเมื่อสักครู่นั้น จะกลายเป็นบทกวีที่คนอื่นแต่งให้
เรื่องเหล่านี้นางไม่สนใจก็ย่อมได้ แต่……..
หวังจิ่นหลิงลงมือเขียนบทกวีนั้นด้วยตนเอง ถึงเวลานั้นแล้วไม่เพียงแต่เฟิ่งชิงเฉินจะเสียชื่อเสียง หวังจิ่นหลิงก็จะเสียชื่อด้วยเช่นกัน…………
สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ชื่อเสียงไม่สำคัญ แต่สำหรับหวังจิ่นหลิงแล้ว นั่นคือพื้นฐานในการที่เขาจะสร้างตระกูลผู้ดี
นางทำลายชื่อเสียงของหวังจิ่นหลิงมิได้…