ตอนที่ 172.5 ตำหนักซานชิงกับการปกป้องภรรยา (5)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“เสด็จแม่ เป็นลูกเองที่ไม่อดทน ไม่ใช่ชิ่นเอ๋อร์” ซย่าโหวซื่อถิงดึงอวิ๋นหว่านชิ่นไปด้านหลัง ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อดทนหรือ ทนเหมือนกับที่เสด็จแม่ทนใช่ไหม ก่อนที่ลูกจะส่งชิงทั่นและหลานถิงเข้าวัง เสด็จแม่คิดว่าลูกไม่รู้หรือว่าสองสามปีมานี้เสด็จแม่อยู่อย่างไร ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับมเหสีรองเหวย ไม่ถูกนางถากถางและก่นด่าก็ถูกตบตี เสด็จแม่ยอมโดนทำร้ายโดยไม่ขัดขืนมาตลอด ทั้งยังประจบเอาใจหญิงร้ายกาจคนนั้นอีก ทุกครั้งที่ลูกเข้าวัง เห็นรอยฟกช้ำบนไหล่หรือรอยเล็บบนคอ เสด็จแม่คิดว่าลูกไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือ เสด็จแม่ทนมาทั้งชีวิต ยังจะบอกให้ชิ่นเอ๋อร์อดทนอีกใช่ไหม ลูกทำไม่ได้ วันนี้ลูกทำร้ายตระกูลมารดาของนางไปแล้ว! ต่อไปถ้าเสด็จแม่ต้องเผชิญหน้ากับนาง ไม่จำเป็นต้องหวาดเกรง! นางไปฟ้องคราวนี้ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน แต่ลูกมีแผนรับมือแน่นอน” 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนสะอึก ทว่าไม่ได้วางใจเพราะเหตุผลนี้ ยังคงพึมพำ “ไม่ได้นะ…อย่างไรเสียนางก็ยังเป็นมเหสีรอง ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหวย นางยังเป็นสตรีของวังหลัง เจ้าจะลงไม้ลงมือกับนางไม่ได้ นี่มันเป็นการอกตัญญูนะ…” ก่อนจะชี้ไปที่อวิ๋นหว่านชิ่นอีกครั้ง สะอื้นไห้พลางเอ่ย “เหตุใดเจ้าไม่ห้ามไว้ เหตุใดไม่ห้ามเขาไว้!” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจึงรีบพูดขัดจังหวะไม่ให้นางก่นด่าอวิ๋นหว่านชิ่น เกลี้ยกล่อมอยู่หลายคำ ทั้งยังส่งสายตาเป็นนัยให้จางเต๋อไห่ 

 

 

จางเต๋อไห่รีบเดินเข้ามา “พระสนมเอก องค์ชายสามไม่ใช่เด็กอายุห้าขวบแล้ว ย่อมรู้อะไรควรไม่ควร รัชทายาทยังมีเรื่องที่เจรจากับองค์ชายสามอยู่อีก ไป พวกเรากลับตำหนักกันเถิดพ่ะย่ะค่ะ…” ไม่ง่ายนักที่จะร้องไห้ตัวโยน สนมเอกเฮ่อเหลียนผู้ยังคงอยู่ในความวิตกกังวล ถูกประคองและเกลี้ยกล่อมให้จากไป 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหันหน้ากลับมา เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นเงียบไป จึงเอ่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่าไปสนใจคำพูดของเสด็จแม่เลย” ทว่ากลับได้ยินนางเอ่ย “เสด็จแม่ก็ไม่ได้พูดผิดไปเสียทั้งหมด ครั้งนี้ข้าคงทำร้ายเจ้าแล้วจริงๆ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงดึงมือนางขึ้นมา “เนื่องจากสถานะของเสด็จแม่ ตั้งแต่เข้ามาที่ต้าเซวียน ไม่มีวันใดที่ยืดอกอย่างภูมิใจได้เลย หวาดกลัวระแวดระวังอยู่ทุกวัน กล้ำกลืนความอธรรม บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ไฉนเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ไปด้วย ข้าบอกแล้ว ไม่ต้องกลัวเหวยซื่อ…” 

 

 

ฝ่ามือกว้างแห้งและอบอุ่น ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกสบายใจขึ้นก่อนจะเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายถึงมเหสีรองเหวย แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลักฐานที่เหวยเซ่าฮุยสมรู้ร่วมคิดกับโจรยังหาได้ไม่ครบ ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวม ทว่าวันนี้ข้าบอกไปก่อนแล้ว ซึ่งขัดต่อแผนของเจ้า วันนี้เหวยเซ่าฮุยจะต้องไปที่กรมยุติธรรม เพื่อจะกำจัดหลักฐานทั้งหมดอย่างแน่นอน…หลักฐานการสมรู้ร่วมคิดไม่มีทางหาครบได้แน่ๆ หากคราวนี้ล้มตระกูลเหวยไม่ได้…” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงหัวเราะและยกมือขึ้นแตะจมูกอันบอบบางของนาง “เจ้าคิดเยอะจริงๆ ข้ากังวลมาตลอดว่าจะเอ่ยปากอย่างไรดี อย่างไรเสียเหวยเซ่าฮุยเป็นถึงขุนนางครองอำนาจ อยากจะส่งหนังสือไปรายงาน กลัวก็แต่เบื้องบนจะไม่สนใจ ทั้งยังกลัวด้วยว่าตระกูลเหวยจะมาขัดขวางหนังสือของข้า วันนี้เจ้าพูดต่อหน้าขุนนาง ทั้งยังใช้คำพูดของหลี่ว์ปาอีก สั่นสะเทือนเป็นอย่างมากและทำให้คนเบื้องบนจำต้องให้ความสนใจ ขจัดความกังวลในใจของข้าได้ปลิดทิ้ง” 

 

 

“จริงหรือ” 

 

 

“จะโกหกได้หรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกโล่งใจและปล่อยวาง เห็นนัยน์ตาอันอ่อนโยนของเขา เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ แต่ก็ยังรู้สึกกังวล ก่อนจะเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง “เจ้าไม่ได้หลอกข้า เพื่อให้ข้าสบายใจใช่ไหม”  

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงกุมมือแน่นขึ้น พลางเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ไม่ได้หลอก” 

 

 

ในเวลานั้นเอง มีมอมอเดินมาจากทางเดินอีกฝั่งพร้อมกับขันที 

 

 

ทั้งสองคนคลายมือออก ก่อนจะแยกจากกันไปหลายนิ้ว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหม่ามอมอแห่งตำหนักฉือหนิง 

 

 

หม่ามอมอเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหันหน้าไปทางฉินอ๋องพลางทำความเคารพ “ไทเฮาและฮองเฮาได้ยินเรื่องของพระชายาฉินอ๋องแล้ว จึงรับสั่งให้ข้ามาเชิญพระชายาไปที่ตำหนักซือฝาสักครู่เพคะ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงสูดลมหายใจ ตึงเครียดเล็กน้อย “ไทเฮาจะคุยเรื่องอะไร” 

 

 

หม่ามอมอมองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไร เอ่ยไปตามตรง “ในฐานะราชตระกูล โกหกเรื่องอาการเจ็บป่วย และออกจากเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต คลุกคลีกับประชาชนหัวรุนแรง ต่อให้จะมีเหตุผล แต่ก็ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ องค์ชายสามจะให้ไทเฮาพูดอะไรได้ ตอนที่ได้ยิน โชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้เป็นลมล้มลงไป” 

 

 

สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงพลันแปรเปลี่ยน 

 

 

ต่อให้การกระทำครั้งนี้ไม่ได้คุณงามความดี ทั้งยังได้กระทุ้งตระกูลเหวย อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่ได้คาดหวังว่าจะหนีรอดจากการถูกลงโทษ ในเมื่อเรื่องของตนนั้น หากอยู่ในสถานะหญิงสาวทั่วไปถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ทว่าตนเองมีตำแหน่งพระชายาค้ำคออยู่ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องอยู่ในกรอบ และทำสิ่งใดออกมา สิ่งนั้นมักถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นร้อยเท่าพันเท่า 

 

 

นางเตรียมใจไว้ตั้งนานแล้ว ไม่ทุกข์ร้อน “หม่อมฉันจะตามหม่ามอมอไปเจ้าค่ะ” 

 

 

หม่ามอมอเห็นว่านางยินยอมแต่โดยดี ไม่ได้ร้องห่มร้องไห้หรือเดือดดาล จึงปลอบใจ “พระชายาวางใจได้ ไทเฮาโปรดปรานท่านมาตลอด โมโหก็ส่วนโมโห บทลงโทษน่าจะไม่หนักสาหัสเกินไป” 

 

 

ใบหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นแข็งเกร็ง “ขอให้เป็นไปดั่งคำอวยพรของหม่ามอมอ” 

 

 

ทว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนเดินไปถึงเพียงครึ่งทางโดยมีจางเต๋อไห่คอยพยุง เช็ดน้ำตาอยู่ระหว่างทาง ก่อนจะกำชับเสียงสั่น “ไป ไปพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน” 

 

 

จางเต๋อไห่รู้ว่าสนมเอกยังกลัวมเหสีรองเหวยจะฟ้องเรื่ององค์ชายสาม ทำได้แต่เดินตามไป 

 

 

ณ พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน เนื่องจากหนิงซีฮ่องเต้ประชวรอยู่ และไม่ให้ใครเข้าเฝ้า ประตูใหญ่จึงปิดสนิทอย่างแน่นหนา 

 

 

มเหสีรองเหวยยืนอยู่ริมระเบียง ความเดือดดาลยังไม่หายไปไหน ฝากให้เหยาฝูโซ่วไปบอกแล้วว่าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท ในยามที่กำลังรอการรายงาน เห็นว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนเดินมา ทั้งยังตัวสั่นงกงัน รู้จุดประสงค์ของนาง ก่อนจะตะหวาดไปทีหนึ่ง “นางคนต่ำช้า เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้ตอบอะไรไป เดินเข้าไปสองสามก้าว ก่อนจะงอสองเข่า ทรุดลงไปบนพื้น จึงทำให้จางเต๋อไห่ตกตะลึงโดยพลัน “สนมเอก ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…” 

 

 

มเหสีรองเหวยก็ตกใจเช่นกัน ทว่ากลับยิ่งได้ใจ “เจ้าไม่ต้องมาอ้อนวอนข้า ลูกชายและลูกสะใภ้ของตัวเองทำผิดแล้วยังโยนความผิดมาให้ตระกูลเหวยของข้าอีก ส่วนลูกชายตัวดีของเจ้าก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว บังอาจลงไม้ลงมือกับข้า วันนี้ข้าจะให้ฝ่าบาทสั่งสอน! ดูซิว่าลูกชายหัวรั้นอกตัญญูอย่างเขา จะคู่ควรกับรางวัลอันหนักอึ้งเช่นนี้หรือไม่!” 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนตัวโยน น้ำตาไหลทะลักออกมา เมื่อได้ยินคำสุดท้าย สีหน้าพลันซีดเผือดกว่าเดิม กอดรองเท้าหนังแกะปักดิ้นทองของมเหสีรองเหวยเอาไว้ “มเหสีรอง ขอร้องท่านละ หม่อมฉันขอรับโทษแทนฉินอ๋อง แต่อย่าทูลฝ่าบาทเลยนะเพคะ! มเหสีรองได้โปรดเถิด!” 

 

 

มเหสีรองเหวยส่งเสียง เฮอะ ความโกรธกลับมาอีกครั้ง เห็นว่าสนมเอกเฮ่อเหลียนทำตัวต่ำต้อยและยอมจำนนเฉกเช่นที่ผ่านมา จึงยิ้มเย็น “ขอร้องข้าหรือ เช่นนั้นเจ้าก็กราบข้าสิ กราบไปพลางบอกว่าคนต่ำช้าอย่างเจ้าสอนลูกไม่ดี กราบจนกว่าเลือดจะออกหัว ข้าถึงจะยอม!” 

 

 

จางเต๋อไห่ผงะ ปกติแล้วมเหสีรองเหวยพูดอะไร นายของตนจะทำตาม โดยไม่อิดออดแม้แต่น้อย วันนี้ทำเพื่อองค์ชายสาม ยิ่งยอมเข้าไปใหญ่ จึงรีบเอ่ยห้าม “สนมเอก อย่า…” จากนิสัยของมเหสีรองเหวย จะให้พระสนมเอกกราบไม่กี่ครั้งก็ยอมได้อย่างไร นี่กำลังแกล้งพระสนมเอกชัดๆ! 

 

 

สนมเอกเฮ่อเหลียนกลับเชื่ออีกฝ่าย ก้าวเท้าไปด้านหลังสองสามก้าว ก่อนจะโค้งตัว กราบลงบนพื้นอิฐโม่น้ำ น้ำตาเอ่อนองอยู่ในปาก พึมพำกับตัวเองอย่างไม่ได้ศัพท์ “หม่อมฉันสอนลูกไม่ดีเอง หม่อมฉันสอนลูกไม่ดีเอง…” 

 

 

ทุกครั้งที่กราบลงไป จะได้ยินเสียงพื้นสั่นเล็กน้อย นี่เพิ่งจะเจ็ดถึงแปดครั้ง หน้าผากขาวราวหิมะของสนมเอกเฮ่อเหลียนพลันแดงฉาน เห็นเลือดคั่งอยู่ใต้ผิวหนังรำไร  

 

 

“นายหญิง…” จางเต๋อไห่นัยน์ตารื้น อยากจะห้าม แต่ก็ห้ามไม่ได้ ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะของมเหสีรองเหวย “ฮ่าๆ! สุนัขแสนเชื่อง!”  

 

 

ในขณะนั้นเอง เหยาฝูโซ่วดันประตูออกมา เห็นฉากนี้ แม้จะขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร พูดเพียงว่า “มเหสีรอง ฝ่าบาทเรียกให้เข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”