บทที่ 398 ไม่ดี

บทที่ 398 ไม่ดี

ครืน…

กระสุนปืนใหญ่สีม่วงที่ลากหางลูกไฟยาวจากปากกระบอกปืนใหญ่เข้าปะทะกับกลุ่มของอันเดดนับหมื่นของทัพแห่งความมืดอย่างจัง แรงระเบิดทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน ควบคู่ไปกับเสียงระเบิดที่ดังก้องจนหูอื้อ

ดอกเห็ดสีม่วงก่อตัวขึ้นสูงไปในอากาศเหนือทัพแห่งความมืดที่โดนโจมตีไป จากนั้นคลื่นสั่นสะเทือนก็แผ่วงกว้างออกปัดเป่าร่างของอันเดดมากมายจากตรงกลางให้กระเด็นไปไกล!

“โชคไม่ดีเลยที่พวกบอสระดับสูงไม่ตายตามกันไปด้วย!”

สกายที่มองสถานการณ์อยู่บนป้อมปราการพูดขึ้นด้วยความเสียดาย ความรุนแรงของระเบิดและคลื่นสั่นสะเทือนกระจายตัวไปทั่วบริเวณ สิ่งแรกที่เห็นจากกลุ่มควันที่จางลงก็คือหลุมขนาดใหญ่บนพื้นดิน จากการคาดการณ์ น่าจะมีทหารโครงกระดูกอย่างน้อยก็หลักหมื่นตนที่ตายจากการโจมตีครั้งนี้ แต่โชคร้ายที่ไม่มีบอสระดับสูงตนไหนตายลงเลย อันที่จริงก็ไม่น่าใช่เรื่องประหลาดใจอยู่แล้ว เพราะพวกเขารู้ตั้งแต่แรกว่าบอสพวกนี้ไม่ใช่ระดับทั่วไป พวกมันฉลาดมาก อีกทั้งวิถียิงของปืนใหญ่ผลักอสูรเองก็ชัดเจนและเชื่องช้า หากพวกมันเห็นวิถีกระสุนก่อน ด้วยความเร็วที่พวกมันมี ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเดินหลบจุดปะทะรุนแรง

ถึงแม้ว่าเกือบจะทุกคนในเขตฮัวเซียนั้นจะรู้อยู่แล้วว่าภายในเมืองแห่งความโศกเศร้านั้นมีปืนใหญ่ผลึกอสูรติดตั้งอยู่ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้ว่าประสิทธิภาพและความรุนแรงของมันมีมากมายขนาดไหน

และในวันนี้ ชินห่าวเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เพิ่งรู้และได้เห็นถึงความรุนแรงนี้ ตาของเขาลุกวาวไปด้วยความสะพรึงและอิจฉาไปชั่วขณะ แต่เจ้าตัวไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาทำได้เพียงหลบซ่อนตัวไปในมุมหนึ่งและแอบคุยกับใครบางคนผ่านโทรศัพท์ ขณะที่มองดูเมืองสลับกับสถานการณ์ภายนอก สีหน้าของชินห่าวก็ดูจะชั่วร้ายขึ้นมาเล็กน้อย

“บอกสมาชิกทุกคน! กลุ่มที่หนึ่ง สอง แล้วก็กลุ่มที่เจ็ดของนักบวชจะปลีกตัวไปสนับสนุน NPC ระดับสูงจากวิหารแห่งแสง!”

เสียงตะโกนของสกายดังในช่องแชตกิลด์ หลังจากที่อาร์คบิชอปแยกตัวกลับไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ก่อนมันก็ทำให้ที่เมืองแห่งความโศกเศร้านี้เหลือบอสระดับสูงเพียงสี่คนเท่านั้น ไม่เพียงแค่จำนวนมันห่างชั้นเกินกว่าคำว่าเพียงพอ ระดับยังห่างชั้นกันมาก ๆ เลยด้วย เพราะตอนนี้ทางฝั่งทัพแห่งความมืดยังมีบอสระดับตำนานอยู่อีกตนหนึ่ง!

แค่บอสเทพเจ้าหกตัวก็ถือว่าตึงมือจนยากที่จะรับมือได้แล้ว มันดันยังมีบอสระดับตำนานที่อยู่แนวหลังอีกตนหนึ่งอีก แน่นอนว่าทั้งกัปตันโบลตันและ NPC คนอื่น ๆ เองก็ไม่สามารถรับมือมันได้เกินห้านาทีแน่นอน พวกเรากำลังจะตายกันหมด!

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่เหล่านักบวชทำได้ก็มีแต่คอยสนับสนุนกัปตันโบลตันและ NPC ตนอื่นให้มีพลังชีวิตเหลืออยู่ตลอดรวมถึงคอยจ่ายบัฟและดีบัฟตามโอกาสไปเรื่อย ๆ ด้วย ภายใต้ความห่างชั้นกันขนาดนี้ การโต้กลับถือเป็นคำพูดฟุ่มเฟือยขึ้นมาทันที ขอเพียงแค่ยื้อเวลาออกไปได้ก็พอ

“รับทราบ”

หัวหน้ากลุ่มนักบวชของวอร์สปิริตฮอลล์อย่างจืออี้ตอบรับ เธอหันหน้าไปทางอื่นหลังจากบ่นพึมพำเบา ๆ กระนั้นก่อนจะจากไปก็แอบเหลือบมองหลิวเฉียงเหว่ยนิดหน่อยด้วย

“หัวหน้าหน่วยโจมตีระยะไกลฟังคำสั่งฉัน! กำจัดมอนสเตอร์แต่ละตัวด้วยการโจมตีแบบระบุเป้าหมาย! ห้ามใช้สกิลหมู่เพราะมันอาจจะโดนบอสด้วย! พยายามอย่าล่อความสนใจบอสมายังเมืองแห่งความโศกเศร้า!”

“แนวหน้า! เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนขบวนทัพตลอดเวลา! ถ้าบอสเลิกเพ่งเป้าหมายมาที่พวกนายแล้ว ให้พวกนายทำให้บอสเล็งเป้ากลับมาหาพวกนายอีกครั้ง! พยายามล่อหลอกและดึงบอสออกจากเมืองแห่งความโศกเศร้าให้ได้”

สกายถ่ายทอดคำสั่งไปยังแต่ละหน่วยด้วยตนเอง ซึ่งเหล่าผู้เล่นระดับสูงของวอร์สปิริตฮอลล์ก็รับคำสั่งนั้นอย่างแข็งขันด้วย

มิดซัมเมอร์กิลด์นั้นจำเป็นต้องประจำการอยู่ภายในเมือง เพราะงั้นหลิวเฉียงเหว่ยจึงมอบความไว้วางใจกับเรื่องนอกเมืองให้กับวอร์สปิริตฮอลล์เป็นผู้รับผิดชอบเอง

ถึงแม้สกายจะรู้ว่า การไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่นอกเมืองนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร นั่นเพราะสำหรับวอร์สปิริตฮอลล์แล้ว เมืองแห่งความโศกเศร้ามอบอะไรหลายอย่างให้พวกเขาจริง ๆ และเขาก็มองว่านี่คือเวลาแห่งการตอบแทนแล้ว

นอกจากนี้ สกายยังรู้ถึงความสำคัญของเมืองแห่งความโศกเศร้าด้วย ไม่เพียงเพื่อกิลด์มิดซัมเมอร์ แต่ยังเพื่อเจ้าของเมืองที่แท้จริงอย่าง เจ้าแห่งฮีลเลอร์ คนคนนี้ได้ช่วยเหลือวอร์สปิริตฮอลล์ไว้มากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นแต่ก่อน หรือแม้แต่จะเป็นอนาคตหลังจากที่เขากลับมา สกายเชื่อว่าเขาจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าแห่งฮีลเลอร์อีกแน่ ๆ

ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไร การกระทำครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีและไม่ขาดทุน ยังไงเสียพวกเขาก็มีสัมพันธไมตรีอันดีงามต่อกันอยู่แล้ว

สกายคือหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์อยู่ที่ไหน จืออี้ได้บอกเขามาก่อนหน้าแล้ว จากนั้นก็ได้รับการยืนยันจากหลิวเฉียงเหว่ยอีกทีหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้ว่าเจ้าแห่งฮีลเลอร์ได้กลับเข้ามาในโลกของเกมแล้ว และยังเชื่ออีกว่า เขาจะต้องกลับมาพร้อมกับความยิ่งใหญ่แน่ ๆ!

“ไอ้พวกหมารับใช้แห่งแสง! พวกเจ้ากล้ามาขวางทางความมืดของพวกข้าอีกแล้วงั้นเหรอ! ถ้างั้นก็จงตายภายใต้ความมืดอันเงียบสงบนี้เสียเถิด!”

บนสมรภูมิหน้าเมืองแห่งความโศกเศร้า กัปตันโบลตันและคนอื่น ๆ กำลังเผชิญหน้ากับทัพแห่งความมืดกันอยู่! พวกเขาดูไม่สามารถรับมือได้ไหวจริง ๆ ถึงกระนั้นแล้วพวกเขาก็ยังสามารถทำให้บอสระดับเทพเจ้าหลายตัวได้รับบาดเจ็บรุนแรงเช่นกัน! ไม่เพียงเท่านั้น เพราะการโจมตีที่รุนแรงนั้น มันทำให้ความเกลียดชังของบอสหันมาตกที่ NPC ระดับสูงเหล่านี้แทน

“เร็วเข้าสิ! เติมพลังชีวิตให้พวกเขาเร็ว นักบวช! แล้วกลุ่มนักธนูทำอะไรกันอยู่? เร็วเข้า รีบจัดการมอนสเตอร์ปลีกย่อยซะ! อะไรนะ? ระยะยิงไม่ถึง? แล้วทำไมพวกแกไม่ออกไปข้างนอกเมืองให้ได้ระยะยิงล่ะฟะ!”

ที่ด้านนอกเมืองนั้นมีเพียงกลุ่มของภาคีพาลาดินและบิชอปสี่คนเท่านั้น โดยอาร์คบิชอปเรนัลด์จะมีบิชอปชุดสีแดงที่คอยทำงานให้เขาอยู่ โดยที่บิชอปชุดแดงเหล่านี้เป็นบอสระดับเทพเจ้าทั้งหมด พวกเขากำลังโดนทัพแห่งความมืดกลืนกินเกือบจะชั่วพริบตา

ซึ่งจากเหตุนี้มันทำให้สกายโวยวายขึ้นมาทันที รวมถึงคนอื่น ๆ บนป้อมปราการก็แสดงสีหน้ากังวลออกมาด้วย พวกเขากลัวว่า NPC ของวิหารแห่งแสงจะไม่สามารถยื้อไว้ได้ เพราะงั้นแต่ละคนจึงพยายามหาหน่วยที่เหลือเพื่อมาสนับสนุนสนามรบในตอนนี้

ทันใดนั้นเอง ผู้เล่นจำนวนมากก็วิ่งออกมาจากเมือง ผนวกกับผู้เล่นบางส่วนบนป้อมปราการก็ออกไปด้วย พวกเขาทั้งโจมตีพร้อมกับที่นักบวชในกลุ่มนั้นก็ร่ายสกิลฮีลไปด้วย คลื่นมนุษย์กลับมาสู่สนามรบแนวหน้าอีกครั้ง

โชคยังดีที่ NPC ระดับสูงของวิหารแห่งแสงก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดที่ทำอะไรไม่ได้

นอกจากนี้ ธาตุแสงยังเป็นศัตรูทางธรรมชาติกับธาตุมืดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วด้วย เพราะงั้นเพียงไม่นาน มอนสเตอร์รอบ ๆ ก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ฆ่าตายจนหมด เช่นเดียวกับกลุ่มของทหารโครงกระดูกที่วิ่งไล่ตาม NPC กลุ่มหนึ่งไปก็ถูกแสงศักดิ์สิทธิ์ลึกลับสาดส่องลงมาด้วย เมื่อพวกมันกลายเป็นละอองผงไปแล้ว กลุ่ม NPC ลึกลับนั้นจึงเผยตนออกมา พวกเขาคือภาคีพาลาดินที่อยู่ในชุดเกราะสีเงินส่องสว่าง และแสงสว่างที่เปล่งจากชุดเกราะนั้นก็คือแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นพิษกับเผ่าพันธุ์อันเดดอย่างหนักหน่วง!

“ความเกลียดชังของบอสศัตรูถูกล่อออกไปแล้ว!”

“นอกจากลิชคิงแล้ว บอสตัวอื่น ๆ กำลังไปล้อม NPC กันอยู่!”

“ไม่ดีแน่! ตอนนี้พลังชีวิตของ NPC ไหลเป็นน้ำเลย! ถ้าขืนปล่อยไว้เป็นแบบนี้พวกเขายืนได้อีกไม่นานแน่ ๆ! ขนาดได้นักบวชอีกเป็นหมื่นคนก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งได้เลยงั้นเหรอ!”

“เร็วเข้า! หน่วยสนับสนุน! แยกบอสสักตัวสองตัวออกมาจา NPC ด้วยกลวิธีตะลุมบอน!”

“ไม่ได้! พวกเราไม่สามารถดึงบอสออกมาได้! ต่อให้เป็นวิธีตะลุมบอนมันก็ไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายเป็นบอสระดับเทพเจ้า! พวกเราดึงมันไว้ได้ไม่นานแน่! แล้วถ้าพวกเราพ่ายหลังจากล่อมันออกมาแล้ว มันจะเปลี่ยนความเกลียดชังให้ไปอยู่ที่เมืองแห่งความโศกเศร้าดังเดิม! พวกเราไม่มีทางหยุดมันได้เลย!”

กลุ่มของหัวหน้ากิลด์จากสัมพันธมิตรฟากใต้หน้าเสียไปตาม ๆ กัน หลังจากที่ภาคีพาลาดินจัดการกลุ่มของอันเดดไปได้แล้ว พวกเขาคิดว่า NPC ระดับสูงเหล่านี้จะสามารถต้านทานไหว แต่กลายเป็นว่า เมื่อบอสระดับสูงของศัตรูเข้าร่วมการต่อสู้ ความต่างชั้นของระดับและจำนวนก็ทำให้พวกเขาแทบจะเป็นฝ่ายแพ้ตั้งแต่ต้น เพราะการโจมตีของมันทำให้ NPC เสียพลังชีวิตเร็วเกินไป!

โดยเฉพาะกัปตันโบลตัน ผู้ที่วิ่งเข้าไปก่อนคนอื่น เขารับมือบอสเทพเจ้าไว้ได้ถึงสามตัว รวมไปถึงบอสมังกรกระดูกด้วย เพราะงั้นเลือดของเขาจึงลดฮวบลงมาจนแทบจะไม่เหลือแล้วในตอนนี้!

ผู้เล่นนักบวชทั่วไปไม่มีสกิลติดตัวเหมือนเซียวเฟิงอย่างพลังแห่งทวยเทพ ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งและระดับก็ต่างกันมากอยู่เช่นกัน เพราะงั้นแล้วสกิลโฮลี่ไลท์ของพวกเขาจึงไม่ได้ช่วยเพิ่มพลังชีวิตให้กับบอสระดับเทพเจ้าได้เลยแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว พวกเขาฟื้นฟูพลังชีวิตได้เพียงไม่กี่สิบหน่วยเท่านั้นจากค่าความแข็งแกร่งทางจิต

หากไม่ได้จำนวนคนมากขึ้น ผลของการฟื้นฟูคงไม่สามารถทับซ้อนกันจากหลักสิบเป็นหลักแสนได้แน่ ๆ การฝืนฮีลต่อไปก็ไม่ต่างอะไรกับการโยนเหรียญลงไปในมหาสมุทรที่ไม่เห็นผลใด ๆ

“มาเร็วเข้า! กลุ่มนักบวช มาเติมตรงนี้เพิ่มหน่อย! แนวหลังเองก็มาช่วยกันด้วย!”

“จะให้ NPC ตายไม่ได้! ไม่งั้นแล้วล่ะก็ พวกเราเองก็จะยืนหยัดไม่ได้ด้วย! หน่วยสนับสนุนระยะไกล พวกนายทำอะไรอยู่! รีบ ๆ จัดการมอนสเตอร์เร็วเข้า! ทำให้สถานการณ์มันผ่อนคลายลงเร็ว ๆ!”

กลุ่มของหัวหน้ากิลด์ต่าง ๆ ในฟากใต้อารมณ์เปลี่ยนจนแทบจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว พวกเขารีบส่งกลุ่มนักบวชเพิ่มเข้าไปในสนามรบ บางกิลด์เองก็ตัดสินใจส่งหน่วยนักบวชในครอบครองของกิลด์ตนเข้าไปให้อยู่ภายใต้คำสั่งของวอร์สปิริตฮอลล์ชั่วคราวด้วย

ทุก ๆ คนต่างเป็นกังวลรวมไปถึงหลิวเฉียงเหว่ยและเฉียนโตวโตวด้วย จะมีก็แต่ชินห่าวเท่านั้นที่ยืนแยกตัวอยู่คนเดียวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แท่นเทเลพอร์ตเปล่งแสงขึ้น ณ ตอนนั้น มันดึงดูดสายตาของหลิวเฉียงเหว่ยได้ในทันที เธอหวังว่าผู้ที่ออกมาจะเป็นอาร์คบิชอปเรนัลด์ ทว่ากลับเป็นจางเสี่ยวหยูที่ปรากฏตัวออกมาแทน

“เฉียงเหว่ย สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

จางเสี่ยวหยูหันมองพื้นที่โดยรอบ จากนั้นเธอก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาหลิวเฉียงเหว่ยและถามในทันที

“ตอนนี้ไม่ดีสักเท่าไหร่ ทัพ NPC เหมือนโดนจงใจขัดขวาง พวกเขาเลยไม่สามารถมาช่วยเราป้องกันเมืองได้ ส่วนที่ด้านนอกเมืองนั้นมีบอสอยู่มากมายเต็มไปหมด ลำพังเพียงผู้เล่นไม่สามารถต้านไว้ได้แน่” หลิวเฉียงเหว่ยส่ายหน้าขณะพูด

“แล้วพี่ชายฉันล่ะ? ถ้ามีเขาอยู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ?” จางเสี่ยวหยูยังคงถามต่อด้วยความประหลาดใจ

“อย่าพูดถึงเขาเลย ตอนนี้เซียวเฟิงน่ะกำลังอยู่ในเขตฮันกึลและไม่สามารถกลับมาที่เขตนี้ได้” มันเป็นอย่างที่อีกคนว่า ถ้ามีเซียวเฟิงอยู่ล่ะก็…สงครามครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เพราะไม่มีเขาอยู่นั่นแหละ เธอถึงไม่รู้จะต้านไว้ได้ขนาดไหน

“หา? พี่ชายไปอยู่เขตฮันกึล?” ได้ยินเช่นนั้นจางเสี่ยวหยูก็แข็งไปทั้งตัว

“ตามนั้นแหละ เพราะงั้นตอนนี้เราเลยทำได้แค่พึ่งพาตัวเอง โชคยังดีหน่อยที่พวกเรายังใช้เส้นของพี่ชายของเธอไปพาตัว NPC ระดับสูงมาได้บ้าง ไม่งั้นเราคงไม่สามารถยื้อไว้ได้ถึงตอนนี้” หลิวเฉียงเหว่ยกล่าว

“โอเค เฉียงเหว่ย ถ้ายังไงเธอต้องดูแลรักษาภายในเมืองไว้ให้ดีด้วยนะ เพราะภายใต้สถานการณ์ที่น่าคับขันเช่นนี้ บางทีอาจจะมีกิลด์อื่นที่ประสงค์ร้ายกับเมืองแห่งความโศกเศร้าอยู่ก็ได้!” จางเสี่ยวหยูพูดเตือน

“ฉันรู้แล้ว แล้วก็พอจะรู้ด้วยว่าเป็น…” ยังไม่ทันที่หลิวเฉียงเหว่ยจะพูดจบ ที่สนามรบก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับคลื่นอัดกระแทกที่กระจายตัวไปทั่ว ผู้เล่นที่รวมกันอยู่ ณ จุดนั้นต่างโดนคลื่นดังกล่าวซัดกระเด็น และอีกหลายคนที่ต้องตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!

“ไม่ดีแล้ว! บอสกำลังใช้สกิลหมู่! เมื่อกี้นี้ก็ทำเอากลุ่มนักบวชของพวกเราตายกันเรียบเลย!” หัวหน้ากิลด์ที่เห็นเหตุการณ์รายงาน

จริง ๆ ต่อให้เขาไม่พูด ทุกคนก็เห็นภาพนั้นเหมือนกันอยู่แล้ว ระเบิดลูกใหญ่เกิดขึ้นที่กลางสนามรบ และมันทำให้กลุ่มนักบวชทั้งสองกลุ่มของวอร์สปิริตฮอลล์ถูกฆ่าตายในทันที ซึ่งกลุ่มนักบวชทั้ง 2 กลุ่มนี้ คือกลุ่มที่รับผิดชอบดูแลพลังชีวิตของกัปตันโบลตันอยู่ ดังนั้นเมื่อพวกเขาถูกฆ่าตาย พลังชีวิตของกัปตันโบลตันจึงกลับมาลดลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

“มันจบแล้ว!”

กลุ่มของหัวหน้ากิลด์แห่งสัมพันธมิตรฟากใต้รับรู้ได้ถึงความรู้ใหม่พร้อม ๆ กับความสิ้นหวัง พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่ากลุ่มนักบวชก็สามารถถูกเลือกเป็นเป้าหมายโจมตีได้แม้พวกเขาจะไม่ได้โจมตีใส่บอสเลยก็ตาม การใช้สกิลรักษา สามารถทำให้บอสหันมาสนใจได้ไม่ต่างกับการทำความเสียหายในระดับสูง เพราะงั้นไม่ต้องพูดถึงกลุ่มนักบวชที่มีจำนวนหมื่นคนนั้นเลย!

แบบนี้มันยิ่งแสดงให้เห็นชดเจนว่าพวกบอสที่มากับทัพหน้าของทัพแห่งความมืดนั้นฉลาดมาก ๆ มันสามารถเปลี่ยนกฎการเลือกเป้าหมายได้เมื่อเห็นว่ากัปตันโบลตันไม่ยอมพ่ายแพ้เสียที ด้วยเหตุนี้มันจึงเลือกเป้าหมายเป็นอะไรก็ตามที่ใช้สกิลฮีล ซึ่งนั่นก็คือกลุ่มนักบวชเหล่านั้น!

หลังจากที่บอสใช้สกิลระเบิดกลุ่มนักบวชจนหายไปหมดแล้ว ความเกลียดชังของมันก็ไม่ได้กลับไปที่ตัวกัปตันโบลตันอีก เป้าหมายใหม่ของมันถูกเลือกเป็น ประตูเมืองแห่งความโศกเศร้าแทนหลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีกลุ่มนักบวชเหลือแล้ว!

“ไม่ได้การล่ะ รีบปิดประตูเมืองเร็ว!”

เหล่าหัวหน้ากิลด์รีบควบคุมอารมณ์ของพวกตนไว้ให้ดี ภาพที่พวกเขาไม่อยากเห็นที่สุดมันปรากฏขึ้นมาแล้ว

“อย่าเพิ่ง! รีบใช้กลยุทธ์ล้อมกรอบไปก่อน! อย่าให้บอสเข้ามาในเมืองได้!”

ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่บริเวณประตูเมืองก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา ผู้เล่นจำนวนมากมายยังคงอยากจะออกจากเมืองไปรั้งบอสเอาไว้ก่อน ขัดกับผู้ที่อยู่บนป้อมปราการที่ต้องการจะปิดประตูเมือง ความเห็นต่างนี้ทำให้การดำเนินการต่าง ๆ ดูวุ่นวายไปหมด

“พวกนั้นจะทำอะไรกันวะ! บ้าเอ้ย! อย่ามาขัดจังหวะให้เสียเวลาได้ไหม!!”

ตอนนี้เหล่าหัวหน้ากิลด์เหลืออดกันหมดแล้ว พวกเขามองไปยังประตูเมืองด้วยความโกรธเคือง บางคนก็อยู่ในสภาพเครียดจนเหงื่อตกไปหมด มีเพียงชินห่าวเท่านั้นที่ยังแอบยิ้มอยู่ด้านหลังขณะที่กำลังโทรหาใครบางคนเพื่อรายงานบางสิ่งบางอย่าง แต่แล้วตอนนั้นเอง แท่นเทเลพอร์ตบนป้อมปราการก็เปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง

“โฮ่ย! องค์หญิงเซียวหลิงกลับมาแล้ว! นี่ฉันพลาดโชว์สุดพิเศษไปหรือเปล่าน่ะ?”

ผู้ที่ปรากฏตัวออกมานั้นคือเซียวหลิงและเสี่ยวไป๋ หนิงเคอเค่อและชุดคลุมของผู้เริ่มต้นใหม่

“เซียวหลิง เธอมาได้ทันเวลาพอดีเลย! ให้เสี่ยวไป๋ออกไปด้านนอกประตูเดี๋ยวนี้ ข้างนอกมีบอสที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่ ให้เสี่ยวไป๋รั้งมันไว้ก่อน!” หลิวเฉียงเหว่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบพูดกับเสี่ยวเซียวหลิงอย่างรวดเร็ว

“หือ? ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ เธอกำลังขอให้องค์หญิงเซียวหลิงช่วยงั้นเหรอ? ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถ้าในเมื่อเป็นแบบนั้นล่ะก็…ลุยเลย เสี่ยวไป๋!” แววตาของเซียวหลิงแสดงความรื่นเริงสุด ๆ ออกมาพร้อมกับโบกมือให้เสี่ยวไป๋ออกไปจัดการด้านนอก

จริง ๆ แล้วเสี่ยวไป๋นั้นเข้าสู่โหมดพร้อมต่อสู้มาโดยตลอด ตั้งแต่ที่เซียวเฟิงแนะนำวิธีการต่าง ๆ ให้เธอล่วงหน้า ยามเมื่อถึงเวลาต้องทำตามที่ว่าจริง ๆ เธอก็ไม่รอช้าที่จะบินออกไปจากป้อมปราการทันทีเมื่อมาถึงเมืองแห่งความโศกเศร้าเลย!

ครืน!!