ตอนที่ 193 เช็ค

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เรื่องถ้วยเคลือบลงสีลายไก่สมัยเฉิงฮั่วยังคงไม่มีข่าวคราว การเจรจาของกู้ฉางซุ่นตกอยู่ในสภาพชะงักงัน

หยางโปติดต่อหงซิ่วซิ่ว อีกฝ่ายรับหงอวี้ออกมาจากโรงพยาบาล แล้วพามาที่โรงแรม หยางโปอยู่ที่โรงแรมแล้ว เพื่อที่จะทำการรักษาหงอวี้ในขั้นตอนสุดท้าย

หงอวี้ก็ดีขึ้นไม่น้อย สามารถพูดคุยได้อย่างเป็นปกติแล้ว

ขณะที่หยางโปเอากระจกแสงจันทร์วางไว้ในมือของหงอวี้ หงอวี้ก็อดครางอย่างสบายตัวออกมาไม่ได้

 

“คุณหยาง กระจกอันนี้ของคุณสุดยอดจริงๆ เลย!” หงอวี้อดไม่ได้ที่จะชื่นชม หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาได้ฟังเสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงและการคาดการณ์มากมาย แต่มีเขาเพียงคนเดียวที่จะกระจ่างแก่ใจ

หยางโปไม่ได้ใช้วิธีการอะไรอื่นเลยแม้แต่อย่างเดียว สิ่งที่ทำให้เขาหายจริงๆ นั้น มาจากกระจกทองแดงที่อยู่ในมือของเขาอันนี้เท่านั้น!

ตอนนี้เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มือซ้ายของตัวเองที่กำลังถือกระจกทองแดงไว้นั้นร้อนขึ้นเล็กน้อย กระแสปราณเย็นจากทั่วทั้งร่างเคลื่อนเป็นเส้นสายผ่านทางฝ่ามือข้างซ้าย ปราณเย็นที่ไหลออกไปจากร่างเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกถึงความสบายที่คลี่แผ่ออกไป

หยางโปพยักหน้า ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

 

หงอวี้นอนอยู่บนเตียง “กระจกอันนี้ชื่อว่าอะไรเหรอครับ?”

“กระจกแสงจันทร์” หยางโปกล่าว

“กระจกแสงจันทร์?” หงอวี้พยักหน้า “เป็นชื่อที่เพราะมากครับ มีที่มายังไงเหรอครับ?”

“ผูเช่อซูเวยมีกระจกอยู่บานหนึ่ง ไม่ต่างจากกระจกบานนี้ เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์นั้นแตกต่างกัน” หยางโปตอบ

หงอวี้ผงกศีรษะ สัมผัสได้ว่าปราณเย็นในร่างกายกำลังไหลออกไป แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ถึงปราณเย็นในร่างกายที่กำลังไหลออกพลันรุนแรงขึ้น เดิมทีมันแค่เหมือนเป็นน้ำเย็นที่ไหลผ่าน แต่ตอนนี้พลันเหมือนถูกขูดด้วยเหลี่ยมน้ำแข็ง ทั่วทั้งร่างราวกับถูกมดกัด

 

“เจ็บ!” หงอวี้อุทานด้วยความเจ็บปวด

หยางโปตกใจจนสะดุ้ง เขารีบหันไปมอง กลับเห็นปราณเย็นยังคงไหลออกมาจากร่างหงอวี้เป็นสายๆ เพียงแต่ปราณเย็นเหล่านี้นั้นออกมาได้อย่างยากลำบาก

“ขูดกระดูกรักษาพิษ ทนอีกหน่อยก็จะหายแล้ว” หยางโปกล่าวเตือนสติ

หงอวี้ได้รับคำเตือนสติประโยคนี้ ก็จับกระจกแสงจันทร์แน่น แล้วกัดฟันทนต่อ

ภายในห้องมีเพียงหยางโปกับหงอวี้สองคน หงอวี้กำกระจกแสงจันทร์แน่น เขารู้สึกว่าแต่ละนาทีแต่ละวินาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่นาน หน้าผากของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อเต็มไปหมด

 

หยางโปนั่งอยู่ด้านหนึ่ง จับตาดูความเปลี่ยนแปลงของหงอวี้ ผ่านไปหลายนาที ปราณเย็นก็จางลง ก่อนจะค่อยๆ หายไป เห็นร่างทั้งร่างของหงอวี้กำลังใกล้จะหมดแรง หยางโปจึงเอ่ยปากว่า “ปล่อยได้แล้ว”

หงอวี้ก็ปล่อยกระจกแสงจันทร์ นอนอ่อนเปลี้ยไร้แรงอยู่บนเตียง ร่างทั้งร่างโชกไปด้วยเหงื่อ

หยางโปหยิบกระดิ่งข้างกายขึ้น แกว่งไปมา หงซิ่วซิ่วและแม่ทั้งสองคนก็พุ่งนำเข้ามาข้างในห้อง!

“หงอวี้ ลูกไม่เป็นอะไรนะ?” เมื่อแม่เห็นหงอวี้เหงื่อท่วม ก็ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก

หงอวี้ส่ายหน้า เขาไม่มีแรงจะพูดแล้ว

 

หยางโปกระแอมเบาๆ เอ่ยปากว่า “คุณนายหง หงอวี้เพิ่งจะมีเหงื่อออกมามาก ตอนนี้ถ้าจะให้ดีก็ให้คนมาช่วยเขาอาบน้ำซะหน่อย จะได้ไม่เป็นหวัด”

“ได้ค่ะ!” คุณนายหงรีบรับคำ เมื่อสั่งให้คนสองคนหามหงอวี้ไปอาบน้ำแล้ว เธอจึงหันกายมองมาทางหยางโป “เคราะห์ดีจริงๆ ที่ได้คุณหยาง ถ้าไม่ใช่คุณหยาง หงอวี้บ้านฉันไม่รู้จะต้องลำบากขนาดไหน!”

หยางโปส่ายหน้า เขาหยิบกระจกแสงจันทร์ขึ้นมา “คุณนายหงเกรงใจไปแล้ว”

หงซิ่วซิ่วเองก็เดินมาข้างหน้า “คุณหยาง ลำบากคุณแล้ว พวกเราได้เตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว อีกสักครู่ก็ส่งมาแล้วค่ะ ส่วนพี่ชายของฉันอีกเดี๋ยวก็จะอาบน้ำเสร็จแล้ว เขาเองก็ต้องหวังอยากจะขอบคุณคุณต่อหน้าแน่นอนค่ะ!”

 

หยางโปโบกมือ “เป็นเรื่องง่ายเพียงยกฝ่ามือเท่านั้นเอง พวกคุณไม่จำเป็นต้องเกรงใจอย่างนี้เลยจริงๆ!”

“คุณหยางคะ สำหรับคุณคุณบอกว่าง่ายเพียงยกฝ่ามือ แต่สำหรับพวกเราถ้าจะให้พูดแล้ว ก็นับเป็นบุญคุณช่วยชีวิต ขอให้คุณอย่าได้ปฏิเสธเลยค่ะ” คุณนายหงพูดอย่างจริงใจ

หยางโปลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็พยักหน้าตอบรับ “งั้นผมก็ไม่เกรงใจแล้วนะครับ”

ไม่นานอาหารเย็นก็ส่งมาถึง หงซิ่วซิ่วจัดเตรียมไว้อย่างครบครัน เป็นอาหารฝรั่งเศสแบบฟูลคอร์สที่เริ่มด้วยไวน์เปิดรส อาหารเรียกน้ำย่อย อาหารจานหลัก และของหวานตามลำดับ

หยางโปไม่ชินกับอาหารฝรั่งเศสแบบฟูลคอร์สเลยสักนิด แต่ไม่สามารถไม่พูดว่าอาหารหลายอย่างทำมาได้ไม่เลวเลยจริงๆ

 

ผู้ร่วมโต๊ะหนึ่งครอบครัวสามสมาชิกยกแก้วกันไม่หยุด เพื่อแสดงความขอบคุณแก่หยางโป หยางโปตอบรับอย่างเกรงใจทีละคน หงอวี้ยกน้ำเปล่า ยกแก้วคารวะหยางโปไปหลายจอก

เมื่อดูจากร่างกายที่อ่อนเปลี้ยของหงอวี้ อาหารเย็นจึงจบลงอย่างรวดเร็ว

หงซิ่วซิ่วประคองหงอวี้ไปพักผ่อนแล้ว แต่คุณนายหงยังคงรั้งอยู่ เธอหยิบซองจดหมายจากกระเป๋าขึ้นมาซองหนึ่ง แล้ววางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะดันมาทางหยางโป “คุณหยางคะ คุณเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงของครอบครัวฉัน ตระกูลหงไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงหมด จากนี้ไปถ้าคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ขอให้มาหาตระกูลหง พวกเราไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอนค่ะ!”

 

หยางโปยิ้ม “คุณนายหงเกรงใจไปแล้วครับ เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นใครมาประสบพบเจอ ก็ล้วนสามารถยื่นมือช่วยเหลือได้ทั้งนั้น”

พูดแล้ว หยางโปก็ดันซองกลับไป ทันทีที่นิ้วสัมผัสกดไปที่ซอง หยางโปก็รู้ได้ว่า นั่นเป็นเช็คใบหนึ่ง เขาเกิดความหวั่นไหวขึ้นในใจเล็กน้อย แต่ก็ยังปฏิเสธอย่างหนักแน่น

คุณนายหงดันซองกลับมาอีกครั้ง “คุณหยาง คุณรับไว้เถอะค่ะ นี่เป็นสิ่งที่คุณสมควรที่จะได้รับ!”

หยางโปส่ายหัว ยังคงไม่ยอมรับไว้ คุณนายหงพูดกลั้วหัวเราะว่า “คุณหยาง คุณรับไปก่อนเถอะค่ะ นี่เป็นความคิดของเหล่าหงบ้านพวกเรา เมื่อตอนเที่ยงฉันโทรไปหาเหล่าหง เขาบอกว่า ถ้าคุณไม่รับไว้ เย็นนี้เขาจะบินตรงมา เพื่อมามอบมันให้คุณเองอีกครั้ง”

 

หยางโปชะงักเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ดันกลับไป เขาหันไปพูดกับอีกฝ่ายว่า “คุณหงเกรงใจไปแล้ว”

พูดเกรงใจกันอีกหลายคำ ทางหยางโปก็เป็นฝ่ายบอกลา

โรงแรมทั้งสองแห่งอยู่ไม่ไกลกัน ไม่นานเขาก็กลับมาถึงห้องพักที่โรงแรม

ตาอ้วนหลิวกำลังนั่งเบื่ออยู่ในห้อง เมื่อเห็นหยางโปเดินเข้ามา ก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เด็กสาววันนั้นคนนั้นหน้าตาไม่เลวเลยจริงๆ สองสามวันนี้เธอไปแอบนัดเจอกันมาใช่ไหม?”

หยางโปถลึงตา “อย่าพูดจาไร้สาระ เขามีแฟนอยู่แล้ว!”

ตาอ้วนหลิวหัวเราะเหอะเหอะ “เธอต้องเชื่อมั่นสิว่าไม่มีมุมกำแพงที่ขุดไม่ได้!”

 

“พูดเหลวไหล!” หยางโปตำหนิ

ตาอ้วนหลิวหัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง

หยางโปส่ายหัว ก็ไม่พูดอะไรอีก

หลังจากนอนลงบนเตียง หยางโปก็หยิบซองที่คุณนายหงให้เขาออกมา เห็นบนเช็คเขียนเลข “1” เอาไว้หนึ่งตัว ด้านหลังยังมีเลขศูนย์อีกหกตัว นี่ก็คงเป็นหนึ่งล้าน

หยางโปอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ตอนเขารับเช็คใบนี้มา ความจริงก็คาดหวังไว้เล็กน้อย เพราะเมื่อเขารับมันมาแล้ว ต่อไปหากคิดไปทำธุระกับอีกฝ่ายอีก ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก เพราะการให้เช็คก็เป็นสิ่งที่ถือแทนการตอบแทนบุญคุณแล้ว

 

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะให้เขาแค่หนึ่งล้าน น้อยไปหน่อยจริงๆ

ตาอ้วนหลิวเห็นเช็คในมือหยางโป ก็รีบกระโดดเข้ามา เมื่อเห็นจำนวนเงินของเช็คในมือหยางโป ก็ยิ่งเบิกตากว้าง “นี่มันหนึ่งล้านนี่!”

หยางโปไม่ได้เอ่ยปาก

ตาอ้วนหลิวอุทานอย่างตกใจว่า “หนึ่งล้านยูโร มีค่าเท่ากับสิบล้านหยวนเลยนะ!”

หยางโปชะงักไปทันที “อะไรนะ? นี่เป็นเงินยูโรเหรอ?”