“มเหสีรอง!” สนมเอกเฮ่อเหลียนเงยหน้าที่ชโลมไปด้วยเลือดขึ้นมา มองไปที่มเหสีรองเหวย แววตาค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นการอ้อนวอน พลางส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อบอกเป็นนัยไม่ให้นางพูดอะไร
มเหสีรองเหวยไม่สนใจนาง กล่าวกับเหยาฝูโซ่วว่า “สภาพจิตใจของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
“วันนี้ดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มเหสีรองเหวยยิ้มแล้วพยักหน้า เดินไปยังประตูข้างหน้าแล้วหันหลังกลับมามองสนมเอกเฮ่อเหลียนอีกครั้ง “ในเมื่อสภาพจิตใจของฝ่าบาทดีขึ้นแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะพูดเรื่องวีรกรรมของลูกชายเจ้า ฝ่าบาทก็คงจะไม่โกรธมากหรอก ฮ่าๆ”
สนมเอกเฮ่อเหลียนเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ตาจ้องมองไปยังประตูตำหนักที่ถูกปิดเสียงดัง จางเต๋อไห่ที่น้ำตาคลอได้แต่กัดฟันแล้วพยุงนางไว้ มเหสีรองเหวยถ่มน้ำลายลงพื้น จางเต๋อไห่ก็ถ่มน้ำลายเช่นกันก่อนจะท้วงว่า “นายหญิงก็น่าจะรู้ว่าคำพูดของมเหสีรองน่ะเชื่อถือไม่ได้ ให้ท่านก้มหัวคำนับด้วยหน้าผากขาวๆ แล้วสุดท้ายก็ยังจะไปฟ้องเรื่ององค์ชายสามอีก ท่านไม่ควรไปหลงเชื่อคนเช่นนี้เลย!”
สนมเอกเฮ่อเหลียนลุกขึ้นยืนอย่างใจลอย อาศัยแขนของจางเต๋อไห่ประคองตัวเอง แล้วออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน มุ่งหน้าไปยังตำหนักชุ่ยหมิง
ในตอนที่ใกล้จะถึงตำหนักนั้น จางเต๋อไห่สังเกตได้ว่าร่างกายของนายตนสั่นเล็กน้อย ลอบมองหน้าผากของนางที่ยังมีเลือดไหลอยู่ บาดแผลค่อนข้างลึก แค่มองก็รู้สึกเจ็บแล้ว เกรงว่าถึงแผลจะหายดีแต่ก็คงจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ จึงเอ่ยอย่างปวดใจว่า “สนมเอก หากกลับตำหนักแล้ว ข้าน้อยจะไปเรียกหมอหลวงมาทำแผลให้ท่าน…” พูดยังไม่จบนายหญิงก็ออกแรงผลักนางเบาๆ
น้ำตาบนใบหน้าของสนมเอกเฮ่อเหลียนหยุดไปนานแล้ว นางยกมือขึ้นจัดการกับผมที่ยุ่งเหยิง บัดนี้ดวงตาที่งดงามลุ่มลึกฉายแววเย็นเยียบแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน มุมปากหยัดเหยียดขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่สามารถทำให้คนมองรู้สึกประหลาดและหวาดกลัว จนหลงคิดว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน สะบัดมือแล้วพูดว่า “จางเต๋อไห่ เจ้าเข้าตำหนักไปก่อน แล้วจัดชั้นวางข้างหัวเตียงของข้าที”
ณ ตำหนักซือฝา
ต่างจากตำหนักอื่นๆ ในราชฐาน ชายคาตำหนักแห่งนี้ไม่ใช้สีสดอย่างสีทอง สีเขียว สีชาดหรือสีเหลือง แต่ใช้สีโทนเข้ม อิฐบนพื้นราวกับกระจกที่เงาวาวและหนาวเหน็บไม่เหมือนกับตำหนักอื่นที่พออากาศหนาวก็จะมีพรมมาปู
ระเบียงแน่นหนา ดอกพุดลอยปลิวลงมา เสาหยกสีน้ำตาลตั้งตระหง่านทั้งสี่ทิศ
เสมือนตำหนักเย็นไปเสียทุกอณู
ทว่ากลับทำให้คนในวังรู้สึกหวาดกลัวได้มากกว่า ที่นี่ก็คือตำหนักที่เอาไว้ใช้ลงโทษสตรีชนชั้นสูง
ซือฝา หรือก็คือ ตุลาการ
เจ้านายคนก่อนที่เคยถูกลงโทษในตำหนักนี้คือท่านหญิงหย่งจยา ผู้ถูกถอดยศและต้องออกจากวังไปกลายเป็นคนธรรมดา หลักจากนั้นที่นี่ก็เงียบสงบมาเป็นเวลานาน
บรรยากาศอันเงียบสงัดโดยรอบ คล้ายมีเสียงกรีดร้องโหนหวยของหญิงสาวที่ถูกลงโทษด้วยการเฉือนเนื้อ
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกจันทน์ขาวในเตากำยานไม่ได้ทำให้จิตใจคนสงบลง
เจี่ยไทเฮาเข้าประทับพระที่นั่ง ถึงแม้เมื่อครู่จะฟังเรื่องราวของอวิ๋นหว่านชิ่นแล้วโกรธไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็ยังรู้สึกเดือดดาลอยู่
เจี่ยงฮองเฮาที่นั่งอยู่ด้านข้าง วางมือทั้งสองข้างไว้บนตักแล้วมองมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พระชายาฉินอ๋อง เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง”
ไม่เรียกด้วยคำเรียกที่สนิทสนมเหมือนเคยอีกแล้ว การที่ไทเฮาเรียกนางด้วยชื่อเต็มทำให้บรรยากาศในตำหนักเย็นลงถนัดตา
คนที่นั่งอยู่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไข ไม่อาจใช้ความรักความเอ็นดูมาเลี่ยงโทษให้ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นคุกเข่าทั้งสองลงกับพื้นอิฐ ก้มหัวลงหน้าผากจรดพื้น “หม่อมฉันรู้ว่าทำให้ไทเฮาผิดหวัง โทษของหม่อมฉันสมควรตายเพคะ”
เจี่ยไทเฮาเห็นท่าทีสำนึกผิดของนางจึงอารมณ์เย็นลง แต่ยังคงเคืองใจอยู่ “เจ้าออกจากเมืองหลวงไปโดยพลการเพราะอะไรกันแน่ ก่อนจะทำอะไรไยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ก่อนที่จะถึงพิธีอภิเษก วังหลวงก็ส่งแม่นมไปสอนเจ้าเกี่ยวกับธรรมเนียมปฏิบัติของชายาเอก ข้าก็เห็นว่าปกติเจ้ามิใช่คนนอกคอก เหตุใดพอถึงช่วงเวลาสำคัญกลับทำอะไรหุนหันพลันแล่น”
หญิงสาวที่อยู่เบื้องล่างหลบตา กัดริมฝีปาก “องค์ชายสามไม่กลับมาเสียทีข้าจึงกังวล ยิ่งข้าได้ยินว่าเกิดการจลาจลที่เมืองเยี่ยนหยาง จิตใจก็ร้อนรุ่มราวกับมีไฟสุมอยู่ในอก ก่อนที่จะออกจากเมืองหลวงไปก็ฝันร้าย สังหรณ์ใจไม่ดีกลัวว่าจะไม่สามารถพบหน้าองค์ชายสามได้อีกแล้ว ข้ากินข้าวไม่ลงเลยสักวัน วันนั้นข้าก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ถึงทำเรื่องบ้าบิ่นลงไป”
ขณะพูด ใบหน้าหวาดหวั่นและหวั่นเกรงเหมือนกับไม่กล้าพูดออกไป
เจี่ยไทเฮาชะงักไปชั่วขณะ ภายในใจนึกย้อนไปถึงความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยของตนเองก็เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ใครไม่เคยเป็นเด็ก ใครไม่เคยชอบใครสักคนบ้าง คิดถึงตอนนั้น นางก็มีช่วงเวลาแห่งความรักกับฮ่องเต้องค์ก่อนเช่นกัน
ยามรักกันหวานชื่น ทั้งสองก็เหมือนกับสามีภรรยาทั่วไปที่แทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
ฮ่องเต้เคยลงมือเขียนคิ้วให้นาง นางเคยร่างสาส์นให้กับฮ่องเต้ ทั้งสองยังเคยแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังด้วยกันเสียด้วยซ้ำ พอลองนึกดูแล้ว ความประพฤติเช่นนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ผิดกฎปฏิบัติของตระกูลต้องถูกลงโทษสถานหนักทั้งนั้น แต่ในเมื่อความรักที่มีต่อกันมากมายเพียงนี้มีหรือกฎราชสำนักจะห้ามไว้ได้
บัดนี้หนุ่มสาวคู่นี้ก็เหมือนกับตนและฮ่องเต้ยามนั้นมิใช่หรือ
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าสีหน้าของเจี่ยไทเฮาเปลี่ยนไปก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง เคยได้ยินเรื่องราวความรักของเจี่ยไทเฮากับฮ่องเต้องค์ก่อนมาบ้าง ครั้งนี้ก็แค่อยากลองใจ ไม่คิดว่าจะไปทำให้เจี่ยไทเฮานึกย้อนไปวันเก่าก่อน
เป็นไปตามคาด เจี่ยไทเฮาถอนหายใจ “เจ้าน่ะ เจตนาไม่ผิด แต่กลับทำเรื่องที่ผิดมหันต์ลงไป”
บรรยากาศที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงคล้ายเปลี่ยนไปตามอารมณ์ในขณะนั้นของไทเฮา “เรื่องอื่นผ่านมาแล้วก็ให้มันแล้วไป แต่เป็นถึงพระชายาแท้ๆ กลับแฝงตัวไปอยู่ในกองทหารตั้งหลายวัน กองทัพเป็นสถานที่แบบไหนกัน มีแต่ชายฉกรรจ์ แล้วยังไปสัมผัสกับชาวบ้านผู้ประสบภัยที่ตั้งท่าจะก่อกบฏอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะสถานการณ์มันบังคับ แต่ก็ทำให้ราชวงศ์ขายหน้า”
ได้ยินฮองเฮากล่าวดังนั้น เจี่ยไทเฮาที่สีหน้าดีขึ้นก็พลันหงิดหงุดขึ้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบกลับเสียงแผ่ว “ข้าเคยได้ยินมาว่าองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงใหญ่ฮู่กั๋วผู้เป็นพระเชษฐภคินีแห่งฮ่องเต้ไท่จู่ในช่วงสถาปนาประเทศและพระธิดาต่างก็เคยได้รับความดีความชอบจากการไปต่อสู้แนวหน้า ข้าก็แค่อยากจะเอาแบบอย่างท่านเหล่านั้นบ้าง”
เจี่ยงฮองเฮาสบถเสียงเบา ยกเรื่ององค์หญิงใหญ่ฮู่กั๋วขึ้นมาพูดเช่นนี้ใครจะค้านได้ นั่นมันบรรพบุรุษที่เป็นที่เคารพนับถือถึงขั้นตั้งวัดให้สักการะบูชาชั่วลูกชั่วหลาน หรือจะพูดว่าเอาองค์หญิงใหญ่ฮู่กั๋วมาเป็นแบบอย่างก็ย่อมได้
“ไม่ต้องยกตัวอย่างเช่นนั้นมาแก้ตัว” เจี่ยงฮองเฮาพูดด้วยเสียงอ่อนโยนแต่แววตาเชือดเฉือน “นั่นมันช่วงเริ่มก่อตั้งประเทศ ยังไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ใดขึ้นมา สังคมยุ่งเหยิงไร้ระเบียบ ชายหญิงอยู่ร่วมกันไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้บ้านเมืองเจริญแล้ว มีกฎแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎ”
แม้เจี่ยไทเฮาจะรักหลานสะใภ้คนนี้มาก แต่ตอนนี้ก็ต้องมีความเด็ดขาด จึงกล่าวว่า “แม้เจ้าจะมีคุณงามความดี แต่ก็ทำผิดกฎร้ายแรงของวัง โดยปกติแล้ว เจ้าจะต้องถูกโบยสิบไม้ที่ตำหนักซือฝาเสียก่อนแล้วค่อยส่งไปกักบริเวณที่สำนักพระราชวัง แต่ในเมื่อเจ้ามีคุณงามความดี ข้าก็ไม่อยากจะให้คนนอกเอาไปพูดว่าข้าไม่มีเหตุผล เช่นนั้นก็ยกเลิกการโบย ส่งเจ้าไปที่สำนักพระราชวังเลย อย่างนี้เจ้าจะยอมไหม”
ยอมไหมหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเฝื่อน
สุดท้ายก็ใจอ่อนไม่ลงโทษด้วยการโบยสิบไม้ แต่นี่มันก็เหมือนกับการกินข้าวที่ไม่มีเกลือ ขาดเครื่องปรุงรส เจี่ยงฮองเฮาไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้ ยกมือขึ้นแล้วสั่ง “ทหาร”
ขันทีนอกตำหนักเดินไปประชิดตัวพระชายาฉินอ๋องแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคารพแต่เย็นชาว่า “พระชายา ข้าน้อยขออนุญาต”