บทที่ 153 เรื่องซุบซิบของราชวงศ์

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 153 เรื่องซุบซิบของราชวงศ์
แน่นอนว่าเซี่ยฮูเหยินเข้าใจ บทกวีที่ลงโทษนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแต่ต้องแต่ง แต่ต้องแต่งออกมาให้ดีด้วย มิเช่นนั้น จะเสียหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลหวังอย่างมาก และจะเสียหน้างานกวีนี้ด้วยเช่นกัน
หากว่าเสด็จอาเก้าส่งเฟิ่งชิงเฉินมาที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินเองที่ต้องการเป็นจุดสนใจ แต่หลังจากนั้นนางถูกบีบบังคับ ถูกผู้คนบังคับให้เป็นจุดสนใจ
ผู้คนมากกว่าครึ่งคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่ขี้ขลาดไม่เอาไหน พวกเขาอยากเห็นนางเสียหน้า แต่ไม่คาดคิดว่าผู้หญิงขี้ขลาดคนนี้ จะเปลี่ยนความคิดที่คนอื่นมีต่อตนได้สำเร็จซ้ำแล้วซ้ำอีก
กวีบทที่แล้วค่อนข้างดี แต่ยังไม่เยี่ยมจนเป็นจุดเด่นเท่าไหร่นัก แต่หากเทียบกับทุกคนแล้ว ถือว่ายอดเยี่ยม ฟังก็ทราบว่าตั้งใจอย่างมาก ส่วนตอนนี้นั้น
เซี่ยฮูหยินสงสัยเช่นกันว่า เฟิ่งชิงเฉินได้เตรียมบทกวีอันที่สองไว้หรือไม่ แล้วบทกวีอันที่สองนี้จะเป็นอย่างไร?
“คุณหนูเฟิ่ง”
ในหอฮุ่ยเหวินนั้น ต่างก็เตรียมพู่กันและกระดาษเอาไว้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก้าวเข้าไปภายใต้การจ้องมองของทุกคน
เฟิ่งชิงเฉินกวาดตาและมองไปที่หวังจิ่นหลิง ” คุณชายใหญ่ ข้าจะมีเกียติให้คุณชายช่วยข้าเขียนอีกสักบทกลอนหรือไม่?”
เริ่มเอง และเชิญ สองครั้งนี้ถือว่าหักล้างกันแล้ว
“ข้านั่นอยากรับเกียรตินี้อย่างมาก เพียงแต่มิกล้าเอ่ยปาก” หวังจิ่นหลิงเดินขึ้นบันไดอย่างสง่างาม ท่าทีช้าสง่างามอย่างมาก
“ชิงเฉิน เชิญ…” หวังจิ่นหลิงหยิบพู่กันขึ้นมาและจุ่มลงในหมึก หมึกเกาเต็มพู่กันแต่ไม่หยดลงมา
มีเพียงเขาทั้งสองในหอฮุ่ยเหวิน หญิงสาวนั้นดูสูงส่งและงานดั่งโบตั๋น ส่วนชายหนุ่มนั้นก็หล่อเหลาและสง่าผ่าเผยดั่งไผ่สน ทันใดนั้นในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเยาว์วัย ทำให้ผู้คนไม่กล้ามองพวกเขา
คุณหนูเวินรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ตนอยากจะแกล้งนางแต่กลับเป็นการสร้างโอกาสซะงั้น เหมือนว่าตนนั้นช่วยเฟิ่งชิงเฉินอีกแรง?
หลายครั้งที่นางพยายามจะเอ่ยปากพูด แต่ก็เข้าไม่สามารถแทรกเข้าไปได้ ดูเหมือนว่าทั้งสองกำลังอยู่ในโลกของตน และไม่เหลือที่ว่างให้คนที่สาม
สวนป๋ายฉ๋าว วันนี้พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเพียงตัวประกอบ แต่หากเป็นเช่นนี้เพื่อคุณชายใหญ่พวกเขาเต็มใจ แต่หากเป็นตัวประกอบของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาไม่ยอม
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นางกดขี่อีกฝ่ายด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม นางเดินในห้องไปมาอย่างช้าๆ ผู้คนไม่เร่งนาง ต่างก็จ้องมองเสื้อผ้าที่ปลิดปลิวไปมาของนาง
ในเวลานี้ พวกเขาพบว่าชายเสื้อของเฟิ่งชิงเฉินนั้นฝังด้วยพลอย เป็นพลอยรูปหยดน้ำ ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินก้าวเดินภายใต้แสงแดดหยดน้ำนี้ดูเหมือนจะหยดลงมาจากเสื้อของนาง
ก่อนหน้านี้ เหล่าหญิงสาวเห็นเฟิ่งชิงเฉินแต่งกายเรียบง่าย ต่างก็คิดว่าคงเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินยากจน แต่ตอนนี้
พวกนางอิจฉายิ่งกว่าเดิม
ผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้งจะอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร นางมีสิทธิ์กระไรมาเหยียบบนหัวของเรา
หญิงสาวหลายคนเดินเข้าหาคุณหนูเวินอย่างเงียบๆ เพื่อสร้างพันธมิตร
การเกลียดชังใครสักคนนั้น มิจำเป็นต้องมีเหตุผล!
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าบรรยากาศได้ที่แล้ว นางพยักหน้าต่อหวังจิ่นหลิง ส่งสัญญาณว่าตนพร้อมแล้ว
หวังจิ่นหลิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขาเป็นประกาย
เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการเป็นจุดสนใจไปมากกว่าเขา แต่นางกลับไม่ทราบว่าเขาชอบที่จะเห็นเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกายเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงและพูดทีละคำว่า
“พลังมโหฬารสร้างรัฐที่เรืองรุ่ง
ผู้เป็นใหญ่นิ่งเงียบน่าเศร้าหมอง
เจ้าสวรรค์โปรดเร้าระดมจิต
ส่งผู้ปรีชาสู่ภูวดลพ้นกรอบใด”
เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวจบ หวังจิ่นหลิงเขียนเสร็จพอดี บรรยากาศนิ่งเงียบอย่างมาก ทุกคนไม่อยากเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถแต่งกลอนได้จริง ส่วนหวังจิ่นหลิงนั้นมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าครุ่นคิดและกล่าวในใจเงียบๆ ว่า
“เจ้าสวรรค์โปรดเร้าระดมจิต ส่งผู้ปรีชาสู่ภูวดลพ้นกรอบใด ชิงเฉินเจ้ามีโลกอยู่ในใจกว้างใหญ่เพียงใดกันนะ วิสัยทัศน์ของเจ้านั้นก้าวไกลยิ่ง อย่าว่าแต่หญิงสาวเลย แม้แต่ชายหนุ่มก็มิอาจเทียบได้ ราชวงศ์ตงหลิงสร้างอาณาจักรมาร้อยปี ผู้ที่ปกครองบ้านเมืองนั้นยังคงเป็นคนในเชื้อพระวงศ์ เหล่าผู้คนที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ เว้นแต่จะเป็นลูกหลานของตระกูลผู้ดีเท่านั้น มีคนมากมายที่เห็นปัญหานี้ แต่………ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวออกมา”
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกเขินอายใด ๆ หวังจิ่นหลิงได้สติและหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆๆๆ ……”
“เอาสุรามา”
หวังจิ่นหลิงกางกระดาษออกอีกครั้ง เขาจุ่มพู่กันเข้าหมึกเต็มๆ ยกสุราและดื่มทั้งหมด จากนั้นยกพู่กันและเขียนอย่างภาคภูมิใจ
“นอกเสาข้างสะพาน ดอกเหมยผลิบานเดียวดาย มืดค่ำลมแรงฝนหนัก
ดอกเหมยเศร้าใจแต่มิอาจแย่งชิงผู้ใด เพิกเฉยความริษยาของเหล่าบุปผา
แม้นร่วงโรยเป็นธรา แต่ยังคงหอมหวนเหมือนเคย”
“เพิกเฉยความริษยาของเหล่าบุปผา ชิงเฉิน นี่ต่างหากที่เป็นเจ้า เจ้านั่นเอง” หวังจิ่นหลิงท่องบทกวีออกมาดังก้อง หยิ่งทะนงและโอหังอย่างมาก
ตั้งแต่สมัยโบราณมีเรื่องราวของหญิงมากความสามารถอยู่มากมาย มีเหล่ายอดฝีมือมากมาย ที่แต่งบทกวีแก่หญิงงาน เพื่อรอยยิ้มของพวกนาง หวังจิ่นหลิงมิใช่คนแรก และมิใช่คนสุดท้าย แต่ทว่าหญิงสาวดั่งเฟิ่งชิงเฉินนั้น เป็นคนแรก
“ดี เป็นบทความที่ดียิ่งนัก แต่วันนี้เป็นงานกวี เราจะสนทนาแต่บทกวีเท่านั้น”
“ใช่ ใช่ ลงโทษ ต้องลงโทษ วันนี้จัดงานกวี พูดแต่เรื่องกวีไม่เกี่ยวบทความ คุณชายใหญ่ทำผิดกฎ ต้องลงโทษ” โลกนี้มีหญิงโง่เขลาที่สร้างโอกาสให้คนอื่นอย่างคุณหนูเวินอยู่บ้าง และแน่นอนว่าคนที่ชาญฉลาดก็มีอยู่มากยิ่งกว่า
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ทุกคนก็รีบเข้าไปที่หอฮุ่ยเวิน ต่างก็เร่งเข้าไปหาหวังจิ่นหลิง แต่เพิกเฉยต่อเฟิ่งชิงเฉิน
คุณหนูเวินมิเข้าใจ แต่เหล่าคุณชายนั้นทราบ ความอัปยศที่หนักที่สุด มิใช่การกดขี่ข่มเหง แต่เป็นการเพิกเฉย
ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่อย่าได้ให้ความสนใจแก่นาง
เฉกเช่นนางสนมแสนสวยที่อยู่ในจวน ไม่ว่าจะมีเสน่ห์และงามมากเพียงใด แต่นางก็เป็นได้แค่ของเล่น แต่หากว่าจริงจังขึ้นมา เช่นนั้นเราเองก็จะต่ำต้อยไปด้วย
ฝูงชนพุ่งเข้ามา ผลักเฟิ่งชิงเฉินออกนอกวงไป
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มโดยไม่พูดอะไร นางขยับตัวเบา ๆ เพื่อหลีกทางให้ทุกคน
“ชิงเฉิน อย่าไปสนใจเลย” หวังชีตบไหล่เฟิ่งชิงเฉินและปลอบโยน
คนเหล่านี้ทำเกินไปมาก ก่อนหน้านี้ต่างก็เชิดชูเฟิ่งชิงเฉิน แต่หลังจากนั้นก็เพิกเฉยนางในทันที
เพราะเฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ถือสา หากแต่เป็นคนธรรมดาคงทนรับมิไหว
“เจ้าคิดมากไป พวกเขาไม่จับจ้องข้า ข้าดีใจนัก ไปเถิด……ไปเดินรอบสวนป๋ายฉ่าวกับข้า” เฟิ่งชิงเฉินไม่แยแส
หากคนพวกนี้เอาใจเชิดชูนางเสียจริง นางคงจะรู้สึกผิดอย่างมาก
นางไม่ขอมีชื่อเสียงเรียงนาม แต่ขอเพียงเอาตัวรอด
“ได้เลย ข้าขอบอกไว้ก่อน ในสวนป๋ายฉ่าวนี้มีสถานที่น่าไปอยู่มาก ไม่เพียงแต่จะสามารถชมดอกไม้ ฟังเสียงบรรเลงดนตรี เล่นหมากรุก เขียนพู่กัน อีกทั้งยังมีสถานที่ฝึกขนบประเพณี ดนตรีและเต้นรำ การยิงธนู การขับรถม้า การเขียน และคณิตศาสตร์ เฟิ่งชิงเฉินเจ้าขี่ม้าเก่ง เราไปแข่งกันสักรอบดีหรือไม่?”
หวังชีเตรียมพร้อมและอยากจะขี่ม้าในทันที
“แข่งม้ารึ? ไม่ดีกว่า สถานการณ์ของตระกูลซุนเป็นอย่างไรบ้าง?” เฟิ่งชิงเฉินและหวังชีเดินถึงข้างนอกอย่างรวดเร็ว
หอฮุ่ยเหวินนั้นมีชีวิตชีวามาก แต่ทั้งสองคนมิอยากเข้าไปร่วมสนุกด้วย
ท้ายที่สุด เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นที่ยอมรับ หากว่าไปก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นเกลียดชัง
“มิต้องกังวล มีแม่ทักอวี่เหวินอยู่ จวนกั๋วกงไม่กล้าที่จะทำกระไรหรอก เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่า ดูเหมือนแม่ทัพอวี่เหวินจะประสบปัญหาเล็กน้อย ช่วงนี้ท่านยุ่งอย่างมาก” หวังชีกล่าวเตือนด้วยความหวังดี
ตอนนี้ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเฟิ่งชิงเฉินคืออวี่เหวินหยวนฮั่ว หากว่าอวี่เหวินหยวนฮั่วล้มลง เฟิ่งชิงเฉินต้องเร่งหาที่พึ่งใหม่ ไม่เพียงแต่เพื่อตัวนางเอง แต่เพื่อตระกูลซุนด้วยเช่นกัน